/0/20488/coverbig.jpg?v=2f67c7d7d1849977d16a4a8b2cea3d56)
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
สายลมในฤดูหนาวที่พัดโชยมาปะทะผิวกาย ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ ภายในเรือนใหญ่ใจกลางสวนบุปผานานาพันธุ์ ปรากฏร่างของสตรีที่มีดวงหน้างาม แต่ทว่ายามนี้กลับหม่นหมอง นางกำลังยืนเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่ว่านางจะมองไปยังสถานที่ใด นางก็มักจะเห็นภาพในอดีตแวบผ่านเข้ามา ทำให้หัวใจของนางรู้สึกบีบรัดยิ่งนัก เหตุใดชีวิตคู่ของนางกับเขา ถึงมีจุดจบเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาเขาก็รักนาง ให้เกียรตินางมาตลอด และนางเองก็รักเขาเช่นกัน แม้ทั้งสองจะไม่เคยแสดงความรู้สึกจริงๆ ออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นเลยก็ตาม
“นายหญิง…กลับเข้าห้องเถิดนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวต้องลมหนาวแล้วจะไม่สบายเอาได้ พักนี้ท่านยิ่งนอนน้อยอยู่ด้วย”
ซู่เอ๋อสาวรับใช้ข้างกายของสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้า เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หนึ่งเดือนมาแล้วที่เซี่ยโหว หรือท่านแม่ทัพเซี่ยจากไป ทว่าไม่มีวันไหนเลย ที่ฮูหยินใหญ่จะไม่มายืนเหม่อมองออกไปทางประตูจวนเช่นนี้ ซู่เอ๋อรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
“ข้าอยากจะยืนอยู่ที่นี่อีกสักพัก” ราวกับว่านางยังคงรอคอยใครบางคนให้กลับมา แต่ทว่าผู้ที่นางกำลังรอคอยนั้นไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีกแล้ว
“นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยอนุญาตให้นายหญิงกลับสกุลเดิมได้แล้วนะเจ้าคะ”
เพราะเรือนที่ไร้เจ้าของ ย่อมมีแต่ความหม่นหมอง หลานชายที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของท่านผู้เฒ่าเซี่ย อดีตแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเจิ้ง บัดนี้เหลือเพียงแค่ชื่อเสียงอันดีงามให้ได้กล่าวถึงเพียงแค่นั้น นั่นเป็นเพราะเขาได้พลีชีพในสนามรบไปเสียแล้ว คุณหนูของนางต้องมาตกพุ่มม่ายตั้งแต่ยังสาว นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยย่อมเห็นใจ จึงเขียนหนังสือหย่าให้คุณหนูของนางได้กลับไปยังสกุลเดิม
“ข้าไม่กลับ ข้ารู้สึกผิดต่อเขายิ่งนัก” จ้าวฟางเซียนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่ทว่าฟังดูแล้วหนักแน่น
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน วันนั้นที่อี้จง ลูกน้องคนสนิทของสามีได้กลับมาจากชายแดน พร้อมกับข่าวร้ายที่นางไม่อยากได้ยิน ป้ายประจำกายเปื้อนเลือดของเซี่ยเฟยหลงถูกส่งมาให้แก่นาง จ้าวฟางเซียนรับมาด้วยมือที่สั่นเทา พลันน้ำตาอุ่นร้อนก็ไหลลงมาอาบใบหน้างาม นางพยายามกลั้นสะอื้น และฟังสิ่งที่อี้จงกำลังจะพูด
อี้จงได้บอกเล่าถึงเรื่องราวความรัก และความเข้าใจผิดที่เซี่ยเฟยหลงมีต่อนาง รวมไปถึงคำสั่งเสียที่ท่านแม่ทัพฝากมาบอกกล่าวต่อนางผู้เป็นภรรยา ทำให้จ้าวฟางเซียนถึงกับทรุดนั่งลงไปบนพื้นแล้วร่ำไห้ออกมา เสียงร่ำไห้ของนางนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก จนทำให้พวกบ่าวสาวรับใช้ภายในเรือน พากันหลั่งน้ำตาออกมาเช่นเดียวกัน สาวรับใช้ของจ้าวฟางเซียนรีบประคองนางก่อนที่จะเป็นลมไป
ตลอดระยะเวลาที่จ้าวฟางเซียนได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเซี่ยเฟยหลงมา จ้าวฟางเซียนรู้ดีว่าเขามีบางอย่างติดอยู่ในใจ ราวกับว่าไม่ยอมเปิดใจให้นางได้เข้าไป แท้จริงแล้วเกิดจากความเข้าใจผิดนั่นเอง หากเขาถามนางออกมา แล้วนางกับเขาได้พูดคุยกันดีๆ นางคงจะไม่รู้สึกเสียดาย และเสียใจมากมายถึงเพียงนี้
จ้าวฟางเซียนคือคุณหนูรอง บุตรีคนที่สามของจ้าวหวังเหล่ย นายท่านใหญ่แห่งจวนสกุลจ้าว ตระกูลคหบดีแห่งเมืองหนานจาง ก่อนหน้านี้เคยเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม และมีบุคลิกร่าเริงสดใสสมกับวัย แต่ทว่าหลังจากออกเรือนมายังตระกูลเซี่ย ตระกูลแม่ทัพแห่งเมืองหนานจง ความสดใสร่าเริงที่เคยมีก็ค่อยๆ เลือนหายไป
จริงอยู่ที่การแต่งงานของทั้งสองตระกูล เป็นเรื่องของสัญญาที่ต้องตอบแทน แต่ทว่าความรู้สึกของสองหนุ่มสาวที่มีต่อกันในภายหลังนั้นช่างลึกซึ้ง หากไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด ที่เซี่ยโหว หรือคุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลงมีต่อบุตรีของตระกูลจ้าวมาก่อนแล้ว ชีวิตคู่ของทั้งสองหนุ่มสาวคงจะมีความสุขและราบรื่นมากกว่านี้
ครั้นได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน แม้เซี่ยเฟยหลงจะมีท่าทีเย็นชาต่อภรรยา แต่ทว่าลึกๆ ภายในใจแล้ว เขากลับรักใคร่นาง และให้เกียรตินางโดยที่นางไม่รู้ตัว จ้าวฟางเซียนเองก็แอบมีใจรักใคร่สามี โดยที่เขาไม่เคยรู้ตัวเช่นกัน สุดท้ายกว่าที่ทั้งสองจะรู้ว่าตนรักใคร่อีกฝ่ายมากเพียงใด ก็เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเสียแล้ว มิอาจหวนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก
“นายหญิง…”
ซู่เอ๋อครวญออกมาด้วยความเศร้า เสียงของสาวรับใช้คนสนิททำให้สติของจ้าวฟางเซียนกลับคืนมา นางหันไปส่งยิ้มจางๆ ให้แก่ซู่เอ๋อ
ซูเอ๋อดึงร่างบางของคุณหนูเข้ามาโอบกอดเอาไว้ ร่างบางในอ้อมกอดสั่นไหว คุณหนูของนางกำลังร่ำไห้ออกมา ซู่เอ๋อร์กลั้นสะอื้น หากยามนี้นางไม่เข้มแข็ง แล้วคุณหนูของนางจะมีผู้ใดคอยปลอบโยนกันเล่า หากได้กลับสกุลเดิมย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่จะทำเช่นไรให้คุณหนูของนางยอมกลับไป
หลังจากวันคืนพ้นผ่าน จ้าวฟางเซียนมีแต่อาการแย่ลง นางตรอมใจจนกินอาหารได้เพียงน้อยนิด วันๆ ก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย แม้ผู้ใดจะมาเยือนนางก็ไม่ขอพบหน้า แม่สามีเห็นลูกสะใภ้ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ เช่นเดียวกับที่นางเคยพบเจอ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ จึงลองมาเกลี้ยกล่อมให้สะใภ้คนดี กลับไปอยู่สกุลเดิม ที่นางทำหาใช่เป็นการขับไล่ไสส่งอีกฝ่ายไม่ แต่เป็นเพราะนางอยากให้ลูกสะใภ้ได้ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ จะมีประโยชน์อันใด ที่จะมาอยู่ในสถานที่ที่ไร้ซึ่งสามีอยู่แล้ว แม้พวกตนจะดีต่อนางเพียงใด แต่จะให้เหมือนคนข้างหมอนได้เช่นไร
“เซียนเอ๋อร์…เจ้ากลับไปสกุลเดิมเสียเถิด นายท่านผู้เฒ่าทำหนังสือหย่าให้เจ้ากับหลงเอ๋อร์แล้ว บัดนี้เจ้าเป็นอิสระแล้วนะลูก”
จางหลี่น่าบอกสะใภ้ออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางมองสตรีที่เคยมีรูปโฉมงดงาม ทว่ายามนี้กลับซูบโทรมและผ่ายผอมจนน่าตกใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังสะใภ้ของนางผู้นี้ คงได้สิ้นใจตามบุตรชายของนางไปเป็นแน่
“ข้าไม่ไปเจ้าค่ะท่านแม่…ข้าจะรอท่านพี่อยู่ที่นี่”
จ้าวฟางเซียนตอบออกมาน้ำเสียงแหบแห้ง เซี่ยฮูหยินถึงกับถอนหายใจออกมา นางบีบมือลูกสะใภ้เบาๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปลูบลงบนเรือนผมที่ยามนี้ไร้ความนุ่มนวลเช่นเดิม
“ปล่อยวางเสียเถิดนะเซียนเอ๋อร์…หลงเอ๋อร์เขาไปดีแล้ว”
นางเองก็เป็นหญิงหม้ายเช่นกัน ชีวิตภรรยาของแม่ทัพ น้อยนักที่จะมีความสุขเช่นสตรีอื่น นางเข้าใจหัวอกของลูกสะใภ้เป็นอย่างดี เพราะชีวิตนางก็พบเจอแต่ความสูญเสียมาถึงสามครั้งสามครา แต่ทว่านางกลับไม่รู้สึกเสียดาย เพราะที่ผ่านมานางได้มอบความรักให้แก่สามี และบุตรชายผู้ล่วงลับทั้งสองอย่างเต็มที่แล้ว
จ้าวฟางเซียนส่ายหน้าไปมา นางออกเรือนมาแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่คนของสกุลเดิมอีกแล้ว ไม่ว่าสกุลจ้าวจะยินดีต้อนรับนางกลับไปหรือไม่ แต่ใจนางก็มิอาจหวนกลับไปได้ จางหลี่น่ามองลูกสะใภ้ด้วยแววตาเวทนา นางถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ก่อนที่จะหันไปมองสาวรับใช้คนสนิทของจ้าวฟางเซียน นางกำชับให้สาวรับใช้คนสนิทของลูกสะใภ้ ว่าให้ดูแลนายหญิงของตนให้ดี แล้วจึงออกจากเรือนนี้ไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
ผ่านไปไม่ถึงเจ็ดวัน หลังจากที่จางหลี่น่ามาเยี่ยมจ้าวฟางเซียน ตระกูลจ้าวที่ได้รับจดหมายจากท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย ก็ได้เดินทางมาจากเมืองหนานจาง ครั้นนายท่านใหญ่จ้าวหวังเหล่ยและฮูหยินใหญ่หวงฟางหรง ได้เห็นบุตรีที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงก็รู้สึกเวทนา ต่างก็โทษว่าเป็นความผิดของพวกตน ที่ยินยอมให้จ้าวฟางเซียนออกเรือนมากับเซี่ยเฟยหลง ชีวิตของทหารไหนเลยจะยืนยาว
เฉกเช่นที่จ้าวฟางหรู บุตรีคนโตของพวกตนเคยกล่าว ว่านางจะไม่มีวันยอมออกเรือนกับตระกูลแม่ทัพเป็นอันขาด เพราะการได้ออกเรือนมากับบุรุษที่ทำหน้าที่จับดาบปกป้องบ้านเมือง โอกาสน้อยนักที่อีกฝ่ายจะมีชีวิตยืนยาว สุดท้ายแล้วชีวิตของผู้เป็นภรรยา คงจะหนีไม่พ้นตกพุ่มม่ายตั้งแต่ยังสาว เช่นเดียวกับบุตรสาวคนเล็กของพวกตน ที่กำลังประสบพบเจออยู่ในยามนี้
“เซียนเอ๋อร์…กลับบ้านเรากันเถิดนะลูก” หวงฟางหรงบอกบุตรสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านปู่บอกว่าให้พวกเรามารับเจ้า ตัดใจจากที่นี่เสียเถิดหนา”
จ้าวหวังเหล่ยกลั้นใจกล่าวออกมาบ้าง สภาพของบุตรสาวในยามนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เด็กน้อยที่เคยสดใสยามที่อยู่จวนสกุลจ้าวหายไปไหนเสียแล้ว
“ท่านพ่อ…ท่านแม่ ข้าไม่กลับเจ้าค่ะ ข้าจะรอท่านโหวอยู่ที่นี่” จ้าวฟางเซียนหันหน้าไปมองบิดามารดา ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จ้าวหวังเหล่ยกับหวงฟางหรงหันหน้ามามองกันทันที หวงฟางหรงยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นสะอื้น จ้าวหวังเหล่ยโอบไหล่ที่กำลังสั่นไหวของภรรยาเอาไว้ แล้วบีบไหล่นางเบาๆ เป็นเขาเองที่ผิดต่อบุตรี หากเขาไม่ยินยอมให้จ้าวฟางเซียนออกเรือนมายังตระกูลแม่ทัพในวันนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เซียนเอ๋อร์กับบุตรเขยของเขา ช่างมีความรักที่ลึกซึ้งเหลือเกิน ทว่าเสียดายที่วาสนาตื้นเขินยิ่งนัก
“เซียนเอ๋อร์… พี่เขาไม่อาจกลับมาได้แล้วลูก แต่พี่เขาจะคอยเฝ้ามองเจ้าอยู่บนสวรรค์ หากเจ้ายังคงทุกข์ระทมอยู่เช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะจากไปอย่างสงบสุขหรือ” จ้าวหวังเหล่ยตัดสินใจเอ่ยออกมา
“ไม่…เขาจะกลับมา หากเขากลับมาไม่ได้…ข้าก็จะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง”
จ้าวฟางเซียนหันไปมองบิดานัยน์ตาแดงก่ำ ก่อนที่นางจะตอบเขาออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง สองสามีภรรยาถึงกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา หากพวกเขาดึงบุตรสาวให้กลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้ ก็คงต้องสูญเสียบุตรสาวไปตลอดกาลแน่แล้ว
“เซียนเอ๋อร์…เจ้าฟังแม่ให้ดีนะลูก ชีวิตของลูกยังต้องก้าวเดินต่อไป เจ้ายังเยาว์วัยยังมีโอกาสได้พบเจอผู้คนอีกมากมาย แล้วลูกคิดว่าพี่เขาจะมีความสุขหรือ ถ้าเจ้าจะตามเขาไปจริงๆ น่ะ กลับบ้านเราเถิดหนา พี่ชายพี่สะใภ้ของเจ้าก็รอคอยเจ้าอยู่ที่นั่น หากเจ้าไม่อยากออกเรือนไปกับผู้ใดอีก แม่ก็จะไม่บังคับฝืนใจเจ้า” หวงฟางหรงบอกจ้าวฟางเซียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับไม่ยอมรับฟัง นางส่ายหน้าไปมาน้ำตาไหลพรากอาบใบหน้า มองดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก จ้าวหวังเหล่ยรู้สึกเจ็บปวดใจที่ช่วยเหลืออันใดบุตรสาวไม่ได้เลย สองสามีภรรยาตัดสินใจรั้งอยู่ที่จวนตระกูลเซี่ย จนกว่าจะเกลี้ยกล่อมจ้าวฟางเซียนให้กลับไปกับพวกเขา
ท่านผู้เฒ่าเซี่ยไม่ได้กีดกัน เขาเองก็รู้สึกผิดต่อหลานสาวของจ้าวหยวนจงเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่าอนาคตลูกหลานของเขา จะต้องพลีชีพในสนามรบเช่นเดียวกัน ตระกูลเซี่ยคงจะสิ้นสุดลงแค่เขาแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอันใด เขาถึงต้องมาเสียบุตรชายและหลานชายไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
ยามดึกสงัดในค่ำคืนหนึ่ง ลมหนาวที่พัดโชยมาสามารถทำให้ร่างกายของคนด้านชาได้ จ้าวฟางเซียนกำลังยืนเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ภาพของสามีที่เคยซ้อมฟันดาบอยู่ด้านนอก ผุดเข้ามาในห้วงความคิด เขาเบือนหน้ามองมายังนางที่กำลังมองออกไป ใบหน้าคมคายหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม แต่ทว่าแววตาของเขาที่มองมายังนาง กลับทำให้จ้าวฟางเซียนรู้สึกอบอุ่น
หญิงสาวหลั่งน้ำตาลงมา จะให้นางจากไปได้เช่นไร ในเมื่อที่ผ่านมานางยังไม่เคยบอกเขาเลย ว่านางรักเขาเช่นกัน หากเขาไม่เข้าใจนางผิด หากนางกับเขาพูดคุยกันให้มากกว่าที่เคย เหตุการณ์วันนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ นางจะยังคงรู้สึกเสียใจอยู่เช่นนี้หรือไม่ จ้าวฟางเซียนอยากรู้เหลือเกิน นางแหงนหน้ามองดวงจันทร์ พลางอธิษฐานอยู่ภายในใจ
‘สวรรค์...หากท่านมีเมตตา ได้โปรดมอบโอกาสให้สตรีที่โง่เขลาเช่นข้า ได้กลับไปพบกับสามีผู้เป็นที่รักยิ่งของข้าอีกสักหน ครานี้ข้าจะรักเขาให้เต็มที่ ให้สมกับที่เขารักและให้เกียรติข้าเสมอมา’
จ้าวฟางเซียนหลับตาอธิษฐานซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป จึงยอมตัดใจเดินกลับไปนอนบนเตียง ร่างกายของนางหนาวเหน็บจนรู้สึกด้านชา ก่อนจะข่มตาให้หลับลง ภาพของสามีก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึง น้ำตายังคงไหลลงมาราวกับสายธาร นางผล็อยหลับไปท่ามกลางความอ่อนล้า
เสียงตีฆ้องร้องบอกยามเหม่าดังขึ้นมาจากทางด้านนอก ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงพลิกกายไปมา ไม่นานนักเสียงของสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ในเรือนก็ดังจอแจ สาวรับใช้คนสนิทเข้ามาปลุกสตรีร่างเล็กที่กำลังนอนอยู่ ให้ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานสกุลจ้าว จ้าวฟางเซียนสะดุ้งสุดตัว ผุดลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ กาย ที่นี่หาใช่เรือนที่นางเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ ไม่ใช่…นี่คือเรือนที่นางเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่เยาว์วัยต่างหาก
“รีบลุกขึ้นไปล้างหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะคุณหนูรอง นายหญิงใหญ่กำชับมาว่า วันนี้ต้องออกเดินทางไปสุสานตระกูลจ้าวกันแต่เช้านะเจ้าคะ” ซู่เอ๋อบอกคุณหนูของนาง พลางหยิบผ้าห่มขึ้นมาพับ จัดหมอนที่คุณหนูรองนอนเมื่อคืนที่ผ่านมาให้เป็นระเบียบ
จ้าวฟางเซียนลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าบ้วนปากอย่างงุนงง วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานตระกูลจ้าวเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่ว่ายามนี้นางกำลังทุกข์ระทมอยู่ที่จวนตระกูลเซี่ยเช่นนั้นหรอกหรือ แล้วนี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น หรือว่านางจะตายไปแล้ว หากตายไปแล้ว เหตุใดถึงได้ยังกลับมาอยู่ในจวนตระกูลจ้าว อีกทั้งยังได้พบกับซู่เอ๋อ สาวรับใช้คนสนิทของนางอยู่อีกเล่า
ไหนจะเรื่องที่ซู่เอ๋อเพิ่งบอกนางเมื่อครู่ว่า วันนี้จะต้องเดินทางไปยังสุสานบรรพบุรุษตระกูลจ้าวอีก หากเป็นวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนมิใช่หรอกหรือ หรือสวรรค์รับฟังคำอ้อนวอนของนาง ให้นางได้ย้อนกลับมายังอดีตเช่นนั้นหรือ จ้าวฟางเซียนคิดทบทวนอยู่ภายในใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามที่จ้าวฟางเซียนเคยประสบพบเจอมาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยามที่พี่หญิงใหญ่สวมใส่อาภรณ์สีแดง ทำให้บิดาบ่นจนนางต้องกลับไปเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล พี่รองทำผลส้มหลุดมือ พี่ชายใหญ่สะดุดล้ม และพี่สามทำถ้วยน้ำชาคว่ำ เหตุการณ์ต่างๆ ทำให้จ้าวฟางเซียนเชื่อว่า ตนเองได้ย้อนเวลากลับมายังอดีต กลับมาก่อนที่นางจะได้ออกเรือนไปกับเซี่ยเฟยหลง
สวรรค์ได้มอบโอกาสให้นางกลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีตแล้ว ชีวิตนี้นางอยากจะทำให้ดีที่สุด ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วปลายทางของนาง จะต้องกลายเป็นสตรีที่ต้องเดียวดายอีกครั้ง แต่นางก็จะไม่เสียดายหรือเสียใจเลย ขอเพียงแค่ให้เซี่ยเฟยหลง สามีที่แสนดีของนาง คลายความเข้าใจผิด และได้รับรู้ว่านางนั้นก็รักเขาเช่นกัน… แค่นั้นก็เพียงพอ จ้าวฟางเซียนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
จางหยู่เสวียน เดิมทีเป็นสตรีปากร้ายและถูกผีพนันเข้าสิงจนไม่ใส่ใจลูกและสามีที่เกิดอุบัติเหตุจนพิการไป สตรีนางนั้นก็เริ่มทอดทิ้งสามีแล้วเลือกที่จะทอดสะพานให้บัณฑิตหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง จนทำให้ภรรยาของเขาเกิดความหึงหวงผลักนางตกน้ำจนพบจุดจบที่น่าอดสู ทว่าเมื่อจางหยู่เสวียน นักฆ่าสาว เจ้าของรหัสหมายเลข 13 ในองค์กรนักฆ่าระดับโลกมีเหตุให้ถูกฆ่าตาย เนื่องจากไม่ยอมสังหารคนดี เธอจึงได้รับโอกาสใหม่จากสวรรค์เพื่อตอบแทนความดีครั้งนี้ในการมาเกิดใหม่ในร่างคนอื่นในยุคจีนโบราณ ทว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นทำตัวเหลวแหลก ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของครอบครัว จนถึงขนาดคิดขายลูกกิน นักฆ่าสาวที่ข้ามเวลามาจากอนาคตจึงต้องทำทุกทางเพื่อแก้ไขเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงนี้ ก่อนที่จะมีจุดจบเลวร้ายไม่ต่างไปจากเจ้าของร่างเดิม ชีวิตใหม่ครั้งนี้ นางจะใช้มันอย่างดีเพื่อดูแลครอบครัวนี้ให้มีความสุข และลบแผลใจแย่ๆ ให้หมดไปจากทุกคนในครอบครัว "ท่านแม่จะทิ้งเราเหรอ!" ไม่รู้เด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่ด้านนอกเข้ามาได้ยินที่ประโยคไหน เข้าใจว่าผู้เป็นแม่จะออกไปและไม่กลับมาอีก สองพี่น้องกอดหมับที่ขามารดาคนละข้าง ทิ้งน้ำหนักลงพื้นเต็มที่ หากจะไปพวกเขาจะเกาะหนึบนางไปเช่นนี้ "ท่านแม่อย่าทิ้งข้าเลยนะเจ้า" ซ่งอวี้หลานร้องไห้โฮ น้ำตาทะลักออกจนชายชุดนางชุ่มในเวลาไม่กี่พริบตา ทางด้านซ่งหยวนหมิงก็รู้สึกว่าจะแพ้ไม่ได้ เลยกลั้นใจบีบน้ำตาจนหน้าแดง เห็นลูกทุ่มเทช่วยเขาขนาดนี้ ซ่งอี้หนานก็คุกเข่าลง ประคองมือนางไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าคมคายจากมุมมองที่สูงกว่า ทำให้เขาดูคล้ายสุนัขตัวโต "ข้า เอ่อ" จางหยู่เสวียนพูดไม่ออก
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น