ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ปีพุทธศักราช ๒๓๐๘
อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’
เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี
“ย๊าก.....”
“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน
“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนสิ ไอ้พวกข้าศึกมันจะพากันบุกมาถึงเพลาใดก็หารู้ไม่” สตรีรูปร่างอวบอัดแต่ทว่ามีกล้ามเนื้อราวกับบุรุษเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คำเอื้อยเป็นหญิงสาวชาวบ้านบางระกำวัยสิบเจ็ดปีที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้านบางระกำนับตั้งแต่ที่ข้าศึกบุกเข้ามา นางฝึกฝนการฟันดาบและศิลปะการต่อสู้จนเก่งกาจ
“โถ่!!! นังคำเอื้อย เอ็งก็ให้ข้าพักเสียบ้างเถิด ถึงเพลาที่ไอ้พวกข้าศึกบุกมา พวกเราก็ต้านมันได้ทุกครามิใช่หรือเยี่ยงไร”
นายดู่ถอนหายใจให้กับหญิงสาวที่มีใจกล้าเฉกเช่นเหล่าบุรุษ ไม่ว่าข้าศึกจะมามากเพียงใด นางก็ไม่เคยหลบลี้หนีหน้าไปไหน นางมักจะถือดาบประจันหน้ากับพวกมันเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเสมอ
“พี่ดู่จ๊ะ ไอ้ผุดบอกว่าเสบียงของหมู่บ้านเราเริ่มจะร่อยหรอเสียแล้ว เหตุการณ์ภายนอกเมืองก็มิค่อยจะดีเท่าใดนัก แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีล่ะจ๊ะ”
แก้ว หญิงสาวในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คอยดูแลเสบียงอาหารกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าให้คนออกไปหาเสบียงด้านนอกหมู่บ้าน ก็คงไม่พ้นได้พบเจอกับพวกทหารของพม่าเป้นแน่
“เดี๋ยวข้าจะพาพวกออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเองจะ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”
คำเอื้อยบอกออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากเสบียงอาหารร่อยหรอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะใช้ชีวิตอยู่กันด้วยความลำบาก
“ข้าไปด้วย”
นายอ้นรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากปล่อยให้คำเอื้อยพาพวกออกไปแล้วเจอกับพวกศัตรู เขาจะได้ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับนาง
“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราไปเตรียมตัวกันเถิด ออกไปสักสิบคนก็พอ หากออกไปมากนักจะทำให้พวกข้าศึกรู้ตัวเอาได้”
“ไม่รู้ว่าเพลานี้ข้าศึกมันอยู่ทิศทางใดกัน เหตุใดพักนี้หมู่บ้านของพวกเราถึงได้ดูเงียบจนแปลกประหลาดยิ่งนัก” นายชดเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ให้มันพักกันเสียบ้างเถิด หากพวกมันหมั่นเข้ามาโจมตีพวกเราคงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่” ทองกล้ากล่าวออกมาพลางใช้ผ้าเช็ดดาบเล่มยาวของตน
“ถ้าเช่นนั้นเอาตามนี้แหละจ้ะ ข้า ไอ้อ้น แม่จำปี แม่ลำดวน พี่คล้าว พี่เข้ม พี่คม พี่เสือ พี่ผา และก็พี่ชิด พวกเราทั้งสิบจะออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเอง” คำเอื้อยหันไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลุงทองเย็น
ผู้อาวุโสไม่ห้ามปรามอันใดเพราะหากไม่มีผู้ที่เสียสละตนออกไป ชาวบ้านทุกคนจะต้องพากันอดตายก่อนที่จะตายด้วยน้ำมือของพวกข้าศึก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวและมาพร้อมกันในเพลานัดพบ นายดู่และนายชดจะคอยดูแลหมู่บ้านในยามที่ทั้งสิบคนไม่อยู่ คำเอื้อยและสหายร่วมรบทั้งเก้าคนจึงวางใจ
บุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งเจ็ดและสตรีอีกสามคนที่แต่งกายเยี่ยงชายชาตรี ในมือทั้งสองข้างถือดาบประจำกายพากันเยื้องย่างออกไปทางด้านหลังของหมู่บ้านในเพลากลางคืน เพื่อมิให้ข้าศึกภายนอกได้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านออกไป พวกคำเอื้องจึงต้องออกไปเพลานี้ เพลาที่ทิวาได้ลาลับนภาไป
เสียงนกแสกและนกฮูกร้องดังไปทั่วทั้งแนวป่าหลังหมู่บ้าน กลุ่มบุรุษและสตรีหาญกล้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ถูกข้าศึกตีจนแตกพ่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านบางระกำสองชั่วเพลาในการเดินทาง เพื่อลองหาเสบียงที่น่าจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ในระหว่างทางทุกคนเดินไปด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ข้าศึกได้ยินเสียงฝีเท้า
หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนในที่สุดเหล่าผู้กล้าทั้งสิบคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายจากการรุกรานของข้าศึก ภาพของชาวบ้านที่นอนตายอยู่ทั่วหมู่บ้าน ทำให้คำเอื้องรู้สึกเจ็บแค้นใจโดยเฉพาะพวกหญิงสาวที่ถูกพวกมันข่มเหงรังแกจนตาย หากชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่รอความช่วยเหลือจากพวกทหาร หมู่บ้านนี้ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“คงจะเพิ่งถูกตีพ่ายไปไม่ได้นาน ศพชาวบ้านบางคนตัวยังอุ่นอยู่เลย พวกเอ็งระวังตัวเองกันด้วยล่ะ”
นายคล้าวตะโกนบอกสหายร่วมรบทั้งเก้าคนหลังจากที่เขาก้มลงไปจับชีพจรของชาวบ้านที่น่าจะเพิ่งถูกฆ่าตายได้ไม่นาน
“รีบหาเสบียงที่พอจะนำกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อนเถิด ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพราะไม่รู้ว่าพวกข้าศึกจะยังอยู่แถวนี้หรือว่าจากไปแล้ว”
คำเอื้อยร้องบอกทุกคนในขณะที่นางเดินไปสำรวจตามเรือนชานที่เสียหายจากการถูกไฟไหม้ ร่องรอยนั้นราวกับเพิ่งจะเกิด ชาวบ้านที่ล้มตายก็ยังเนื้อกายอุ่นอยู่ นางจึงคิดว่าพวกมันคงเพิ่งจะบุกมาทำลายหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
ฉีอันหนิง บุตรีของเจ้าเมืองตงหลาง นางเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นบุ๊นหรือบู๊ เพราะความฉลาดซุกซน ทำให้นางไปถูกตาต้องใจ ซ่งมู่เฉิน ผู้เป็นพี่ชายของสหายสนิทและเป็นหัวหน้าของหน่วยพยัคฆ์ดำ ผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมือง ความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายจะลงเอยเช่นไร
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ “เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!”
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า “ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง” และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า ‘ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ’ เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว “ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้” ‘อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ’ เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เจียงเหว่ยยี่ และ กู้เหยียนอันเป็นคู่รักในวัยเด็กมา 12 ปีแล้ว และคบกันมา 3 ปีแล้ว การแต่งงานระหว่างตระกูลเจียง และตระกูลกู้นั้นยิ่งใหญ่มากจนผู้หญิงทุกคนในเมืองเอต่างก็อิจฉา ในวันแต่งงาน สถานที่จัดงานเลี้ยงเต็มไปด้วยแขกและเพื่อนต่างๆ แต่แล้วเมื่อมีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาทำให้กู้เหยียนอันละทิ้งเจียงเหว่ยยี่ ซึ่งแต่งตัวอย่างหรูหราสวยงามแล้ว การหลบหนีจากงานแต่งงานของกู้เหยียนอันทำให้เจียงเหว่ยยี่ดลายเป็นตัวตลกของเมืองเอ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่คนในเมืองเหล่านั้นได้หัวเราะเยาะเท่าไร ก็เห็นเจียงเหว่ยยี่โพสต์ใบทะเบียนสมรสระหว่างเธอกับเสิ่นจินโจว: "แต่งงานแล้ว" จากนั้นไม่นาน เสิ่นจินโจวที่ไม่ได้โพสต์ข้อความมาหลายปีก็โพสต์ว่า "อ่านแล้ว" บางคนบอกว่าครั้งนี้เจียงเหว่ยยี่โชคเข้าข้าง และสูญเสียของเล็กน้อยไป แต่กลับได้ของมีค่ามากกลับมา เพราะกู้เหยียนอันเทียบไม่ติดเสิ่นจินโจวแม้แต่นิดเลย เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาเหล่านี้ เจียงเหว่ยยี่ก็ตอบเห็นด้วยทุกครั้งอย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งวันหนึ่ง นักข่าวการเงินตัวกล้าถามเสิ่นจินโจวว่าเขาคิดอย่างไรกับการแต่งงานของเขา เมื่อทุกคนคิดว่าเสิ่นจินโจวจะเยาะเย้ยเจียงเหว่ยยี่อย่างหยิ่งผยอง แต่เขากลับพูดอย่างใจเย็นว่า: "ผมสมหวังแล้ว"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"