เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
เสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของสตรี ดังมาจากเรือนหลังหนึ่ง ภายในจวนสกุลหลัว สาวรับใช้วิ่งสวนทางกันให้วุ่น เพราะฮูหยินน้อยกำลังจะคลอดบุตรแล้ว ฮูหยินใหญ่หลัวเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง นางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย เพราะยามนี้บุตรชายของนาง ได้ออกไปปราบปรามโจรป่า ทำให้ไม่ได้อยู่รอภรรยาคลอดลูก
“นางยังไม่คลอดอีกรึ” หลัวฮูหยินถามสาวรับใช้ที่เดินเข้าออกห้อง
“ปะ...ปากมดลูกยังไม่เปิดเจ้าค่ะ หมอตำแยนางบอกว่า ตะ...ต้องรีบไปเชิญท่านหมอมาฝังเข็ม ให้ฮูหยินน้อยก่อนเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้รีบรายงานออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าที่แสดงออกมานั้นก็ซีดเผือด เพราะอาการของฮูหยินน้อย ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“แล้วยังจะรออันใดอยู่เล่า เร็ว...รีบให้คนไปเชิญท่านหมอหลินมา” หลัวฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ กลับยังไม่รีบจัดการ
“ฮูหยิน...เจ้าเองก็นั่งลงก่อนเถิด หลูซื่อแต่ไรมาร่างกายก็แข็งแรงมาโดยตลอด นางย่อมคลอดหลานชายของพวกเราออกมา ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
นายท่านหลัวปลอบใจภรรยา แม้ภายในใจจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเช่นกัน ทว่าเขาก็ต้องตั้งสติให้ดี
หลัวฮูหยินย่อมฟังสามี นางยินยอมนั่งลงในที่สุด ทว่าจิตใจนั้นก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว นางเป็นห่วงลูกสะใภ้
นางเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ตระกูลหลัว ยังเป็นเพียงแค่ตระกูลสามัญชนต้อยต่ำ ทว่าเด็กสาวที่เป็นถึงบุตรีเพียงคนเดียว ของเจ้าสำนักคุ้มภัยต้าฟง กลับไม่คิดรังเกียจ
ยอมคบหาและแต่งงานกับบุตรชายของตน ตั้งแต่เขายังไม่ได้เป็นขุนนาง พอมาบัดนี้ ตระกูลหลัวกำลังรุ่งเรือง นางกลับต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบาก อย่างเช่นการคลอดบุตร
ผู้ใดกันจะไม่รู้บ้าง ว่าการคลอดบุตร ก็เท่ากับการก้าวเข้าปากประตูผีไปก้าวหนึ่งแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็รอคลอดนานถึงเพียงนี้ จะไม่ให้นางรู้สึกเป็นห่วง และกระวนกระวายใจได้อย่างไร
“ท่านหมอหลินมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้รีบรายงาน หลังจากที่คนข้างกายของนายท่านใหญ่ ออกไปเชิญท่านหมอหลินกลับมาถึงจวนแล้ว
“ท่านหมอหลิน...รีบเข้าไปดูลูกสะใภ้ของข้าทีเถิด ป่านนี้แล้วนางยังไม่คลอดเลยเจ้าค่ะ”
หลัวฮูหยินรีบกล่าวออกมา หลังจากที่คำนับทักทายท่านหมอหลินเสร็จ หมอวัยกลางคน รีบสาวเท้าเข้าไปภายในห้อง ที่ฮูหยินน้อยหลัวรอคลอดอยู่อย่างเร่งรีบ ก่อนที่เขาจะช่วยจับชีพจร และฝังเข็มให้นาง
“ข้าได้ทำการฝังเข็มให้ฮูหยินน้อยแล้ว อีกไม่เกินครึ่งเค่อ นางก็คงจะคลอด”
ท่านหมอหลินใจคอไม่ดี เขาเห็นใบหน้าซีดเซียวไร้ชีวิต ของฮูหยินน้อยแล้ว ขอเพียงอีกฝ่ายคลอดทายาทสกุลหลัวออกมา ได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าโชคดี อย่าให้เกิดอันใดกับสองแม่ลูกก็พอ
“ท่านหมอหลินได้โปรดรั้งรอ อยู่ที่นี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าจะเกิดเหตุอันใดร้ายแรงขึ้นกับลูกสะใภ้”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่มารดา ทว่ากลับห่วงใยสตรีที่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิด ความจริงใจของหลัวฮูหยิน แสดงผ่านออกมาทางแววตา ท่านหมอหลินรู้สึกนับถือนางจากใจ จึงยอมรั้งอยู่ตามความต้องการของหลัวฮูหยิน
บ่าวรับใช้เชิญท่านหมอหลินให้ไปนั่งจิบน้ำชา กินของว่างรอที่ห้องข้างๆ ไม่เกินครึ่งเค่อ อย่างที่ท่านหมอหลินบอก เสียงร้องของหลูชิงเหลียนก็ดังขึ้น นางใช้แรงทั้งหมดที่มี เบ่งส่งบุตรชายที่นางเฝ้ารอมานานนับเก้าเดือน ให้ออกมาลืมตาดูโลก แม้จะเป็นลมหายใจ เฮือกสุดท้ายของนางก็ไม่เสียดาย
“อุ…แว๊….” เสียงของทารกแผดร้อง ทำให้คนที่เฝ้ารออยู่ข้างนอกรู้สึกยินดี
ทว่าไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงสาวรับใช้คนสนิท ของลูกสะใภ้กรีดร้องดังออกมา เสียงร่ำไห้น่าเวทนาดังขึ้น นายท่านหลัว ฮูหยินใหญ่ และท่านหมอหลิน จึงรีบพากันเข้าไปข้างในห้อง
ท่านหมอหลินนั่งลงตรวจชีพจรให้กับฮูหยินน้อยทันที ก่อนที่เขาจะมองไปยังทารกน้อย ที่ถูกห่อกายด้วยผ้าสีขาว แววตาของเขาฉายแววแห่งความเวทนาออกมา เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วจึงหันหลังลุกขึ้นยืน กล่าวแสดงความยินดีและความเสียใจ ให้กับการเกิดใหม่ และการสูญเสียของสกุลหลัวในวันนี้
“นายท่านหลัว ฮูหยินใหญ่ ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านด้วย คุณชายน้อยคลอดออกมา มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี และข้า…ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ต่อครอบครัวของพวกท่าน ฮูหยินน้อย…ได้จากไปอย่างสงบแล้ว”
สองสามีภรรยายังไม่ทันได้ดีใจ ที่หลานชายคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย พวกเขากลับต้องรับรู้ถึงการสูญเสียลูกสะใภ้อันเป็นที่รัก ไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลัวฮูหยินได้ยินแล้วก็เป็นลมล้มพับลงไปทันที นายท่านหลัวรีบประคองภรรยาขึ้นมา แล้วอุ้มนางออกไปนอนยังตั่งตัวยาวด้านนอก เชิญท่านหมอหลินให้ช่วยไปตรวจอาการของนาง
แม่นมซิ่ว แม่นมของหลูชิงเหลียน แม้จะเสียใจเป็นที่สุด แต่นางก็กลายเป็นผู้ที่มีสติดีที่สุด คอยจัดการเรื่องพิธีศพของฮูหยินน้อย บ่าวในจวนสกุลหลัว ไม่มีผู้ใดที่ไม่เสียน้ำตา
เพราะตลอดระยะเวลาสองปี ที่ฮูหยินน้อยแต่งเข้าสกุลหลัวมา นอกจากนางจะเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง สามารถเป็นคู่ซ้อมให้กับคุณชายได้ นางยังมีจิตใจเมตตากรุณาต่อพวกเขาอีกด้วย
เพียงไม่นาน จวนสกุลหลัวที่ควรจะจัดงานเลี้ยง กลับกลายมาเป็นจัดงานเศร้าโศกแทน ผ้าขาวดำถูกประดับไปทั่วทั้งจวน ผู้คนที่รับรู้ถึงเรื่องการจากไปของฮูหยินน้อยสกุลหลัว ต่างก็พากันรู้สึกเวทนา บุตรชายเกิดมา มารดาสิ้นใจ
แม้ในยุคสมัยนี้ จะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่า คนดีๆ อย่างเช่นฮูหยินน้อยสกุลหลัว จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบพบเจอกับโชคร้ายเช่นนั้น
หลัวอี้เฉินที่ออกไปปราบปรามโจรป่า รู้สึกใจคอไม่ดีเช่นกัน หลังจากที่เขานำกำลังเข้ากวาดล้างฐานลับ และจับกุมพวกโจรป่า ที่หนีไม่ทันเหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้ว เขาจึงรีบควบคุมตัวพวกมัน ไปส่งยังศาลต้าตงเพื่อรอตัดสินโทษ ก่อนที่จะควบอาชากลับไปยังจวนสกุลหลัวทันที
กว่าจะถึงจวนฟ้า ก็มืดค่ำลงเสียแล้ว ภายนอกประตูจวน ถูกประดับไปด้วยผ้าขาวดำ โคมถูกแขวนเอาไว้ สองขาของหัวหน้ามือปราบหนุ่มอ่อนแรง กู้อี้รีบปรี่เข้ามาประคองคุณชายของตน เขารู้สึกใจคอไม่ดีแล้วเช่นกัน ยามที่เห็นจวนถูกประดับประดา ด้วยสิ่งของที่ใช้ตกแต่งในงานอวมงคลเช่นนี้
“นายท่าน…ท่านกลับมาแล้ว…” บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เปลือกตาบวมเป่งวิ่งออกมาต้อนรับ
“เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจวนถึงได้ถูกประดับด้วยผ้าขาวดำ ประดับโคมไฟไว้อาลัยเช่นนี้” กู้อี้เป็นฝ่ายถามบ่าวรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูจวนออกมา อีกฝ่ายคุกเข่าลงบนพื้น หลั่งน้ำตาลงมาอีกหน
“ฮึก…คุณชายน้อยกำลังรอนายท่านอยู่ขอรับ…ตะ..แต่ว่า ฮูหยินน้อย ดะ…ได้จากไปแล้วฮึก….ฮือๆๆๆ”
บ่าวรับใช้พยายามกลั้นใจรายงานออกมา ทว่าสุดท้ายก็ฝืนทนต่อความเศร้าโศกไม่ได้ เขาร้องไห้ราวกับฟ้าจะถล่ม หลัวอี้เฉินหน้าซีดเข่าอ่อนทันที เขารีบวิ่งเข้าไปภายในจวนที่เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
เฉียวลู่ นักแสดงแถวหน้าของจีนมีข่าวฉาวออกมาทำให้ทางต้นสังกัดของเธอสั่งให้เธองดออกสื่อชั่วคราว จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับคนงานยุ่งตลอดทั้งปีของเธอที่จะได้พักผ่อน เฉียวลู่เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอและการกลับไปครั้งนี้ทำให้ชีวิตของเฉียวลู่เปลี่ยนไปตลอดการ ฉีหมิงเยี่ยน อนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างที่เดินทางมาทำหน้าที่เจรจาสงบศึกกับเเเคว้นเซียว เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ชินอ๋องความจำเสื่อมและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกตระกูลเฉียว เซียวยิ่น ฮ่องเต้แคว้นเซียวมีพระสนมมากมายเเต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตองค์รัชทายาทที่แท้จริงจะกลับมาเซียวยิ่นจึงมีรับสั่งให้ทหารออกตามหาพระโอรสและอดีตฮองเฮาของตนอย่างลับๆ ฉินอี้เหยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยตามแม่น้ำมาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขนเมื่อฟื้นขึ้นมานางจึงแสร้งจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เพื่อให้นางและบุตรชายมีชีวิตรอดต่อไป
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"