เธอ…ไม่เคยรักใครนอกจากเขา เขา…มองข้ามความรักของเธอมาตลอดชีวิต
เธอ…ไม่เคยรักใครนอกจากเขา เขา…มองข้ามความรักของเธอมาตลอดชีวิต
“ไมค์ เดี๋ยวเจก็กลับมาแล้ว” แม่บ้านวัยสามสิบต้นๆ กระซิบบอกคนสวนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพราะอีกฝ่ายกำลังเล้าโลมเธออย่างเอาเป็นเอาตาย
“ก็รีบๆ ทำสิครับคุณนายจะได้เสร็จไวๆ” ไมเคิลคนสวนสุดล่ำได้รับทิปแบบนี้ทุกครั้งเวลามาแต่งต้นไม้หรือตัดหญ้าให้บ้านหลังนี้ ถึงเธอจะไม่ใช่สาวรุ่นแต่ส่วนสัดก็ยังเต่งตึงหนั่นแน่นไปทุกส่วน ก็คนมีอันจะกินเขามีเวลาดูตัวเอง วันๆ ไม่ต้องทำงานทำการอะไรแค่อยู่บ้านไม่ก็ออกไปช้อปปิ้งแล้วก็กลับมารอรับลูกตอนบ่ายๆ
“ซี๊ด มะ ไมค์ อ๊า ไม่ไหวแล้ว” สุดาไม่อาจต้านทานอารมณ์ตัวเองได้เธอจึงลากพ่อหนุ่มให้มายืนแอบอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสองขาเรียวยาวข้างนึงพาดไปบนราวบันได
“พั่บๆๆๆ” ไอ้หนุ่มคนสวนเสียบท่อนเอ็นอันโตเข้าไปจนสุดลำแล้วซอยกระหน่ำไม่นับครั้ง สองมือหนากร้านขยำขยี้ทรวงอกนิ่มหยุ่นคุณนายเจ้าของบ้านจนขึ้นรอยแดง เกมกามต้องห้ามดำเนินไปอย่างดุเดือดทั้งสองคนลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
“มามี๊” เด็กชายเจเดนเดินตามเสียงประหลาดมาเรื่อยๆ และก็พบว่ามารดาของตัวเองกำลังยืนหันหน้าเข้าหาคนสวน ทั้งคู่ส่งเสียงที่แปลไม่ออกว่ามันเจ็บปวดหรือกำลังจะพูดอะไรและร่างกายมีเหงื่อไหลโทรมตัว
“เจ” สุดารีบผลักคนสวนให้ห่างออกจากตัวแล้วถลกกระโปรงกลับลงไปส่วนคนสวนสุดล่ำก็เดินหนีออกหลังบ้านไปเลย
“มามี๊ทำอะไรครับ” เจเดนในวัยอนุบาลถามคุณแม่ด้วยความสงสัย
“เอ่อ มามี๊ปวดหัวจ้ะรู้สึกเหมือนตัวร้อนจะเป็นไข้ ไมค์เขาเลยช่วยดูให้”
“จริงด้วย มามี๊เหงื่อออกเต็มเลยผมไปหาผ้ามาให้นะครับ” เจเดนตัวน้อยวิ่งไปที่ห้องครัวแล้วคว้าผ้าขนหนูนุ่มๆ วิ่งกลับมาหามารดาด้วยความร้อนใจ
“ดีขึ้นไหมครับมามี๊” เจเดนซับเหงื่อของมารดาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้วจ้ะ” สุดาตอบลูกชาย
“มามี๊ไปเอาของว่างมาให้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ มามี๊นั่งนะครับผมไปหยิบเองได้” และอีกครั้งที่เด็กชายเจเดนวิ่งกลับไปที่ครัว เขาปีนไปบนเก้าอี้เพื่อหยิบขนมปังกับถ้วยแยมบนโต๊ะแล้วถือกลับมาหามารดาด้วยความระมัดระวัง สองมือเล็กๆ ทาแยมรสส้มไปบนขนมปังเนื้อนิ่มแล้วบิเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนให้แม่ของเขาก่อน
“อร่อยไหมครับ”
“อร่อยจ้ะ” สุดาตอบแล้วหอมแก้มลูกชาย
“มามี๊ต้องไปหาหมอไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เจป้อนขนมปังให้แม่อีกสามคำแม่ก็หายแล้ว”
“มามี๊หายแล้วเห็นไหมจ๊ะ” สุดายิ้มออกมาหลังจากกินขนมครบสามคำและลูกชายของเธอก็เลิกทำคิ้วขมวดในที่สุด
“เจขึ้นไปอาบน้ำนะครับแล้วเราลงมาช่วยทำมันบดกัน วันนี้ปาป๊าจะกลับมากินมื้อเย็นจ้ะ”
“เย้ๆ ดีใจที่สุดเลย” เจเดนวิ่งปรู๊ดขึ้นไปบนห้องของตัวเองแล้วสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว
“ไมค์” สุดาอุทานด้วยความตกใจ ไมเคิลลากคุณนายคนสวยหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วทำภารกิจที่ค้างไว้
“อ๊ะ ซี๊ดดด ถ้าผัวฉันอึดได้ครึ่งของเธอก็ดี”
“งั้นก็ให้ผมมาทำสวนทุกวันสิครับคุณนาย พั่บๆๆๆ”
“บะ บ้า คนก็ผิดสังเกตพอดี โอ๊ววว”
“เสร็จพร้อมกันนะครับคุณนาย อู๊ววววว” สุดาและไมเคิลประกบปากจูบกันอย่างดูดดื่มเพื่อเก็บเสียงครวญครางเอาไว้ ไมเคิลใส่เสื้อผ้ากลับเข้าที่เดิมแล้วเดินผิวปากออกไปส่วนสุดาก็จับผมเผ้าและชุดกระโปรงให้เข้าที่เข้าทางเพื่อไปรับบทบาทแม่และเมียที่ดี
“มามี๊ค้าบ” เจเดนวิ่งตึงตังลงมาหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว
“นี่ครับ เจบดได้เลย” สุดายื่นถ้วยมันฝรั่งที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ลูกชาย เจเดนมีหน้าที่บดมันให้ละเอียดด้วยช้อนอันโตเพราะเธอไม่กล้าให้ลูกชายใช้มีดหรืออุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ
“เมื่อยรึยังครับเจ” สุดาหันมาถาม เธอหมักเนื้อไว้แล้วเหลือก็แค่เอาไปย่างบนเตาเท่านั้น
“ยังครับมามี๊ มันยังไม่ละเอียดเลย”
“มามี๊ช่วยทำนะครับ” สุดาเอาช้อนมาอีกคันแล้วนั่งลงข้างๆ ลูกชาย ระหว่างที่ช่วยกันบดเธอก็คุยกับลูกไปด้วย
“จริงหรอจ๊ะ” ลูกชายของเธอกำลังเล่าถึงบทเรียนวันนี้ คุณครูเอ็มม่าพาออกไปที่สวนหลังโรงเรียนแล้วพาไปดูดักแด้
“จริงครับมามี๊ คุณครูเอ็มม่าบอกว่าหนอนพวกนั้นจะโตเป็นผีเสื้อแสนสวยผมเห็นผีเสื้อตอมดอกไม้เต็มเลยครับแต่ละตัวปีกสีไม่เหมือนกันด้วย บางตัวสีส้ม บางตัวสีฟ้า บางตัวมีตั้งหลายสีบนปีกเดียวกัน” เด็กชายตัวน้อยเล่าด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่ไปเห็นมาเมื่อบ่ายและมันทำให้หัวสมองของเจเดนลืมภาพของมารดากับคนสวนไปแทบจะทันที
“แล้วโตขึ้นเจอยากเป็นอะไรจ๊ะ”
“เป็นนักแมลงครับ” คำตอบของเด็กน้อยเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันสักวันและสุดาก็ไม่ได้กังวลใจด้วย เด็กๆ มีความคิดและจินตนาการอันกว้างไกลลูกสามารถเป็นได้ทุกอย่างที่เขาต้องการขอแค่สิ่งนั้นไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ
“คนที่ศึกษาด้านแมลงเขาเรียกว่านักกีฏวิทยาจ้ะ” สุดาแก้ไขคำให้ถูกต้อง
“นักกินวิดทะยาหรอครับ” เจเดนทวนคำด้วยความงุนงง ทำไมนักแมลงชื่อเรียกยากจัง
“ไม่ใช่จ้ะออกเสียงว่า กี-ตะ-วิด-ทะ-ยา” สุดาพูดช้าๆ ชัดๆ ให้ลูกชายฟังอีกครั้ง ต้องหัดกันอยู่หลายรอบกว่าเจเดนจะพูดถูก
“โอเคจ้ะ ละเอียดแล้ว” สุดานำมันฝรั่งเนื้อละเอียดผสมนมและเครื่องเทศอีกเล็กน้อยจากนั้นจึงนำเข้าเตาอบ สองแม่ลูกช่วยกันเตรียมมื้อเย็นด้วยความตั้งใจเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยปีเตอร์ก็กลับมาถึงบ้านพอดี
“ปาป๊า” เจเดนวิ่งไปหาบิดาแล้วชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมก็อุ้มเด็กชายตัวน้อยไปฟัด
“วันนี้มีอะไรกินบ้างเจค” ปีเตอร์ถามลูกชาย
“มีสเต๊กหมู สลัดแล้วก็มันบดที่ผมช่วยมามี๊ทำครับ”
“ว้าว มันบดต้องอร่อยที่สุดแน่ๆ”
“สเต๊กของมามี๊อร่อยที่สุดครับ ผมยังเด็กยังไม่มีสีมือ”
“ฝีมือจ้ะ” สุดาแก้ไขคำให้ถูกต้อง ถ้าเป็นสำนวนลูกชายของเธอมักจะใช้ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เธอพยายามให้ลูกพูดกับเธอด้วยภาษาไทยและสนทนากับบิดาด้วยภาษาอังกฤษและเยอรมัน
“เหนื่อยไหมคะ” สุดารับเสื้อสูทของสามีไปแขวนเข้าที่แล้วถามด้วยความห่วงใย
“นิดหน่อย วันนี้ประชุมเกือบทั้งวัน” ปีเตอร์ตอบภรรยาแล้วปลดกระดุมตรงข้อมือออก จากนั้นก็ขยับเนกไทให้มันคลายปมแล้วภรรยาผู้แสนดีก็เอาน้ำเย็นเจี๊ยบมาให้
“ปาป๊าเท่สุดๆ เลย” เจเดนชอบดูเวลาบิดาปลดกระดุมเสื้อและคลายเนกไท มันเป็นสิ่งที่เด็กแบบเขาคิดว่าเจ๋งและเท่ที่สุดในโลกเพราะมันคือท่าทางของผู้ชายที่เป็นผู้นำครอบครัว
“โตขึ้นเจคจะเท่กว่าปาป๊าอีก” ปีเตอร์ลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
เจเดนเกิดในครอบครัวของคนมีอันจะกินและคนภายนอกต้องอิจฉาเด็กชายคนนี้แน่ๆ เพราะมีมารดาที่แสนจะเรียบร้อยงานบ้านงานเรือนก็เก่งไม่เป็นรองใครส่วนบิดาก็เป็นชายหนุ่มที่ขยันขันแข็งเอาการเอางานแต่ก็ไม่ลืมภรรยาและลูกชาย สามคนพ่อแม่ลูกจะต้องทานข้าวด้วยกันอย่างต่ำสัปดาห์ละสองครั้ง
แต่มันก็เป็นแค่ภาพลวงตาความเอาใจใส่จอมปลอมจากสุดาจะมีให้สามีเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าลูกชายเท่านั้นและปีเตอร์ก็ประพฤติแบบนั้นเช่นกัน สองสามีภรรยาทนอยู่กันไปเพราะไม่ต้องการให้ลูกชายต้องมีปมด้อยการฟ้องหย่าในประเทศนี้มันละเอียดอ่อนและซับซ้อนและคนที่จะได้รับผลเสียที่สุดก็คือเด็ก
ปีเตอร์ทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์และเขารู้ดีว่าเด็กที่เข้าระบบบ้านอุปถัมภ์น่าสงสารขนาดไหนเขาไม่มีวันให้ลูกชายคนเดียวต้องตกอยู่ในสถานะนั้นแน่ๆ ส่วนสุดาก็หอบผ้ามาอยู่กับผู้ชายที่เธอยังรู้จักไม่ดีพอแต่ด้วยความคิดง่ายๆ ว่าการมีสามีฝรั่งจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นเธอจึงเดินทางมาค่อนโลกแล้วอยู่ในประเทศที่ไม่รู้จักใครเลยสักคนนอกจากสามีตัวเอง
แรกเริ่มความรักมันก็หวานชื่นดีแต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ นิสัยเสียเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนที่มันขัดตาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นทุกทีจนในที่สุดทั้งปีเตอร์และสุดาก็เบื่อหน่ายกันไปเองแต่ก็เลิกกันไม่ได้เพราะมีลูกรั้งเอาไว้ ถึงทั้งคู่จะเอือมระอากันแค่ไหนแต่สิ่งเดียวที่เป็นจุดเชื่อมทุกอย่างเอาไว้ก็คือเจเดน
สุดาไม่อยากอยู่ที่นี่ ลอนดอนเมืองที่อึมทึมและห่างไกลบ้านเกิดแต่เธอก็ไปไหนไม่ได้เพราะเป็นห่วงลูกชายและที่สำคัญเธอไม่มีเงินไม่มีงานครั้นจะกลับเมืองไทยไปเริ่มต้นใหม่อยู่แบบอดมื้อกินมื้อเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดเลือกทำแน่ๆ เธอจึงทนอยู่กับสามีหน้านิ่งเพื่อความอยู่รอดและเริงรักกับผู้ชายเป็นกิจกรรมแก้เซ็ง
“เชิญจ้ะ ตามสบายนะ” กอบสุขบอกด้วยเสียงสั่นๆ เพราะดำรงไม่ได้มาคนเดียวแต่พาเพื่อนมาอีกสองคน “คุณกอบจำเรื่องที่เคยบอกผมได้ไหมครับ” ดำรงถาม “จำได้จ้ะ เรื่องนั้นใช่ไหม” “คุณกอบต้องพูดให้ชัดเจนนะครับ กระซิบบอกผมคนเดียวก็ได้เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงทางเดียวเท่านั้นคือคุณกอบยินยอม” “ฉันอยาก xxx” กอบสุขสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจ เธอต้องการมันและไม่ใช่เรื่องผิดบาปใดๆ ที่ผู้หญิงอยากทำแบบนี้ หากมันไม่เดือดร้อนใคร ทำไมจะทำไม่ได้ เพื่อนๆ ของดำรงไม่รีรอเมื่อคนชวนมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
♡ แรกๆ ก็เอ็นดู หลังๆ ก็อยากให้ดูเอ็น ♡ บางส่วนจากนิยาย: กิตตินอนมองเอมิลี่แต่งตัวอย่างเพลิดเพลินแล้วความคิดซุกซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าเลยให้ตายสิ อยากถอดเสื้อจัง อยากถอดกางเกงด้วย ชุดชั้นในก็ไม่ต้องใส่หรอกบดบังของสวยๆ ทำไม “แล้วพี่โก้ไม่แต่งตัวเหรอคะ” “แต่ง … แต่งครับ รอเดี๋ยวเดียวนะ” กิตติต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงก่อน “พี่โก้ไม่อยากไปใช่ไหมคะ” เอมิลี่เดินกลับไปหาคนที่ยังไม่ลงจากเตียง “อยากครับ ไปสิไปกันเลย พี่แต่งตัวอึดใจเดียวก็เสร็จแล้ว” “ไม่จริงหรอกค่ะ ทำอยู่ตั้งนานกว่าพี่โก้จะเสร็จ” คำเตือน: มีการสูญเสีย มีเหตุการณ์สะเทือนใจ
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง พวกเขามองฉันและเห็นฉันเป็นเด็กผู้ชาย เป็นเจ้าชาย คนนหึ่ง พวกเขาซื้อมนุษย์อย่างฉันเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และเมื่อพวกเขาบุกเข้ามาในอาณาจักรของเราเพื่อซื้อพี่สาวของฉัน เพื่อปกป้องเธอ ฉันหมดหนทาง จึงต้องเข้าไปขอร้องให้พวกเขาพาฉันไปด้วย แผนของฉันคือหาโอกาส จะพาพี่สาวหนีไป แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคุกของเราจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันมากที่สุดในอาณาจักรของพวกเขา แต่เดิมฉันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่เคยคิดจะซื้อ เลย แต่แล้ว ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ความปรานี บุคคลที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนป่าเถื่อนของพวกเขากลับสนใจใน "เจ้าชายน้อยผู้น่ารัก" เราจะเอาชีวิตรอดในอาณาจักรที่อันตรายนี้ได้อย่างไร และเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตรกับเรายังไง และคนที่มีความลับอย่างฉันจะกลายเป็นทาสแห่งความต้องการทางเพศได้อย่างไร . หมายเหตุของผู้เขียน นี่คือนิยายรักแนวดาร์ก เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เรตติ้งสูง 18+ เตรียมพบกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และเข้มข้นได้เลย หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงของแนวนี้ที่กำลังมองหาอะไรที่แตกต่าง พร้อมที่จะอ่านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อยากรู้เพิ่มเติมอยู่ดีล่ะก็ รีบอ่านเลย! . จากผู้เขียนหนังสือขายดีระดับนานาชาติเรื่อง "ทาสผู้เกลียดชังของราชาอัลฟ่า"
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด