ยัยเด็กขาดสารอาหารคนนี้หรอ คือลูกสาวคนใหม่ของแม่.. เด็กอะไร ขวางหูขวางตาชะมัด เจอหน้ากันเอาแต่ก้มหน้าหลบตา แต่ทำไมยัยเด็กนี่ถึงสวยวันสวยคืน..ถ้าเขาจะแอบกินเด็กของแม่..จะผิดไหม
สาวน้อยร่างบางผิวขาวจัดดวงตาบวมช้ำแดงก่ำนั่งมองรูปหน้าศพที่ตั้งคู่กันสองรูปนิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปไหนมาหลายชั่วโมง เป็นที่น่าสลดใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
“พั้นช์ หักอกหักใจซะเถอะลูก หนูเป็นแบบนี้พ่อกับแม่จะยิ่งเป็นห่วงนะ เชื่อป้านะลูก”
พิมพ์มาดา เพื่อนที่สนิทที่สุดของผู้หญิงที่นอนอยู่ใน
โลงศพ ตรงเข้าสวมกอดและเอ่ยปลอบใจสาวน้อยตรงหน้าที่ตัวเองรักเหมือนลูกที่มีชะตาชีวิตที่น่าสงสาร เพราะต้องเสียพ่อและแม่ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายไปพร้อมๆกันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหัน
“ป้าพิมพ์”
สาวน้อยกอดเพื่อนรักของแม่แน่นอย่างต้องการที่พักพิง สาวน้อยวัยสิบแปดปีอย่างเธอ โลกทั้งใบมันถล่มไปตรงหน้าแล้วกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ป้าเสียใจด้วยนะลูก แต่พั้นช์ต้องเข้มแข็ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ห่วง”
พิมพ์มาดากอดสาวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียน
จะขาดใจแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าทั้งคืนที่ผ่านมาจนถึงบ่ายวันนี้ หลานสาวของเธอได้หลับได้นอนหรือได้กินอะไรบ้างหรือยัง เพราะเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียพร้อมกัน
แบบนี้ คงยากที่จะรับไหว
แม้เธอเองพอรู้ข่าว ก็ส่งเลขาและผู้ช่วยมาจัดการเรื่องรับศพและจัดงานศพให้เรียบร้อย แล้วรีบหาตั๋วเที่ยวที่เร็วที่สุด
บินจากอเมริกาแล้วตรงดิ่งมาที่นี่ทันที แต่ก็ยังช้าไปเป็นวัน
“พั้นช์ไม่เหลือใครแล้ว พ่อกับแม่ทิ้งพั้นช์ไปแล้วค่ะ”
“พั้นช์ยังเหลือป้า ป้าจะไม่มีวันทิ้งพั้นช์ไปไหน ไปอยู่
กับป้านะลูก ต่อจากนี้ป้าจะดูแลพั้นช์แทนแม่เอง ไปเป็นลูกสาวของป้าอีกคน แม่ก็จะได้หมดห่วงด้วย โอเคไหม”
“ได้หรอคะ แล้วครอบครัวของป้าพิมพ์จะไม่ว่าอะไร
หรอคะ”
“ได้ลูก ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ป้าอยู่คนเดียว ส่วนใหญ่ลุงเขาก็อยู่อเมริกา ส่วนพี่ๆ ตอนนี้ก็เรียนกันอยู่ที่อเมริกากันหมด ยังไม่มีใครกลับมาเลย ต่อให้กลับมาก็ไม่มีปัญหาเพราะบ้านเราใหญ่โตขนาดนั้น มีพั้นช์มาอยู่เป็นเพื่อนป้าก็ดีจะตาย ทุกวันนี้
ก็เหงาจะแย่ เดี๋ยวป้าจะให้คนไปจัดการเรื่องของใช้และเสื้อผ้า
ให้ไปขนเข้าบ้านป้าเลย ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวเราค่อยทยอยๆจัดการนะลูก”
“ขอบคุณมากค่ะ ป้าพิมพ์”
พาขวัญ หรือ พั้นช์ สาวน้อยผิวขาวจัด วัยสิบแปดปี
ยืนกอดภาพหน้าศพมองควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องควันไฟด้วยใบหน้าแสนเศร้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มนวล
ไม่ขาดสาย พ่อกับแม่จากเธอไปในวันที่เธอได้รับข่าวดีเรื่องผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยังไม่ทันที่พ่อกับแม่จะได้รับรู้และร่วมแสดงความยินดีกับข่าวดีนี้ของเธอเลย ท่านก็มาด่วนจากไปเสียก่อนแล้ว
“พ่อกับแม่ได้ต้องเป็นห่วงพั้นช์นะคะ พั้นช์จะไปอยู่กับป้าพิมพ์ พั้นช์จะตั้งใจเรียน ไม่ทำให้ป้าพิมพ์หนักใจค่ะ ขอให้พ่อกับแม่ไปอยู่บนสวรรค์ให้สบายใจ แล้ววันนึง เราค่อยกลับมาเจอกันใหม่นะคะ”
เธอยืนกอดรูปถ่ายพร้อมกับร้องไห้อีกครั้ง
“กลับบ้านเรากันนะลูก ที่เหลือทางนี้เดี๋ยวคนของป้าจัดการต่อเอง”
“ค่ะ ป้าพิมพ์”
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เธอเองก็ได้มานอนที่นี่หนึ่งคืนแล้ว แต่เพราะความเศร้าเสียใจ ทำให้เธอไม่ทันจะสังเกตว่าที่นี่มัน
โอ่อ่าและหรูหราขนาดไหน แม้กระทั่งห้องนอนของเธอที่ใช้ซุก
หัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เธอเองก็ยังไม่ทันจะได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ
พิมพ์มาดาพาเธอนำรูปถ่ายของพ่อกับแม่เธอไปไว้ที่ห้องพระในส่วนที่จัดไว้เฉพาะสำหรับตั้งวางรูปและโกศอัฐิของบรรพบุรุษ
“พร เธอกับคุณพร้อมไม่ต้องเป็นห่วงพั้นช์นะ ฉันจะดูแลให้เอง จะส่งเสียให้เรียนสูงสุดตามแต่เขาจะต้องการ จะดูแลเหมือนพั้นช์เป็นลูกคนหนึ่งของฉัน เธอก็รู้นะ ว่าฉันก็รักพั้นช์
ไม่ต่างจากลูกแท้ๆ เพราะฉะนั้น เธอสองคนสบายใจได้และหลับให้สบาย”
“พั้นช์จะเป็นเด็กดีของป้าพิมพ์ค่ะ อะไรที่พั้นช์จะตอบแทนบุญคุณนี้ของป้าพิมพ์ได้ พั้นช์ยินดีทำทุกอย่างค่ะ”
“ขอบใจมากลูก แค่พั้นช์อยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและ
มีความสุข ป้าก็พอใจแล้ว”
“พั้นช์จะเข้มแข็งค่ะ”
“ดีมาก ไปอาบน้ำก่อนเถอะลูก เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมง
เราลงไปเจอกันที่โต๊ะอาหารนะ”
พาขวัญเข้ามาในห้องนอนที่ตัวเองต้องอาศัยอยู่นับจากนี้ เธอมองไปรอบๆห้องที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงสีขาวล้วนสไตล์เจ้าหญิง ผ้าปูที่นอนและผ้าม่านเป็นโทน
สีชมพูหวาน ห้องแต่งตัวของเธอที่แยกโซนออกมาประกอบด้วยตู้เสื้อผ้าบิ้วท์อินยาวเต็มผนัง ลำพังตัวเธอเองก็เกิดในครอบครัวที่มีฐานะ สะดวกสบายมาตั้งแต่เกิด อยู่บ้านหลังโตโอ่อ่า แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับบ้านหลังนี้
พ่อแม่ของเธอไม่ได้จากไปเปล่าๆ พวกเขาทิ้งสมบัติไว้ให้เธอพอสมควร ทั้งบ้านหลังที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด ที่ดินในกรุงเทพ บ้านและที่ดินสวนที่จังหวัดนนทบุรี เงินสดในบัญชีธนาคารหลักสิบล้าน และกองทุนประกันชีวิตก้อนโตที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ ต่อให้ไม่มีพิมพ์มาดา เธอก็ใช้เงินทองเหล่านี้เลี้ยงดูตัวเองต่อไปได้จนเรียนจบ
แต่ที่เธอเลือกมาอาศัยอยู่กับพิมพ์มาดา เพื่อนรักที่สุดของแม่ เพราะเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะจำเป็นต้องมีผู้ปกครองดูแล และเรื่องของสภาพจิตใจที่เธอต้องสูญเสียคนที่รักที่สุดไปพร้อมกันถึงสองคน ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของเด็กผู้หญิงที่ต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียวอีก การมาอยู่กับผู้ใหญ่ที่เธอรักและไว้ใจจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
บนโต๊ะอาหารของบ้านหลังใหญ่วันนี้ มีอาหารมากกว่าปกติ เพราะเจ้าของบ้านไม่ต้องทานข้าวเพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ที่จริงสมาชิกของบ้านหลังนี้มีด้วยกันถึงห้าคน แต่เพราะลูกชายและลูกสาวทั้งสามต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แถมสามีของเธอยังมีธุรกิจโรงแรมและกาสิโนอยู่ที่นั่น ถึงเทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศไทยและอเมริกามาตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้
“พั้นช์อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกาไหม พี่ๆ เรียนอยู่ที่โน่นกันหมด แถมลุงพอลยังเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ถ้าพั้นช์ไปเรียนที่โน่นก็มีคนดูแล ป้าก็สบายใจแต่ถ้าไปประเทศอื่นป้าไม่อยากให้ไปเลย”
“พั้นช์เรียนที่ไทยดีกว่าค่ะ”
“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจัดการเอง”
พาขวัญพนมมือไหว้ป้าพิมพ์ของเธออย่างนอบน้อม
ในความโชคร้ายที่กลายเป็นเด็กกำพร้าก็ยังมีความโชคดี ที่มีคนที่ยังรักเธอขนาดนี้อยู่บนโลก
“ขอบคุณมากค่ะป้าพิมพ์ แต่พั้นช์ว่าพั้นช์เรียนที่ไทย
ก็พอแล้วค่ะ ตอนนี้พั้นช์สอบได้คณะบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์
ได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษ แถมยังไม่ต้องไปไกลบ้านด้วย อีกอย่างให้พั้นช์อยู่เป็นเพื่อนป้าพิมพ์ดีกว่าค่ะ อยู่บ้านคนเดียวเหงาแย่เลย ไว้ถ้าพี่ๆเรียนจบกลับมา หรือพั้นช์เรียนจบตรีแล้ว จะไปต่อโทที่นั่นค่อยว่ากันอีกรอบนะคะ”
“เอางั้นก็ได้ลูก ตั้งใจเรียนนะ เรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างป้าจัดการเอง”
เธอพนมมือไหว้แม่คนที่สองของเธออีกครั้งในความกรุณา
“ขอบคุณมากค่ะ แต่แม่กับพ่อทิ้งเงินไว้ให้พั้นช์เยอะเลย ใช้เงินนี้เรียนก็ได้ค่ะ แค่มาอยู่กับป้าพิมพ์ก็สิ้นเปลืองแย่แล้ว”
“เงินของพั้นช์ ป้าจะให้พั้นช์เก็บเอาไว้เป็นทุนชีวิต
ไว้สร้างอนาคตตัวเอง ตอนนี้พั้นช์เป็นลูกสาวคนเล็กของป้าแล้วนะ เรื่องเรียน และการดูแลพั้นช์ให้เป็นหน้าที่ป้านะ อย่าเกรงใจและอย่าขัดใจคนแก่ รู้ไหม”
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะป้าพิมพ์ พั้นช์จะตั้งใจเรียน
จะไม่ทำตัวให้ป้าพิมพ์ผิดหวังในตัวพั้นช์เลยค่ะ”
“จ้ะ ทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยววันนี้พักผ่อนกันเร็วหน่อย นอนหลับให้เต็มที่ พั้นช์หน้าตาอิดโรยมาก พรุ่งนี้ป้าจะพาชมรอบๆ บ้านเอง”
จำเอาไว้ว่าผัวของเธอชื่อ “เหนือเมฆ” หลังจากนี้ ถ้าเธอไปอ่อยผู้ชายหน้าไหนอีก..ฉันเอาเธอตายแน่
เขาตั้งใจกักขังเธอเอาไว้..ด้วยคำว่าบุญคุณ ที่ตอบแทนทั้งชีวิต..ก็ไม่มีวันหมด
เธอ..เป็นของต้องห้ามสำหรับเขา..คุณหนูผู้เอาแต่ใจ ลูกสาวเจ้านายผู้มีพระคุณ เขา..เป็นของร้อนสำหรับเธอ อยู่ใกล้แล้วมันร้อนรุ่ม บอดี้การ์ดหน้าโหดที่ขัดใจเธอไปเสียทุกอย่าง และแม้ว่าบอดี้การ์ดอย่างเขา จะอยากขย้ำเธอให้จมเขี้ยวสักเท่าไร แต่ก็ทำได้เพียงอดทน..จนกว่าจะถึงวันที่เขา..คู่ควร
ความเข้าใจผิดทำให้เขามีค่ำคืนอันเร่าร้อนกับเธอ..เขาจะถือว่าเธอเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม และของที่เป็นของเขา จะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนได้เชยชมทั้งนั้น อย่าฝันจะเป็นอิสระ
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"