“อารักศรัย รักศรัยมากๆ รู้ไหม อาถึงอยากมีลูกกับศรัยหลายๆ คน” “รักมากนะหนูรู้ แต่มันไม่เกี่ยวกันเลยที่ต้องมีลูกหลายคน” “ก็จริงค่ะ ไม่ว่าจะมีลูกมากหรือน้อยหรือไม่มีเลยความรักที่อามีต่อยายหนูของอาก็ไม่ได้ลดลงเลย แต่ที่อยากมีลูกหลายคนเพราะนึกถึงตัวเอง นึกถึงหนู การเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องอยู่ใกล้ๆ มันเหงาค่ะหรือหนูไม่เหงา” เขาถามในตอนท้าย “ไม่เหงาเลยเพราะอาศิลาอยู่ใกล้หนูตลอดเวลา ถึงตัวจะไกลกันแต่หนูรู้ว่าหัวใจอาศิลาอยู่กับหนู” “รู้ได้ยังไงคะ” “เพราะหนูสวย หนูเก่ง หนูคือศรัย ชัชวาลโชติเด็กหัวแข็งของบ้านไงคะ” “ฮ่าๆ มันเกี่ยวกันได้ยังไงนี่” “หรืออาจะเถียง” หล่อนหันไปจ้องตาเขา ศิลาก้มลงมาจูบแก้มนวลเนียนแล้วพูด “ไม่เถียงครับเพราะหัวใจของอาอยู่กับเด็กหัวแข็งคนนี้มานานแล้วจริงๆ อารักศรัยนะครับ” “หนูก็รักอาศิลาค่ะ”
พรหมลวง
บทนำ
อาคารสองชั้นดูเก่าทรุดโทรมด้วยคราบน้ำฝนเหลืองปนเขียวคล้ำของตะไคร่เกาะผนังภายนอก ต้นไม้ใหญ่ริมหน้าต่างยืนต้นตายทิ้งใบเหี่ยวแห้งกองเต็มพื้นเหลือไว้แต่กิ่งแห้งผุคาต้น เถาวัลย์เหี่ยวเฉาโรยเถาย้อยลงเรี่ยเกลี่ยดิน โคนต้นสุมด้วยใบไม้เหี่ยวแห้งทับถมจนเน่าเปื่อยน่าขยะแขยงหากจะเดินย่ำไป
มองไม่เห็นความเจริญหูเจริญตาจนหญิงสาวเผลอคิดในใจ
‘บ้านคนแน่หรือ’
ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบดังขึ้นทันที
“ถ้าหล่อนเป็นคน ที่นี่ก็บ้านคนย่ะ”
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวกับเสียงคุ้นหูแต่น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากเหมือนโกรธกันมาสักสิบชาติ แต่ที่แน่ๆ หล่อนมาที่นี่คนเดียว แล้วใครกันที่มาตะคอกใส่
หญิงสาวหันกลับไปช้าๆ ใจสั่นมือเย็นเหงื่อชื้น แล้วเบิกตาโพรงกับเจ้าของคำพูดที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งห้อยขาอยู่บนยอดไม้สูงจนไม่คิดว่าจะมีใครปีนขึ้นไปเล่น เด็กคนนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเติบโตเป็นหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนหล่อนราวกับส่องกระจก
“กรี๊ด!”
หญิงสาวลืมตาโพรง ตกใจตื่นกับเสียงกรีดร้องในความฝันที่ยังจำติดตา
นางสาวศรัย ชัชวาลโชติมองหน้ามารดาแทนคำถามว่าแน่ใจหรือ พูดอีกครั้งได้ไหมและพูดจริงๆ หรือนี่ เพราะมัทนาแม่วัยกลางคนของหล่อนบอกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการกระทำในอดีตที่เคยหลีกหนีมาจากอาณาจักรชัชวาลโชติของผู้เป็นปู่ตั้งแต่หล่อนยังอยู่ในท้องเสียด้วยซ้ำ แม่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมหอบท้องมาอยู่กับตายายที่ออสเตรเลียทั้งที่พ่อกับแม่ก็ยังรักกันดี พ่อบินมาหาเยี่ยมเยียนพวกเราบ่อยๆ บางครั้งก็พาแม่กับหล่อนกลับไปเยี่ยมปู่กับย่า แต่แม่ไม่เคยพำนักในคฤหาสน์หลังใหญ่ของปู่เลย เราเข้าพักที่โรงแรมแล้วไปหาปู่กับย่าอยู่ปรนนิบัติท่านทั้งสองทั้งวันจนค่ำมืดจึงกลับมานอนที่โรงแรมโดยมีพ่อตามมานอนด้วย
อันที่จริงหล่อนก็เห็นว่าแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัวของพ่อซึ่งประกอบไปด้วย ปู่แสวง ย่าคิ้ม อาศิตาน้องสาวแสนสวยของพ่อกับอามานิตย์สามี ที่อยู่รวมกันในบ้านหลังใหญ่พร้อมด้วยอสิตาลูกสาวที่อายุน้อยกว่าหล่อนหนึ่งปี แบบนี้เรียกว่าลูกอิจฉาก็คงไม่ผิด เพราะอาศิตาอยู่กินกับอามานิตย์ก่อนพ่อกับแม่จะแต่งงานกันเสียด้วยซ้ำแต่ไม่มีลูกเสียที พอแม่มีหล่อนอาศิตาก็มีอสิตา แต่หล่อนกับลูกผู้น้องคนนี้ก็รักใคร่สนิทสนมกันดี
แม้กระทั่งย่าน้อยประยงค์ภรรยารองของปู่หรือที่อาศิตาเรียกว่านังเมียน้อย กับอาศิลาลูกชายคนเล็กที่เกิดจากย่าน้อยซึ่งอายุมากกว่าหล่อนประมาณห้าหกปี ทั้งสองคนพักในตึกเล็กหลังคฤหาสน์ใหญ่ ก็สนิทสนมกันดีกับแม่
ทุกคนต่างเป็นมิตรที่ดียามกลับไปเยี่ยมเยียน หากพ่อบินมาหาพวกเราคนที่ชัชวาลโชติต่างก็ฝากของมาให้สม่ำเสมอ และอาศิลาเองเมื่อครั้งที่มาเรียนต่อก็แวะมาหาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ เรียกได้ว่าสนิทสนมกันมากทีเดียว ขนาดหล่อนโตเป็นสาวแล้วอาศิลายังฝากขนมมาให้เรื่อยๆ จนเมื่อพ่อบินมาหาครั้งล่าสุดก่อนพ่อจะจากไปก็ยังฝากขนมที่หล่อนชอบมามากมาย
เมื่อพ่อเสียชีวิตจากเหตุคาดไม่ถึงทุกอย่างเหมือนจะเปลี่ยนไป พวกเรากลับไปร่วมงานศพพ่อท่ามกลางความห่างเหินของคนในครอบครัว พวกเขามองเหมือนเราทำให้พ่อตายเหมือนแม่เป็นฆาตกรทั้งที่ตอนพ่อทำอัตวินิบาตกรรมนั้นหล่อนกับแม่อยู่ต่างประเทศ ส่วนพ่อก็ยิงตัวตายในห้องทำงานที่โรงงานแปรรูปอาหารทะเลซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวซึ่งปู่แสวงเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่ม การกระทำของพ่อไม่มีเค้ารางใดๆ ให้คิดว่าพ่อมีเรื่องอัดอั้นตันใจหรือหาทางออกไม่ได้จนต้องตัดช่องน้อยลาโลกไปตามลำพัง
เมื่อตอนได้รับข่าวร้ายหล่อนแทบช็อกร้องไห้ฟูมฟายกอดอาศิลาที่มาส่งข่าวด้วยตนเองเพราะมาติดต่อการค้าให้ปู่ที่ออสเตรเลียพอดี แต่แม่กลับนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนบอกให้เตรียมตัวเดินทางกลับ แล้วแม่ก็รีบไปบอกตากับยาย ส่วนอาศิลารีบจองตั๋วเครื่องบินให้พวกเรา
งานศพพ่อผ่านไปอย่างอาดูรแต่บรรยากาศในครอบครัวดูห่างเหินแตกแยก และแม่พาพวกเราบินกลับออสเตรเลียทันทีที่เก็บเถ้ากระดูกพ่อไปลอยอังคารเสร็จ จากวันนั้นมาร่วมสองปีแล้วที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมปู่ย่าเลย แต่มาบัดนี้แม่ทำให้หล่อนแปลกใจด้วยการเดินเข้ามาบอกว่าจะย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย กลับไปดูแลปู่ย่าและพักในคฤหาสน์ชัชวาลโชติ
“อยากถามแม่ใช่ไหมว่าทำไม” แม่ถามอย่างรู้ใจ ศรัยจึงพยักหน้าพร้อมยิ้มขวยเขินที่ไม่เคยเก็บสีหน้าหรือแววตาได้
“แม่กลับไปดูแลปู่กับย่า ศรัยก็ต้องไปช่วยทำงานที่บริษัท ปู่จะให้ลูกทำงานแทนพ่อ ไหวหรือเปล่า” แม่มีคำถามต่อท้าย
“ทำงานนะไหวอยู่แล้วค่ะ แต่งานที่พ่อเคยทำมีคนอื่นทำแล้วไม่ใช่หรือคะ”
“แต่ปู่บอกให้ลูกกลับไปทำ เพราะศรัยคือทายาทคนเดียวที่จะรับสืบทอดกิจการของชัชวาลโชติ”
“เอ๊ะ! ทำไมปู่พูดแบบนี้ละคะ อาศิตากับอาศิลาก็ยังอยู่”
“ไม่รู้สิ อาจหมายถึงทายาทรุ่นหลานกระมัง”
“รุ่นหลานยังมีอสิอีกคนนะคะแม่”
“แม่ไม่รู้ใจปู่หรอกหนูอย่าถามให้มากเรื่องเลย เตรียมตัวเดินทาง แล้วไปลาคุณตาคุณยายกัน”
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ปู่จองตั๋วเครื่องบินให้แล้ว” แม่บอกแล้วเดินกลับเข้าห้องนอน คงจะเตรียมของเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ซึ่งย่อมไม่เหมือนการกลับไปในช่วงสั้นๆ อย่างที่ผ่านมา
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
เพลิงกัลป์ / Ryuu ริว ซาโต้อิชิบะ หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่ในคราบคุณหมอ หล่อ เลว เถื่อน ร้ายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับ เธอ "กฎของการเป็นของเล่นคือห้ามรักเขา" ลูกพีช รินรดา สวย เซ็กซี่ สดใส ร่าเริง ปากร้าย กล้าได้กล้าเสีย สายอ่อยตัวแม่ "ของเล่นที่มีหัวใจของผู้ชายที่ไร้หัวใจ"