คนหนึ่งไม่ศรัทธาในความรัก อีกคนก็รักอิสระไม่อยากมีครอบครัว แต่พอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกำแพงที่ทั้งสองคนตั้งไว้ก็ค่อยๆ พังลง รู้ตัวอีกจากเพื่อนก็กลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
คนหนึ่งไม่ศรัทธาในความรัก อีกคนก็รักอิสระไม่อยากมีครอบครัว แต่พอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกำแพงที่ทั้งสองคนตั้งไว้ก็ค่อยๆ พังลง รู้ตัวอีกจากเพื่อนก็กลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
ณ ผับแห่งหนึ่งกลางเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกามนสิชาสาวไทยเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มกำลังออกไปเต้นกับเพื่อนร่วมงานอย่างสนุกสนาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้สนุกสุดเหวี่ยงแบบนี้เพราะเธอเพิ่งลาออกจากบริษัทและกำลังจะกลับประเทศไทย
หญิงสาววัย 26 มาทำงานที่นี่ได้ 4 ปีแล้ว เธอเรียนจบการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศและได้เข้าทำงานเป็นเลขานุการของผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สาขาประเทศไทย พอถึงคราวที่เขาต้องย้ายกลับมาประจำที่สาขานิวยอร์กเขาเลยชวนเธอมาทำงานที่นี่ด้วย
“แพทต้องคิดถึงมอลลี่มากแน่ๆ” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดกับมนสิชาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันระหว่างที่หญิงสาวเดินกลับเข้ามานั่งพักเหนื่อย
“เอาไว้มอลลี่จะวิดีโอคอลมาหาบ่อยๆ นะ” เธอตอบด้วยภาษาเดียวกัน
“แพทว่ามอลลี่น่าจะพาแกรนด์มาย้ายมาอยู่ที่นี่นะ”
“มอลลี่ชวนตั้งหลายครั้งแล้วแต่ท่านไม่ยอมมา” มนสิชาเคยชวนยายของเธออยู่ด้วยกันที่นี่หลายครั้งแล้วแต่คุณยายก็ไม่ยอมมาอยู่ด้วย และที่มนสิชาต้องลาออกแล้วกลับไปอยู่ที่บ้านก็เพราะคุณยายของเธอไม่ค่อยสบายและคนที่เธอจ้างให้ดูแลก็ทนกับความดื้อของยายเธอไม่ได้
“แล้วกลับไปจะไปทำงานอะไรล่ะ สาขาที่ไทยตอนนี้ก็ตำแหน่งไม่ว่างเลย”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน” มนสิชายังไม่ได้วางแผนอะไรเลยสักอย่างเพราะยังสนุกกับงานและไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับประเทศบ้านเกิดเร็วแบบนี้
“มอลลี่ต้องกลับไปอยู่ที่เมืองไทยอย่างนี้อลันเขาว่ายังไงบ้าง”
อลันที่แพทริเซียพูดถึงคือแฟนหนุ่มของมนสิชาทั้งสองคบกันหลังจากที่หญิงสาวย้ายมาทำงานที่นี่ได้สองปีเขากับเธอคบหากันในฐานะคนรักแต่ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องอนาคตเพราะต่างก็ยังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่
“แล้วมอลลี่บอกเขาหรือยังว่าจะเดินทางพรุ่งนี้”
“บอกแล้ว”
“เขาว่ายังไงบ้าง”
“ก็มีบ่นๆ บ้าง” เธอรู้สึกเห็นใจแฟนหนุ่มอยู่บ้างเพราะจู่ๆ ตนเองก็ต้องกลับเมืองไทยอย่างกะทันหัน ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่เคยพูดถึงการกลับไปอยู่ที่บ้านเลย
“แต่ถ้ากลับไปอยู่เมืองไทยแล้วก็อาจจะลองดูว่ามีงานอะไรที่อลันพอจะทำได้บ้าง”
“มอลลี่พูดเหมือนจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย อย่าลืมนะว่าหัวหน้ายังไม่เซ็นใบลาออก”
หัวหน้าของมนสิชาอนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ตามที่เธอต้องการโดยยังไม่ต้องลาออกเพราะคิดว่าเธอคงไปไม่นานและก็กลับมาทำงานอีกครั้งถ้าทุกอย่างเรียบร้อย
“ก็พูดเผื่อไว้ก่อน ตอนนี้ยายของมอลลี่ก็อายุมากแล้ว ท่านไม่มีลูกหลานคนอื่นดูแล”
“แล้วทำไมงานเลี้ยงวันนี้อลันถึงไม่มาด้วยล่ะ”
“เขายังติดงานอยู่นะ แต่ตอนกลับเดี๋ยวอลันจะมารับ”
“แพทขออวยพรให้มอลลี่โชคดีนะ ไปถึงที่นั่นแล้วก็ส่งข่าวคราวมาบ้าง บางทีแพทกับเพื่อนๆ ที่นี่อาจจะไปเที่ยวหา”
“ได้เลยมอลลี่ยินดีต้อนรับทุกคน บ้านของมอลลี่อยู่ทางภาคเหนืออากาศไม่ได้ร้อนมาก”
“ดีเหมือนกันพวกเรา พวกเราก็ไม่เคยไปเที่ยวเมืองไทยสักทีสงสัยจะได้ไปกันก็คราวนี้แหละ”
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราความจริงข้อนี้คงไม่มีใครปฏิเสธ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังอวยพรให้กับมนสิชาหรือเพื่อนๆ ที่นี่จะเรียกเธอว่ามอลลี่เพราะง่ายต่อการออกเสียง
หญิงสาวรู้สึกใจหายที่จะต้องจากทุกคน แต่เทคโนโลยีสมัยนี้ก็ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้และมันคงทำให้เธอคลายความคิดถึงลงได้บ้าง ขนาดเพื่อร่วมงานยังรู้สึกขนาดนี้แล้วกับอลันล่ะ เธอไม่รู้เลยว่าถึงนาทีที่ต้องจากเขาจะรู้สึกใจหายมาแค่ไหน
มนสิชาเดินแยกจากเพื่อนแล้วก็เดินมายืนรอแฟนหนุ่มซึ่งเขาโทรมาบอกว่ากำลังลงจากรถไฟและจะเดินมารับเธอที่หน้าผับ
“มอลลี่รอนานไหม” อลันมาถึงหลังจากผ่านไปสิบนาทีตามที่เขาบอก ชายหนุ่มเป็นชาวอเมริกันแท้ที่มีรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวจมูกโด่งคิ้วเข้มมีไรหนวดสีเขียวครึ้มบริเวณสันกรามเสริมให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหล่าจนบางครั้งก็เคยมีคนมาเสนอให้เขาไปเป็นนายแบบถ่ายภาพนิ่งซึ่งก็มีหลายงานที่อลันรับเพราะค่าจ้างที่ได้ค่อนข้างจะมากอยู่พอสมควร
“ไม่นานเลย อลันมาตรงเวลา”
“หิวไหมเมื่อกี้ได้กินอะไรหรือเปล่า ผมเอาเบอร์เกอร์มาด้วย”
“ขอบใจนะ” มนสิชารับแฮมเบอร์เกอร์ที่เขาแกะกระดาษออกให้เรียบร้อยแล้วเข้าปากด้วยท่าทางอย่างเอร็ดอร่อย
“เราจะเดินกลับหรือเรียกรถดีละมอลลี่” อลันและมนสิชาไม่มีรถขับเพราะการเดินทางที่นี่สะดวกสบายจนไม่คิดจะซื้อรถ
“เดินไปดีกว่า มอลลี่อยากเดินคุยกับอลันไปเรื่อยๆ”
“ได้สิ ผมก็อยากเดินจับมอลลี่ไปแบบนี้เหมือนกัน”
หญิงสาวมองหน้าเขาแล้วยิ้มก่อนจะหันมาสนใจแฮมเบอร์เกอร์เจ้าดังที่เธอชอบทาน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่ารสชาติของมันช่างฝืดคอจนแทบกลืนไม่ลง
“ไม่อร่อยเหรอ” อลันเห็นว่าคนรักกัดไปเพียงไม่กี่คำขณะที่เขานั้นกำลังจะกัดคำสุดท้ายเข้าปาก
“อร่อย แต่เมื่อหัวค่ำมอลลี่กินข้าวไปเยอะ อลันเอาของมอลลี่ไปกินนะ”
“ได้สิ” ชายหนุ่มรับแฮมเบอเกอร์ในมือของแฟนสาวมากัดอย่างไม่รังเกียจ กัดเพียงไม่กี่คำแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตก็หมด เขาทิ้งกระดาษลงถังขยะแล้วรับน้ำในมือของหญิงสาวมาดื่มก่อนจะทิ้งขวดลงในถังขยะแล้วจับมือกันเดินไปตามถนนที่ทอดยาวที่ดูเหมือนว่าบรรยากาศมันจะดูเหงาๆ กว่าทุกครั้ง
ความผิดพลาดในคืนนั้นทำให้ชีวิตของวิรัลพัชรเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำใครคือผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่เขาจำได้และเมื่อรู้ว่าเธอกำลังท้องลูกของเขาชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเพียงเพื่อต้องการลูกของเธอเท่านั้น
นานนับปีแล้วที่อรณิชาไม่ได้รับความสุขจากสามี เขาอ้างว่าเพราะงานแต่จริงๆ แล้วเขามีคนอื่นโดยที่อรณิชาไม่รู้ หญิงสาวจึงให้เวลาเขาและเธอหนึ่งเดือนเพื่อจัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตคู่ หญิงสาวจึงกลับมาที่เมืองไทย และได้เจอกับอดีตคน รักความสุขความผูกพัน ทางใจในอดีตกับกลายเป็นความสัมพันธ์ทางกายในปัจจุบัน ความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ทั้งสองเผลอใจก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่สนใจทถูกผิดมองแค่บนเตียงเพียงอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างนายหัวหนุ่มและนักศึกษาสาว ที่ห่างกันทั้งอายุและระยะทางนายหัวหนุ่มจะทำให้เธอรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอหรือไม่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ในคืนที่โดนแฟนเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่เครื่องดื่ม เธอขอให้ชายคนหนึ่งช่วย พอเช้ามาถึงได้รู้ว่าเขาคือเพื่อนสมัยเรียนเขาขู่ให้เธอยอมเป็นคู่นอนของเขาโดยบอกว่ามีคลิปในคืนนั้นเธอยอมเพราะคำขู่แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีคลิปทุกอย่างระหว่างเขากับเธอก็จบแต่เขาไม่ยอมจบเพราะตอนนี้คิดกับเธอมากไปกว่าคู่นอนไปแล้ว
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวของเขาเสียชีวิต เธอจึงเป็นหมากตัวสำคัญในการแก้แค้นของเขา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเขาที่รู้สึกผิดและทำทุกอย่างให้หมากตัวนี้เป็นของตนเอง
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY