จันทร์วาดถูกดูดเข้าไปในหนังสือนิยาย เล่มหนึ่ง และได้พบกับคุณหลวงอัครเดชผู้หล่อเหลาและรักเธอสุดหัวใจ “คุณหลวง วาดรักคุณหลวง คุณหลวง” จันทร์วาดเตือนสติตนเองด้วยคำบอกรักเขา คุณหลวงเองบัดนี้ให้รู้สึกว่าคล้ายมีมือใหญ่กำลังฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้น ๆ และเสียงหนึ่งยังอื้ออึงอยู่ในหู มันกำลังบังคับให้เขาปล่อยมือจากแม่จันทร์วาดเช่นกัน ถึงจะตายฉันก็จะตายในอ้อมอกแม่วาด ฉันไม่ยอมเป็นอันขาด ความทรมานนี้หากเป็นคนธรรมดาคงยากเกินจะรับไหว ทว่าความผูกพันของคุณหลวงกับแม่จันทร์วาดแสนจะลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเจ็บปวดทรมานเหมือนตายทั้งเป็นเพียงใดคุณหลวงก็ไม่ยอมปล่อยร่างเล็กเด็ดขาด
ณ ห้องสมุดเก่าแก่แห่งหนึ่งไร้ซึ่งผู้คน จันทร์วาดนั่งคู้ตัวเงียบ ๆ อยู่มุมหนึ่งกำลังใจจดใจจ่อกับหนังสือนิยายในมือ สาวน้อยอ่านด้วยอาการใจจดใจจ่อแทบจะไม่ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ
ในมือของเธอเป็นหนังสือนิยายสีน้ำตาลเล่มเก่าหนาราวห้าร้อยหน้า กระดาษกรอบและเก่าจนต้องระมัดระวังเมื่อต้องพลิกกระดาษไปสู่หน้าใหม่ด้วยกลัวว่ามันจะขาดติดมือ
ตัวหนังสือหลายบรรทัดเลือนรางตามกาลเวลา แต่เนื้อหานิยายเล่มนี้ก็สนุกจนวางไม่ลง
เธออ่านมาถึงหนึ่งในสามของเล่มแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นนิยายผู้ใหญ่ เนื้อหาส่วนใหญ่ก็มุ่งเน้นไปยังเรื่องบนเตียง โดยมีคุณหลวงอัครเดชเป็นพระเอกที่มักจะกินตับกับเมียหลายคนในทุกคืน
พระเอกอย่างเขาต้องยืนพื้นที่หน้าคมจมูกโด่ง ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นผัว เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่มัดกล้ามเป็นมัด ผิวสีแทนแข็งแกร่งผู้แต่งบรรยายว่าเขายังมีส่วนแห่งความเป็นชายที่ใหญ่กว่าปลาชะโดตัวขนาดเขื่อง
จันทร์วาดไม่เคยเห็นปลาชะโดเธออยากรู้ว่ามันจะใหญ่แค่ไหนถึงขนาดต้องเสิร์ชกูเกิลดูและพูดขำ ๆ คนเดียวด้วยคำพูดลามกขบขัน
“ให้ตายเถอะ ใหญ่จริง ๆ ด้วย แต่ใหญ่ขนาดนี้หอยไม่ฉีกก่อนเหรอวะ โอ้ ทั้งใหญ่ทั้งแข็งแรง อิอิ อยากลองถูกปลาชะโดมุดรูสักครั้งจะเป็นยังไงนะ”
ในบทนี้ผู้เขียนกำลังบรรยายฉากที่รักบนเตียงของเขาได้แซ่บถึงใจจนเธอไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้ หลังจากเมื่อวานถูกเพื่อนรักของเธอที่เป็นเป็นกระเทยร่างใหญ่ และยังเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดแห่งนี้ลากมาทำงานเป็นเพื่อนเพราะคู่หูอีกคนลาป่วย
จันทร์วาดไม่มีอะไรทำ เป็นสาวโสดที่ก่อนหน้านี้ทำงานจนถูกแฟนนอกใจเพราะต้องดิ้นรนด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเลี้ยงแม่ที่วัน ๆ เอาแต่กินเหล้าและต้องหาเงินเรียนหนังสือด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
อาชีพหลักของเธอหลังเลิกเรียนก็คือการเป็นเด็กเชียร์เบียร์ ล่าสุดจันทร์วาดเพิ่งได้เงินก้อนมาเพราะถูกอาเสี่ยลวนลามแต่เธอไม่ยอมจึงถูกตบหน้าทั้งด่าและดูถูก โชคดีที่กล้องของที่ร้านจับได้ทั้งภาพและเสียงเธอจึงแจ้งความฟ้องร้อง
ผู้ชายคนนั้นดันเป็นนักการเมืองมีชื่อเสียง กลัวเมียยิ่งกว่าแม่เพื่อให้เรื่องจบจันทร์วาดจึงรับเงินมาห้าแสนเป็นสินน้ำใจ เธออาศัยอยู่กับเพื่อนเกย์คนหนึ่งในคอนโดของเขาซึ่งจันทร์วาดช่วยจ่ายค่าห้องในราคาแสนถูกต่อเดือน
ตอนนี้จันทร์วาดเพิ่งเรียนจบ เธอกำลังหางานทำแต่เพราะสภาพเศรษฐกิจแบบนี้จึงยากที่จะมีบริษัทไหนรับ จันทร์วาดจึงยังทำงานเป็นเด็กเชียร์เบียร์ต่อไป
หลายวันมานี้เธอไม่ได้ไปทำงานเพราะเบื่อแม่ของเธอที่ตามระรานขอเงินไม่หยุด
พ่อกับแม่ของจันทร์วาดแยกทางกันเมื่อหลายปีก่อนเพราะแม่ของจันทร์วาดติดการพนันและยังติดเหล้า
คนที่เลี้ยงดูจันทร์วาดมาตั้งแต่เด็กก็คือยายที่ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน หลังยายตายจันทร์วาดมาอยู่กับแม่อย่างอดทนได้ปีหนึ่งเธอก็ย้ายออกเพราะทนพฤติกรรมของแม่ไม่ไหว
แม่ที่เอาแต่กินเหล้าและเล่นการพนันจนเป็นหนี้ไปทั่ว ที่วัน ๆ จ้องแต่จะหาอาเสี่ยให้จันทร์วาดเพื่อตัวเองจะได้ดูดเลือดจากลูก
จันทร์วาดรู้จักกับเดือนมาตั้งแต่เด็กแล้วจึงหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเพื่อนคนนี้
เดือนถือโค้กกระป๋องเย็นเฉียบมาให้เธอพร้อมกับถามเบา ๆ
“หิวหรือเปล่า ไม่ขยับมาหลายชั่วโมงแล้วนะมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออสิมึงก็รู้ว่ากูชอบอ่านแนวย้อนยุคโบราณแบบนี้ เล่มนี้แม่งของดี มึงอย่ามากวนกู กูไม่ว่างแล้วกำลังแซ่บ อยากเจอคุณหลวงแบบนี้ในชีวิตจริงมั่งจัง คงฟินไม่น้อย”
เดือนหัวเราะเสียงค่อนข้างดัง เธอเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ไม่กี่หน้าก็ต้องวางแล้วเพราะเหม็นกลิ่นเก่าจนเวียนหัว เมื่อเพื่อนรักมาอยู่เป็นเพื่อนเธอจึงรีบเอาให้จันทร์วาดอ่านเพราะรู้รสนิยมของเพื่อนดี
“คุณหลวงไม่มีน้ำยา ทำขนาดนั้นยังไม่มีใครท้อง”
“ที่ไม่ท้องอาจจะมีเบื้องหลัง ตอนนี้กำลังมันเลยอ่ะ พวกเมีย ๆ นี่ก็แย่งกันน่าดู น้ำเน่าแต่สนุกอ่ะ”
“เออก็ว่างั้นแหละ รู้ว่ามึงชอบแนวนี้ไงเลยเก็บเอาไว้ให้”
“กูชอบจริง ๆ อยากมีคุณหลวงเป็นของตัวเอง”
“เมียเยอะจะตาย มึงรับได้เหรอ”
จันทร์วาดพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ถ้าเจอกู กูก็จะจัดการเขี่ยพวกนางทิ้งซะ ให้คุณหลวงเป็นของกูคนเดียว”
“ร้าย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
จันทร์วาดทำน้ำเสียงและหน้าตามั่นใจใส่เพื่อน
“เออกูมันร้าย ไม่งั้นไม่อยู่มาจนถึงป่านนี้หรอก”
“มึงต้องปิดห้องสมุดแล้วสี่โมงครึ่งแล้วมึง กลับกันเหอะไปหาเหล้าแดกกัน”
“กูยังสนุกอยู่เลยอ่ะ อยากอ่านต่อ”
“อ่านตั้งนานไมอ่านช้าจังวะ”
“ก็มัวแต่ถนอมกระดาษอยู่เนี่ยกลัวจะทำของมึงเสียหาย ขาดขึ้นมาเสียดายแย่ เดือนกูเอาไปอ่านต่อที่คอนโดได้ป่าววะ”
เล่มนี้ยังไม่ได้ทำเลขสารบัญหนังสือ เพราะเดือนเพิ่งไปค้นเจอในห้องเก็บหนังสือเก่าหากหายไปก็แย่ แต่อีกประการหนึ่งก็คือไม่มีใครรู้เพราะมันไม่เคยปรากฎในระบบมาก่อน เดือนจึงพยักหน้า
“ได้ เดี๋ยวใส่กระเป๋าเป้กูออกไปแล้วกัน อ่านจบแล้วค่อยเอามาคืน”
“เย้ เพื่อนรักต้องแบบนี้สิ”
เดือนเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตัวเอง แล้วเดินไปปิดไฟปิดแอร์ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกจากห้องสมุดเดินตรงไปที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ด้านหน้าหอสมุดแห่งนี้
“ไปไหนกันดี”
จันทร์วาดรีบเสนอ
“ร้านส้มตำแล้วกันอยากกินเบียร์กับไส้อ่อนย่างอ่ะ ไม่กินแป้ง ไปกินเนื้อ กูกำลังลดความอ้วน”
“เออลดความอ้วนเสือกจะแดกเบียร์”
“ก็กินนิดหน่อยไง ไม่อ้วน กูต้องกินโปรตีนเยอะ ๆ จะได้ปั้นกล้ามได้”
“ได้ งั้นไปร้านข้างคอนโดพวกเราไม่ได้ไปนานแล้วนี่”
จันทร์วาดรีบพยักหน้า
“ดี กูอยากแวะนานแล้ว แก้กลุ้มที่หางานไม่ได้ด้วย”
เดือนหัวเราะ
“มึงแก้มากี่รอบแล้วไม่เบื่อหรือไง หาเหตุผลอื่นหน่อย”
ความจริงจันทร์วาดก็ไม่ได้ซีเรียสนัก เธอยังมีเงินก้อนและยังมีงานเชียร์เบียร์ที่ทำมานานจนลูกค้าติดตรึม
“พูดมาก รถเมล์มาแล้วเร็วเข้า”
คนทั้งสองรีบวิ่งขึ้นรถเมล์เมื่อประตูเปิด โชคดีที่รถเมล์คันนี้ว่างจึงมีที่นั่งให้เลือกเหลือเฟือ
หลังลงจากรถเมล์แล้ว เดือนกับจันทร์วาดก็เดินไปเก็บของที่คอนโด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นมากินส้มตำที่ร้านเล็ก ๆ ข้างคอนโด
คงเพราะมาเร็วไปร้านยังไม่เปิดพวกเขาจึงต้องนั่งรอ เพราะสนิทกับป้าเจ้าของร้านก็เลยขอเบียร์มากินรอ
“หายไปนานเลยนะ”
ป้าร่างหนาตัวอ้วนท่าทางใจดีทักคนทั้งสอง จันทร์วาดเลยตอบเหนื่อย ๆ
“หนูกำลังหางานน่ะป้า กลับมืดทุกวันเดินจนส้นรองเท้าพังแล้วแต่ยังไม่ได้งานเลย”
“เออ งานสมัยนี้ยิ่งหายาก สู้ไปทำออนไลน์ดีกว่าทำคนรวยไปเยอะแล้ว”
“หนูก็ว่างั้นแหละค่ะ”
เดือนรีบเสริมจากนั้นก็คุยกับป้าอีกหลายคำก่อนที่ป้าจะขอตัวไปตั้งร้านช่วยคนงานพม่าอีกสองคนที่จ้างมา
กินเบียร์ไปได้สองขวดป้าก็บอกว่าอาหารพร้อมให้สั่งแล้ว เดือนจึงเริ่มเปิดเมนู จันทร์วาดรีบบอกเพื่อน
“มึงเบา ๆ นะ กูไม่ค่อยหิว กูยังลดความอ้วนอยู่”
จันทร์วาดลูบท้องบอกเพื่อนรัก
“แดกเบียร์ไปสองขวดยังจะลดไรอีก พรุ่งนี้ค่อยลดวันนี้แดกไปก่อน แดกเพิ่มอีกวันไม่ทำให้มึงอ้วนขึ้นหรอก”
“มึงก็พูดแบบนี้ทุกวัน”
เดือนส่ายหน้า
“ความผิดมึงแหละ แหมมึงบอกลดความอ้วนแต่ชวนกูแดกทุกวัน มึงน่ะเลิกบ่นได้แล้วรำคาญ วันนี้กูจัดเบา ๆ ให้แล้วกัน กูเลือกเอง เน้นเนื้อเน้นโปรตีนไม่เน้นแป้ง ม่ายยยยอ้วนแน่นอน”
“เออเอา แบบนั้นแหละ”
จันทร์วาดยิ้มแป้น จากนั้นเดือนก็เริ่มสั่ง
“ป้าคะ ขอตำกุ้งสด ตำทะเล ตำลาว ยำตีนไก่ ไส้อ่อนย่าง ต้มแซ่บ เล้ง เนื้อย่าง ลิ้นย่าง เนื้อวัว ตับหวาน ซอยจุ๊ มาอีกหนึ่ง อ้อ ข้าวเหนียวสอง เพิ่มขนมจีน เอาเบียร์มาอีกสองขวดด้วยค่ะ”
จันทร์วาดได้ยินเสียงของป้าหัวเราะพร้อมกับคนงานพม่าผัวเมียที่มองจันทร์วาดกับเดือนพร้อมกับถามด้วยสำเนียงไม่ชัดเจนว่า
“มีเพื่อนมาอีกเหรอคะ”
จันทร์วาดส่ายหน้า
“ไม่ต้องถึงมือคนอื่นหรอกแค่อีเดือนนี่ก็เอาอยู่แล้ว มากันสองคนนี่แหละ”
เดือนถลึงตามองเพื่อน จันทร์วาดจ้องกลับ
“ทำไมมองทำไม เดือนกูถามจริงนี่เบาของมึงแล้วเหรอ ขืนกินหมดนี่ตัวก็ไม่บวมจนลอยได้เลยเหรอวะ”
เดือนเสียงเขียวตาเขียว
“จะแดกไม่แดกพูด!”
จันทร์วาดบ่นเบา ๆ
“มึงสั่งไปแล้วนี่ จะยกเลิกก็เกรงใจป้า แดกก็ได้ อีเดือนมึงดูสิสั่งยังกับอดอยากมาจากไหน”
เดือนเบะปากทั้งหรี่ตาจ้องไปที่เมนูอาหารเก่า ๆ ในมือของจันทร์วาดและเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังลดความอ้วนกำลังไล่ดูรายการอาหารไปอย่างช้า ๆ จึงอดที่จะแขวะเพื่อนไม่ได้
“ค่ะ อย่าให้กูเห็นนะคะว่ามึงจะสั่งเพิ่ม”
จันทร์วาดกำลังจะสั่งน้ำตกกับตำปูปลาร้าเผ็ด ๆ เพิ่มถึงกับเงยหน้าขึ้นมายิ้มแหย ๆ
“แหมมึง นาน ๆ กินส้มตำทีก็เต็มที่หน่อย” จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมา
“ป้าคะ เพิ่มน้ำตกกับตำปูปลาร้าแซ่บ ๆ เผ็ดลืมผัว อีกจานค่ะ”
สั่งจบก็จ้องตาเพื่อนรัก เดือนจ้องกลับสองคนจ้องกันไปจ้องกันมาเพื่อเอาชนะ ชั่วอึดใจต่อมาจึงปล่อยเสียงหัวเราะอย่างรู้ใจกันออกมา
สองคนนั่งอยู่ที่ร้านตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงห้าทุ่ม อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนซัดหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เมื่อท้องอิ่มทั้งยังเมาแล้ว ต่างคนต่างหิ้วปีกกันออกมาจากร้านส้มตำในสภาพปูนาเดินเซ ทุลักทุเลไม่น้อยกว่าจะแบกกันขึ้นมาที่คอนโดและเข้าห้องได้
เดือนคลานไปนอนที่เตียงในขณะที่จันทร์วาดเข้าไปอาบน้ำ เธอเป็นคนรักสะอาดต่อให้เมาเหมือนหมาก็ไม่มีทางนอนทั้ง ๆ ที่ร่างกายสกปรก
หลังจากอ้วกไปสองครั้งและอาบน้ำเย็นจัดจนรู้สึกดีขึ้นมาแล้วจันทร์วาดก็สวมเสื้อคลุมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าคลุมผมที่เปียกชื้น
เดิมตั้งใจจะไดร์ผมให้แห้งแล้วไปนอนในห้องของตัวเอง แต่สายตาดันไปสะดุดเข้ากับเป้ของเดือนที่วางอยู่บนพื้นห้อง สมองคิดไปถึงคุณหลวงอัครเดชขึ้นมาโดยพลัน
จันทร์วาดเดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นมารูดซิบแล้วดึงหนังสือนิยายเล่มใหญ่ออกมา
หญิงสาวอุ้มหนังสือเดินไปที่ห้องของตัวเอง เปิดโคมไฟข้าง ๆ แล้วเริ่มต้นพลิกหน้ากระดาษไปทีละหน้ากระทั่งถึงหน้าสุดท้ายที่เธออ่านค้างเอาไว้
ช่วงหนังสือตรงนี้ลางเลือนจนมองไม่เห็น และอยู่ ๆ ตัวหนังสือทั้งหมดก็หายไปคาตา
จันทร์วาดตกใจจนทำหนังสือร่วงเธออึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ หยิบหนังสือขึ้นมา
หญิงสาวเปิดไปยังหน้าที่เธออ่านค้างอยู่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“หายไปแล้ว หายไปจริง ๆ ด้วย”
หญิงสาวตกใจมากกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น
“หรือว่าเป็นเพราะอากาศในห้องนี้แอร์เย็นไป จึงเกิดทำให้หมึกหายไปกับตาต้องเกิดปฏิกิริยาทางเคมีแน่ ๆ”
จันทร์วาดพยายามหาเหตุผลที่อยู่ ๆ ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เธอคิดจะไปกวนเพื่อสาวบรรณารักษ์เผื่อว่าเดือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในขณะที่จันทร์วาดลุกขึ้นนั้น อยู่ ๆ ไฟก็ดับพรึ่บ!
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดทันใด
“ไฟมาดับอะไรตอนนี้”
ฉับพลันเธอก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่ารุนแรง เหมือนเธอเป็นเศษผงที่กำลังถูกเครื่องดูดฝุ่นยักษ์ดูดเธอให้ลอยคว้าง
ร่างเล็กหมุนวนไปรอบ ๆ เธอรู้สึกวิงเวียนและลอยละล่อง
กรี๊ดดดดด
หญิงสาวกรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดังเมื่อตอนนี้รับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังลอยไปยังที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะหน้ามืดและหมดสติไปในที่สุด
สาเหตุที่เขาได้ดูแลเด็กคนนี้นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ของเอยและพี่ชายของเอยเป็นเพื่อนสนิทของเขา ครอบครัวเอยจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เอยอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น ญาติของเอยก็ไม่มีใครเหลียวแลทำให้เขาซึ่งสนิทกับครอบครัวของเอยที่เห็นเอยมาตั้งแต่เล็ก ๆ เกิดความสงสารจึงได้ขอให้พ่อแม่ของเขารับเอยมาเลี้ยงดู และพ่อแม่ของเขาก็ตกลง หลังจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จึงทิ้งให้เขาและเอยอยู่ด้วยกันที่เมืองไทยตามลำพัง นับตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นพี่ชายของเอยเต็มตัว แต่วันนี้เมื่อเอยโตขึ้น เธอกลับไม่เห็นบุญคุณและคิดจะจากเขาไปง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่นับวันเขาจะรักเธอจนกระทั่งถอนตัวไม่ขึ้นและเฝ้ารอเธอเติบโตมานานขนาดนี้ ++++++ “อ๊า...เฮียอย่านะ อย่าทำหนู” สาวน้อยส่งเสียงครางเล็ดลอดออกมาเพราะความเสียวซ่าน และเอ่ยห้ามแต่น้ำเสียงของเธอคล้ายกระตุ้นเขายิ่งขึ้นไปอีก “เอยอยากใช่หรือเปล่า หนูก็ต้องการเฮียใช่ไหม” “ไม่...อย่านะเฮีย หนูไม่ได้ต้องการเฮีย เฮียเป็นพี่ชายหนูนะ” “ต่อไปเฮียจะเป็นผัวหนู แล้วจะเอาหนูแรง ๆ ให้หนูไปไหนไม่ได้ต้องร้องหาเฮียเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้เอยหวาดกลัว แต่ในความรู้สึกนี้กลับมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างประหลาด หญิงสาวผลักเขาออกเมื่อธนเดชดึงชุดนอนของเธอจนขาด แต่แรงของเขามีมากกว่าตอนนี้เธอจึงยืนเปลือยต่อหน้าเขา เอยยืนน้ำตาไหลพราก เมื่อเขาเห็นเขาจึงเหยียดยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “ฉันเกลียดแก อื้อ อื้อ”
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
องค์หญิงใหญ่รั่วเสียน ต้องปกป้องบัลลังก์ของน้องชายที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงแค่ 4 ขวบ ดังนั้นนางจึงต้องหาทางมัดใจเสนาบดีกัวผู้กุมอำนาจราชสำนักเอาไว้ให้ได้ ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่ต้องการแต่งงานกับนาง เขายังทำตัวดั่งบิดาหาบุรุษไว้ให้นางอีก รั่วเสียนจึงต้องฝึกฝนการยั่วยวนเขาเพื่อหาวิธีมัดใจบุรุษผู้นี้เอาไว้ให้ได้ และนางก็ต้องตกใจเมื่อเสนาบดีกัวกลับมีถึงสองคน! +++ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายจีนโบราณประเภทนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นเรื่องแต่งขึ้นจากจินตนาการไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ดังนั้นภายในจะมีฉาก เนื้อหา เน้นหนักที่เรื่องเพศระหว่างชายหญิง มีการร่วมรักกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (3P) และอาจมีความไม่สมเหตุสมผลบ้าง ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
คำโปรย หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต จูเมยได้ถูกท่านอาบุญธรรมรับเลี้ยง ท่านอาผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเมตตา ได้กลายเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งในชีวิตนาง หัวใจที่อ่อนโยนของจูเมยเริ่มเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้ท่านอา แต่ท่านอาคิดอย่างไรกับนางกันแน่? หรือว่าความรักนี้เป็นเพียงความรู้สึกที่นางมีอยู่เพียงฝ่ายเดียว? เมื่อหัวใจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน จูเมยกลับรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้ "ท่านอา...อย่าดีต่อข้ามากนักได้หรือไม่" นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักจีนโบราณ มีดราม่าเล็กน้อยช่วงเริ่มต้น จบสุขนิยม ไม่มีนอกกายนอกใจ เป็นความรักฟิน ๆ ระหว่างท่านอาและหลานสาว(บุญธรรม)ตัวน้อยของตนเอง
เรื่องย่อ จื่อเม่ยเป็นนักเขียน และได้เข้าไปอยู่ในนิยายที่ตัวเขียนเขียนเอาไว้ในฐานะตัวประกอบในนิยายที่ออกมาเพียงสองตอนก็ตาย นางถูกตัวร้ายกักขังเอาไว้ในจวน เจื่อเม่ยรู้ว่าเขาต้องตายและจำทำให้นางตายไปด้วย นางจึงต้องหาวิธีหนีจากเขาเพื่อเอาตัวรอด! นิยายเรื่องนี้เป็นแบบสุขนิยมนะคะ พระเอกจะธงแดงในตอนแรก ๆ เพราะนางเป็นตัวร้ายตามเนื้อเรื่องนะคะ หลังจากนั้นก็รักเมียที่สุดในโลกค่ะ ไม่มีนอกกายนอกใจค่ะ แนะนำตัวละคร จื่อเม่ย นักเขียนที่ย้อนไปอยู่ในโลกนิยายในร่างของอนุจื่ออิน จื่ออิน อนุของตัวร้ายที่ออกมาแค่สองตอนก็ตาย และคนที่จื่อเม่ยมาใช้ร่างกาย ซีเฉิน / องค์ชายสี่ /ซีอ๋อง ตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ ซีหลาน บุตรชายอายุ 5 ขวบของตัวร้าย รั่วหนิง พระชายาที่ซีเฉินไม่เคยเหลียวแล เหล่าหลง และ เหล่าอี้ องครักษ์ฝาแฝดของซีเฉิน ผู้จงรักภักดี ซีกุ้ยเฟย แม่ของซีเฉิน นางมีความแค้นที่ฝ่าบาทเคยทอดทิ้ง จึงคิดจะแก้แค้นทุกคนและสั่งสอนให้ซีเฉินบุตรชายชิงบัลลังก์ หยางโจวซือ / องค์ชายหก / หยางอ๋อง พระเอกของเรื่องที่จื่อเม่ยวางเอาไว้ในนิยาย
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."