แค่ทะลุมิติมาในโลกยุคโบราณก็นับว่าแย่มากพอแล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอต้องมาแต่งงานกับท่านอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าอำมหิตมากที่สุดในเมืองหลวง แล้วจางอวิ๋นซีจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของท่านอ๋องจอมโฉดได้อย่างไร
“ขุดหลุมให้ลึกๆ กว่านี้!” เสียงแหลมแต่ทว่าทรงอำนาจสั่งกับชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่ถึงห้าคน เหล่าบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้น กำลังใช้จอบขุดดินให้เป็นหลุมลึกท่ามกลางความมืดมิด เมื่อแน่ใจว่าขุดหลุมจนลึกมากพอ ร่างกำยำของชายฉกรรจ์ทั้งหมดจึงนำโลงศพโลงหนึ่ง ซึ่งต่อจากโลงไม้เล็กๆ เตรียมฝังไว้ในหลุม ที่พวกตนช่วยกันขุด
กึก! กึก!
เสียงสั่นสะเทือนที่ดังขึ้นเป็นระยะในโลงไม้ขนาดเล็กนั่น ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต้องโยนโลงไม้ลงด้วยความตกใจ สตรีในชุดคลุมสีดำปกปิดใบหน้าท่ามกลางความมืดตวาดใส่พวกมันเหล่านั้นอย่างไม่พอใจ
“ตกใจอันใดกัน! รีบฝังร่างมันเดี๋ยวนี้!” เสียงนั้นออกคำสั่งอีกครั้ง ชายฉกรรจ์เหล่านั้นหันมามองหน้ากันอย่างหวาดกลัว แต่ทว่าเสียงในโลงไม้นั้นกลับดังเป็นระยะ
กึก! กึก! กึก! กึก!
เสียงที่ถูกเคาะมาจากด้านในโลงไม้ท่ามกลางความมืดมิดในป่าช้าอันเงียบเหงาแห่งนี้ พร้อมกับบรรยากาศรายรอบที่แสนวังเวง และสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาสร้างความหวาดกลัวยิ่งนัก
ซ่า!
เสียงฝนเทลงมาห่าใหญ่ ดินที่เคยแข็งบัดนี้กลับชุ่มชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝนจนกลายเป็นขี้โคลนเปียกๆ กลุ่มใหญ่ เหล่าชายฉกรรจ์ตัดสินใจรีบฝังโลงไม้ลงในหลุมนั้นให้เสร็จเรียบร้อยตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ท่ามกลางฝนตกกระหน่ำและเสียงเคาะจากในโลงไม้ที่ดังขึ้นเป็นระยะ จนกระทั่งเกิดเสียงฟ้าผ่าชวนตกใจ พวกมันทั้งห้าคนทิ้งโลงไม้อย่างตกใจกลัว ร่างของหญิงสาวที่นอนตายตาเหลือกกระเด็นออกมาจากโลงศพนั้น ร่างของนางนัยน์ตาเหลือกลาน สองมือถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา ปากของนางถูกอุดเอาไว้ด้วยผ้าผืนใหญ่ ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
พวกชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางราวกับหวาดกลัว ทิ้งร่างไร้วิญญาณให้นอนแน่นิ่งมิได้สนใจไยดี
ส่วนสตรีผู้ว่าจ้างนางนั้นกลับเดินออกไปอีกทางของป่าช้าด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
‘เซียวเหม่ยฉี’ ในร่างไร้วิญญาณของ ‘จางอวิ๋นซี’ ตื่นขึ้นมาพร้อมกับสภาพดินโคลนที่เปียกปอนบนร่างกาย นางพยายามประมวลผลภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เธอคือแพทย์สาวที่มาท่องเที่ยวในวันหยุด แต่สุดท้ายกลับต้องตายเพราะความปรารถนาดีอยากช่วยเหลือเด็กคนนั้นให้รอดพ้นจากอันตราย แต่แล้วแทนที่วิญญาณของเธอควรจะไปเข้าเฝ้าพระยม แต่นี่เธอกลับมาสิงร่างของสตรีที่นอนอยู่ท่ามกลางกองดินโคลนสกปรกเหล่านี้
เซียวเหม่ยฉีเธอเป็นแพทย์ทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในเมืองหลวงของประเทศจีน ในวันนั้นเธอแค่ออกมาท่องเที่ยวในวันหยุดเนื่องจากนานๆ ทีเธอจะสามารถแลกเวรกับเพื่อนร่วมแผนกได้ แต่ทว่าในวันนั้นกลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นวันชะตาขาดของเธอเองและยังต้องมาพบหญิงสาวที่น่าสงสารคนนั้นอีก
‘พี่สาวคนนี้มาช่วยแล้ว!’ เซียวเหม่ยฉีกล่าวขณะตะเกียกตะกายว่ายน้ำลงไปช่วยเด็กชายที่กำลังจมน้ำ ในสวนสนุกแห่งหนึ่งของเมืองหลวง เด็กชายคนนั้นอายุประมาณเพียงเจ็ดขวบแต่พ่อแม่กลับปล่อยปละให้เล่นน้ำเพียงลำพังโดยมิได้ดูแลแต่อย่างใด
เมื่อคว้าร่างของเด็กชายตัวอ้วนมาได้ แทนที่เธอจะสามารถพาเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่งมาได้ แต่เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงขาของนางลงมาใต้น้ำ ไม่ว่านางจะพยายามตะเกียกตะกายอย่างไรก็ไม่อาจสะบัดตนเองหลุดจากการเกาะกุมลึกลับนั้นได้ จนในที่สุดร่างของเธอจึงค่อยๆ หมดลมหายใจลง
และ...
‘ที่นี่ที่ไหน?’
วิญญาณที่ลอยเวิ้งว้างอยู่กลางอากาศของเซียวเหม่ยฉีมองสิ่งรอบๆ ข้างด้วยความตกใจ รอบๆ ตัวนางนี้ว่างเปล่าไปหมด มีแต่สีขาวโพลนและจุดหมายปลายทางที่ไม่มีสิ้นสุด
‘เซียวเหม่ยฉี’ เสียงหวานแต่เจือปนไปด้วยความเศร้าร้องเรียกนางอยู่หลายครั้ง จนเซียวเหม่ยฉีต้องมองหาที่มาของเสียงด้วยจิตใจที่หวาดกลัว หญิงสาวหมุนร่างวนรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด มีเพียงแค่เสียงที่ลอยมาตามอากาศเท่านั้น
‘เซียวเหม่ยฉี’ เสียงหวานนั้นเรียกซ้ำอีกหลายรอบ จนกระทั่งผู้ขานเรียกหญิงสาวมาปรากฏกายตรงหน้า อีกฝ่ายคือสตรีหน้าตางดงาม แต่ทว่ากลับเจือไปด้วยความเศร้าโศกอย่างชัดเจน เซียวเหม่ยฉีมองใบหน้างดงามของหญิงสาวผู้เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเหมือนกับนางด้วยความสงสัย
‘เธอคือใคร?’ เซียวเหม่ยฉีเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มอ่อนๆ ให้กับนาง
‘ข้าคือจางอวิ๋นซี ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ’ จางอวิ๋นซีแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ ใบหน้าเศร้าสร้อยของนางแต่ทว่างดงามนักกำลังมองเซียวเหม่ยฉี
เซียวเหม่ยฉีกำลังรอฟังอีกฝ่ายกล่าวต่ออย่างใจจดใจจ่อ
‘ช่วยข้าด้วยนะ ช่วยแก้แค้นให้ข้าด้วย พวกมันสังหารข้า!’ จางอวิ๋นซีเว้าวอนต่ออีกฝ่ายทั้งน้ำตา ดวงตาที่เคยงดงาม บัดนี้เปลี่ยนเป็นความโกรธดุดันน่า
กลัวยิ่ง
‘เดี๋ยวๆ นะ ใครคิดทำร้ายเธอกัน ฉันไม่รู้จักเธอทั้งนั้น’ เซียวเหม่ยฉีปฏิเสธเสียงหนักแน่น
‘ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมดวงจิตสุดท้ายของข้าถึงมาหาเจ้า แต่เจ้าคือผู้ที่ถูกเลือก โปรดช่วยข้าด้วยเถิด’ จางอวิ๋นซีเว้าวอนทั้งน้ำตา
‘แต่ฉันคือวิญญาณที่ตายแล้ว เธอจะให้ฉันช่วยยังไง?’ เซียวเหม่ยฉีถาม นางสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายในเพลานี้
‘เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอแค่ช่วยข้า...ใช้ร่างของข้าตามหาคนร้ายที่ฆ่าข้า ดูแลท่านแม่ที่อ่อนแอของข้า ได้หรือไม่?’ จางอวิ๋นซีกุมมือข้างหนึ่งของเซียวเหม่ยฉีขึ้นมา
‘แล้วใครฆ่าเธอ?’ เซียวเหม่ยฉีถาม แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไม่รู้
ใครฆ่าตัวเองตายยังไม่รู้เลย ท่าทางจะศัตรูเยอะเหมือนกันนะ...เซียวเหม่ยฉีคิดในใจ
‘แต่ว่าถ้าฉันช่วยเธอ ฉันจะได้อะไรล่ะ...’ เซียวเหม่ยฉีพยายามต่อรองกับอีกฝ่าย
จางอวิ๋นซีมีคำตอบในใจอยู่นานแล้ว เรื่องที่เจอเซียวเหม่ยฉีนั้นเป็นเรื่องที่นางจงใจให้เกิดขึ้น หลังจากที่นางตายไปไม่นานด้วยฝีมือของคนชั่ว วิญญาณนางก็ถูกพามาที่สวนสนุกแห่งนั้น และเซียวเหม่ยฉีนางได้เลือกเอาไว้แล้วว่าจะต้องช่วยนางแก้แค้นคนที่ฆ่านางได้แน่นอน
‘หลังจากจบเรื่องทุกอย่าง ข้าจะมารับเจ้ากลับไป ร่างกายเจ้าในภพนี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม ข้าจะช่วยดูแลให้เพื่อตอบแทนที่เจ้าช่วยเหลือข้าในครั้งนี้’ จางอวิ๋นซียื่นข้อเสนอต่อรองกับอีกฝ่าย
เซียวเหม่ยฉีไม่ค่อยมั่นใจกับจางอวิ๋นซีเท่าใดนัก แม้อีกฝ่ายในตอนนี้จะเป็นวิญญาณธรรมดา แต่กลับดูอมทุกข์และป่วยด้วยสารพัดโรคยิ่งนัก
‘แต่ว่าฉัน...’ เซียวเหม่ยฉียังคงลังเลอยู่
จางอวิ๋นซีกล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ “ไม่มีเวลาเอ่ยมากแล้ว..”
ทันทีที่จางอวิ๋นซีกล่าวจบ นางรวบรวมพลังทั้งหมดคว้าแขนทั้งสองของ
เซียวเหม่ยฉี แล้วเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายใส่ร่างไร้วิญญาณของตนเองในโลงไม้นั่นทันที
และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...
เซียวเหม่ยฉีฟื้นขึ้นมาอีกทีในร่างของจางอวิ๋นซี ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน เซียวเหม่ยฉีหรือจางอวิ๋นซีพยุงตนเองขึ้นจากกลุ่มดินโคลนที่พยายามดูดร่างของนางลงไป ตอนนี้เธอไม่ใช่เซียวเหม่ยฉี แพทย์แผนกฉุกเฉินอีกต่อไป แต่เธอคือจางอวิ๋นซีสตรีจากโลกอดีตและเป็นสตรีที่ถือกำเนิดใหม่เพื่อมาทำตามข้อแลกเปลี่ยนของเจ้าของร่างตัวจริง
“คุณหนู!” เสียงเรียกใสแจ๋วท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เซียวเหม่ยฉีหรือจางอวิ๋นซีคนใหม่หันไปตามที่มาของเสียง เห็นหญิงสาวตัวน้อยกำลังกางร่มคันใหญ่ร้องเรียกนางเสียงดัง ก่อนจะปรากฏร่างของผู้ชายอีกห้าถึงหกคน
“คุณหนูขอรับ!” พ่อบ้านมู่ของจวนสกุลจางตะโกนเรียกอีกฝ่ายอย่างดีใจ เขากับทหารของจวนรีบเข้าไปประคองร่างของจางอวิ๋นซี
เซียวเหม่ยฉีพยายามขบคิดและตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บัดนี้เธออยู่ในร่างของจางอวิ๋นซี ทำข้อตกลงกันทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับอีกฝ่ายทำให้เธอเริ่มมึนงงสับสนนัก
‘มีคนต้องการฆ่าจางอวิ๋นซีจริงๆ ด้วย’
ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ แต่ทว่าเซียวเหม่ยฉีแทบไม่ได้สนใจเลยสักนิด ตอนนี้เธอกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ราวกับความฝัน สตรีนางนั้นที่มาปรากฏตัวในขณะที่เธอกำลังจมน้ำ ช่างมาได้เวลาเหมาะเจาะจริงๆ
“คุณหนูเจ้าคะ!” สาวใช้ของจางอวิ๋นซีนามว่าหรูหรงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับร่มคันใหญ่ในมือ นางกางร่มให้กับจางอวิ๋นซีด้วยใบหน้าที่เปียกโชกด้วยน้ำฝนจนเปียกปอนไปทั่วร่าง
พ่อบ้านมู่ตะโกนสั่งหรูหรงท่ามกลางสายฝนที่ตกโหมกระหน่ำ
“เจ้ารีบพาคุณหนูกลับไปหาไท่ฮูหยินก่อนเถิด!”
เซียวเหม่ยฉีในร่างของจางอวิ๋นซีซึ่งในตอนนี้กำลังมึนๆ งงๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า นางถูกผู้ติดตามของพ่อบ้านมู่และหรูหรงนำขึ้นเกี้ยวพากลับไปยังบ้านเดิมของเจ้าของร่างนี้
ความเหนื่อยอ่อนและบรรยากาศเย็นเฉียบจากพายุฝนที่ตกโหมกระหน่ำเช่นนี้ ทำให้เซียวเหม่ยฉีหรือจาง อวิ๋นซีเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน นางไม่มีเวลาให้มาคิดมากแล้ว หากสิ่งที่จางอวิ๋นซีคนก่อนต้องการให้นางทำคือการหาตัวคนร้ายที่แท้จริง ผู้ที่เป็นฆาตกรทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ เธอก็จะช่วยสุดความสามารถนั่นล่ะนะ
ย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อน
จางอวิ๋นซี บุตรีเพียงคนเดียวที่เกิดจากภรรยาเอกของจางเยี่ยนหรือใต้เท้าจาง อัครมหาเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้นหาน ผู้มีรูปโฉมงดงามและอ่อนหวาน นางเป็นหลานสาวที่รักของไท่ฮูหยินและมารดาเป็นอย่างมาก แต่ทว่าต่อให้นางจะเป็นที่โปรดปรานของไท่ฮูหยินผู้เป็นย่ามากเท่าใด แต่นางยังคงเป็นที่รังเกียจของบิดา เนื่องจากตั้งแต่เกิดมานางก็ป่วยด้วยสารพัดโรค ไม่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับบิดาและสกุลจางได้นัก
นางมีพี่สาวหนึ่งคนซึ่งเป็นบุตรีถือกำเนิดจากฮูหยินรองหลี่ นามว่าจางเซียวหรู พี่สาวผู้มีความเป็นเลิศในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารหรือการเย็บปักถักร้อย แม้กระทั่งศาสตร์วิชาทั้งหกแขนงนางก็ร่ำเรียนได้จนแตกฉานนัก ทำให้บิดาอย่างจางเยี่ยนทั้งรักและโปรดปรานนางเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้นางกับมารดาซึ่งเป็นฮูหยินรองจะรังแกจาง อวิ๋นซีกับมารดาผู้เป็นภรรยาเอกเท่าใด จางเยี่ยนก็ไม่ใส่ใจนักและยังคอยปกป้องพวกนางทั้งสองอยู่ร่ำไป
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้รังแกท่านแม่รองและพี่หญิงใหญ่จริงๆ นะเจ้าคะ!” เสียงร่ำไห้ของจางอวิ๋นซีดังขึ้นพร้อมกับร่างของนางที่คุกเข่าลงต่อหน้าบิดา บิดาของนางผู้ซึ่งใบหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ แต่กลับมีสีหน้ายิ้มสะใจของหลี่ฮูหยินและจางเซียวหรูปรากฏออกมาน้อยๆ
สาเหตุที่จางอวิ๋นซีคุกเข่าต่อหน้าบิดาเช่นนี้ เนื่องจากนางถูกจางเซียวหรูใส่ร้ายว่าขโมยผ้าไหมพระราชทานจากหยางเต๋อเฟยด้วยความอิจฉาริษยาที่เห็นนางผู้เป็นพี่สาวได้ดีกว่า แต่ทว่าจางอวิ๋นซีไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น มารดาของนางสอนมาเสมอว่าให้เคารพฮูหยินรองดุจมารดาและเคารพพี่สาวประดุจพี่แท้ๆ แต่ทว่าสิ่งที่นางได้รับตอบแทนคือการกลั่นแกล้งแบบไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านพี่ นางคงถือว่าเป็นคนโปรดของไทเฮากระมังเพคะ ทั้งไทเฮาและท่านย่าต่างก็โปรดปรานนางทั้งนั้น อีกทั้งฮองเฮาเองก็หมายตาให้นางเป็นไท่จื่อเฟย นางคงคิดว่าจะทำอันใดกับพวกเราสองแม่ลูกที่ด้อยกว่าก็ได้เจ้าค่ะ” หลี่ฮูหยินแม้จะเป็นคนวางแผนจัดฉากทั้งหมด แต่ยังคงแสร้งบีบน้ำตาต่อหน้าผู้เป็นสามีได้อย่างน่าสงสารนัก
“ท่านแม่รอง เหตุใดท่านจึงอ้างเช่นนี้ ผ้าไหมนั่นข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ นะเจ้าคะ!” จางอวิ๋นซีแย้งกลับ แต่ผู้เป็นบิดาหาได้ฟังเหตุผลไม่ มิหนำซ้ำยังตวาดใส่บุตรสาวจากภรรยาเอกเสียงดัง
“เจ้าอิจฉาพี่สาวเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เจ้าเห็นนางได้ดีกว่า มีผู้คนรักใคร่มากกว่าเจ้าจึงคิดทำร้ายนางตลอดเวลา ข้าชิงชังนักที่มีลูกเช่นเจ้า!” ถ้อยคำที่ผู้เป็นบิดากล่าวออกมา วาจาร้ายกาจที่นางได้ยินนั้นเสียดแทงจิตใจนางยิ่งนัก ยามนี้จางอวิ๋นซีไม่สามารถตอบโต้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับนางได้เลยสักนิด
“แต่ข้ายืนกรานว่าอย่างไรข้าก็ไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะท่านพ่อ ท่านแม่รองใส่ร้ายข้าทั้งหมด ข้าไม่รู้...” จางอวิ๋นซีพยายามโต้แย้งทวงคืนความยุติธรรมให้ตนเอง แต่ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจนจบประโยค ฝ่ามือของหลี่ฮูหยิน ซึ่งมีฐานะเป็นภรรยารองของจางเยี่ยนกลับตบเข้าที่ใบหน้าของนางพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสะใจ
ส่วนจางเยี่ยนนั้นได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่สนใจ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าบุตรีผู้นี้จะโดนกระทำเช่นไร
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของไท่ฮูหยินดังขึ้น นางเดินเข้ามาพร้อมกับจางฮูหยิน ซึ่งเป็นภรรยาเอกของจางเยี่ยนและมารดาของจางอวิ๋นซี ไท่ฮูหยินเดินเข้ามาประคองร่างของผู้เป็นหลานสาวที่ถูกตบจนเลือดกบปากด้วยฝีมือของลูกสะใภ้คนรอง
นางมองหลี่ฮูหยินด้วยแววตาเดือดจัด “เจ้าเป็นภรรยารอง เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาตบตีหลานสาวข้า!”
“ท่านแม่ เซียวหรูลูกข้าก็เป็นหลานสาวท่านเช่นกัน ซีเอ๋อร์ขโมยผ้าไหมพระราชทานจากหยางเต๋อเฟยไป ข้าจะโกรธแทนลูกสาวมิได้รึ? นางอิจฉาลูกข้ามาตั้งแต่เด็กยันโต คิดร้ายกับพี่สาวของนางได้อย่างไร!” หลี่ฮูหยินตั้งใจวางแผนนี้ทั้งหมดมาเพื่อกำจัดและกลั่นแกล้งจางอวิ๋นซี แต่นางไม่คาดคิดว่าไท่ฮูหยินจะมาห้ามและให้ความยุติธรรมแก่จางอวิ๋นซีเพียงผู้เดียว
“ท่านแม่ ข้าขอร้องล่ะ...อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย” จางเยี่ยนเข้ามาปลอบประโลมอารมณ์ของผู้เป็นมารดา แต่ทว่าไท่ฮูหยินกลับสะบัดมือของบุตรชายออกอย่างไม่สนใจ
จางฮูหยินเข้ามาปลอบประโลมบุตรสาวที่ถูกตบ นางทั้งเจ็บทั้งแค้นใจแต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ เนื่องด้วยอำนาจในการดูแลบ้านนี้ทั้งหมดถูกมอบให้กับหลี่ฮูหยิน ซึ่งมีฐานะเป็นภรรยารองและเป็นบุตรสาวคหบดีผู้ร่ำรวย ส่วนนางในตอนนี้เป็นเพียงแค่น้องสาวของฮองเฮาที่สามีไม่เคยแยแสนับตั้งแต่แต่งงานร่วมหอมาด้วยกันเกือบยี่สิบปี สามีไม่เคยเหลียวแลนางกับลูกนางไม่เคยตำหนิ สามีรักหลี่ฮูหยินมากกว่านางก็ไม่เคยโกรธ แต่ว่าสิ่งที่หลี่ฮูหยินทำลงไปวันนี้นั้นเกินขอบเขตที่นางจะอดทนได้แล้วจริงๆ
“นายท่าน...ท่านไม่เคยรัก ไม่เคยเมตตาลูก ข้ากับลูกก็อดทนมาตลอด แต่ ณ วันนี้วันที่ท่านไม่ได้ถามหาความจริง แต่ท่านกลับปล่อยให้ฮูหยินรองทำร้ายลูกอย่างไม่ยุติธรรม เช่นนี้แล้วความยุติธรรมนั้นมีจริงรึ!” จางเยี่ยนทำท่าจะตบภรรยาเอกของตนเองแทนด้วยความโมโห แต่ทว่าเสียงทรงอำนาจของไท่ฮูหยินผู้เป็นมารดาดังขึ้นห้าม
“พอได้แล้ว!” ไท่ฮูหยินตวาดขึ้นเสียงดัง
นางมองหน้าบุตรชายผู้เป็นจ้าวสกุลด้วยความไม่พอใจยิ่ง
“ลูกภรรยาเอกกับภรรยารองแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เจ้าเลือกรักแม่ไม่ว่า แต่ซีเอ๋อร์นางคือลูกในไส้ของเจ้าเช่นกัน เจ้าทำกับนางเช่นนี้หากองค์ฮองเฮาทรงทราบขึ้นมา โทษหนักสถานใดเจ้ารู้หรือไม่?!”
การที่ไท่ฮูหยินกล่าวถึงหลิวฮองเฮา เพราะว่าองค์ฮองเฮานั้นทรงเป็นพระญาติสนิททางฝั่งของจางฮูหยิน และทรงมีอำนาจในราชสำนักมากพอสมควรทีเดียว แต่ทว่าต่อให้พี่สาวของจางฮูหยินจะเป็นถึงฮองเฮา คนอย่างจางเยี่ยนก็แทบไม่สนใจไยดีนางนัก แม้จะไม่เคยตบตีนาง แต่ทว่ากลับปล่อยให้หลี่ฮูหยินรังแกนางกับบุตรสาวได้ตามอำเภอใจ
鳳凰歸來的愛 ชาติก่อน...นางถูกคนที่รักที่สุดทรยศหักหลังจนสิ้นใจ ทว่าเมื่อสวรรค์บันดาลให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางจะใช้ลมหายใจที่เหลือนี้เพื่อจัดการพวกมันทุกคน!
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง