องค์ชายที่เกิดมาพร้อมกับความโชคร้ายไม่มีผู้คนรักใคร่ หว่านหนิง สาวน้อยผู้จะมาพลิกชะตาชีวิต ขององค์ชายให้สามารถเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ได้หรือไม่ พบกับเรื่องความฟินแบบหน้าตาย ขององค์ชายที่ไม่มีใครรัก
องค์ชายที่เกิดมาพร้อมกับความโชคร้ายไม่มีผู้คนรักใคร่ หว่านหนิง สาวน้อยผู้จะมาพลิกชะตาชีวิต ขององค์ชายให้สามารถเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ได้หรือไม่ พบกับเรื่องความฟินแบบหน้าตาย ขององค์ชายที่ไม่มีใครรัก
ตำหนักร้อยดาวหากมีดาวร้อยพันส่องสว่างกลับหามองเห็นไม่ ภายใต้ดวงตาเย็นชานั้นไม่ได้มีสิ่งใดให้ลังเลที่จะถอยห่างออกไป
“องค์ชาย”ร่างใหญ่ถอยห่างนอนขดตัวชิดข้างฝา ไร้คำพูดตอบกลับ
พรุ่งนี้จะมีหน้าไปคุยกับใครในเมื่อคืนนี้ไร้การร่วมหออย่างที่ควรจะเป็นอย่างดีคงต้องปิดปากเงียบ หรือหากจะร้ายหน่อยก็คงถูกตราหน้า
หว่านหนิงนอนนิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว จะอย่างไรเล่าในเมื่อบุรุษผู้นี้ ไร้ผู้คนรักใคร่เอ็นดูตลอดชีวิต แทบจะไม่ยิ้มหัว มีเพียงตัวเองที่จมอยู่กับตัวเองก็เท่านั้นจะให้มีปฏิกิริยารักใคร่ชอบพอใครตอบกลับคงไม่มีทางหว่านหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
ดึงผ้าผืนใหญ่ห่มคลุมร่างกายของตัวเอง อากาศหนาวจัด อีกคนยังนอนขดตัวไม่แม้จะเฉียดใกล้ร่างบอบบางของหว่านหนิงให้ระคายเคือง
ค่ำคืนเหน็บหนาวผ่านไปอย่างกล้ำกลืน หว่านหนิงตื่นเช้าขึ้นมา องค์ชายห้าก็นั่งในท่าเตรียมพร้อมอาบน้ำออกมานั่งรอไร้สาวใช้หรือขันทีช่วยแต่งกาย หว่านหนิงหยิบ เสื้อคลุมและหมวก ไปยืนตรงหน้าสายตาหมางเมินจนเกือบจะเป็นเย็นชาแต่งเข้ามาในตำหนักร้อยดาว แต่เหมือนร้างไร้ซึ่งดาวมีเพียงความมืดมิด ประตูหน้าต่างถูกปิดตายฝุ่นสีเทาเกาะอยู่ไปทั่วบริเวณเหมือนไม่เคยได้มีใครเข้ามาปัดกวาด ไร้ซึ่งสาวใช้
หว่านหนิงจำต้องไปแต่งตัวให้อย่างเสียไม่ได้ก็ในเมื่อแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเขาแล้วหน้าที่ดูแลเขาไม่อาจละเลย
“องค์ชาย จะเสวยเลยไหม”
เมื่อสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยท่าทีเขายังนิ่งเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดใด หากใบหน้าไม่ได้หล่อเหลาราวกับเทพมาจุติอย่างที่เป็นอยู่จะนับว่า คนคนนี้เหมือนกับซากศพที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดใดเป็นแน่ ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดริมฝีปากซีดจาง หยิบหมวกจากมือของหว่านหนิงมาสวม
“สาวใช้ไม่เคยนำอาหารมาที่นี่ ข้าจำต้องไปหาที่กินเอง เจ้าเข้ามาในตำหนักวันแรกอาจยังไม่รู้ เช่นนั้นห้องเครื่องคงพอจะมีอะไรให้เจ้าได้พออิ่มท้อง”
คำพูดเรียบเฉยไม่ได้แสดงความเห็นใจเพียงแต่แนะนำตามมารยาทหรือก็จะไม่อยากให้หว่านหนิงคาดหวังอะไร
ตำหนักใหญ่เป็นรองเพียงตำหนักของฮ่องเต้แต่ไร้ซึ่งสาวใช้และขันที นางกำนัลยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้วยังไร้ซึ่งเครื่องเสวยอีกหรือนี่
หว่านหนิงตกนรกหรือไรจึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ในเมื่อเป็น บัญชาของฝ่าบาทเสด็จพ่อขององค์ชายห้าลี่หยางเหมือนจะโยนบาปเคราะห์ให้กับหว่านหนิงหรืออาจเป็นบัญชาสวรรค์ ก็ในเมื่อเป็นลูกสาวคนโตในตระกูลขุนนาง แต่ตอนนี้ไร้ยศฐา เพราะบิดาทำผิดมีโทษถึงประหารแต่ด้วยมารดา เป็นถึงองค์หญิงจึงถูกละเว้นโทษตาย
การแต่งงานครั้งนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหว่านหนิงก็ยังคงใช้ชีวิตปกติเมื่อบิดาได้จากไป การแต่งงานครั้งนี้กับองค์ชายที่ถูกรังเกียจ ไร้คนรักใคร่ห่วงใยอีกทั้งยังไม่มีใครคบหาสมาคม บรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ต่างหลีกหนีให้ไกล จึงขัดเสียไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ลี่หยางก้าวขายาวๆ ออกจากตำหนักร้อยดาว เขาต้องทำงานเหมือนประหนึ่งขุนนางชั้นผู้น้อย ทุกวันตอนเช้าต้องออกไปก้าวขายาวๆออกจากตำหนักร้อยดาว เขาต้องทำงานหนักเหมือนประหนึ่งขุนนางชั้นผู้น้อยทุกวันในตอนเช้าต้องออกไปถวายงานกับฝ่าบาท คอยชงชาผสมนำอุ่น ยกเครื่องเสวยทั้งๆ ที่เป็นองค์ชาย องค์ชายคนอื่นในวังหลวงร่ำเรียนเที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่เขาต้องทำงานเยี่ยงขันทีไร้ศักดิ์คนหนึ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ต่างจากขันทีชั้นผู้น้อย สีของอาภรณ์โดยมากล้วนหาสีสดใสได้ไม่ กลับมีเพียงสีทึมทึบยิ่งเพิ่มความหม่นหมองให้กับใบหน้า
หว่านหนิงแต่งตัวเสร็จก็ได้ยินเสียงท้องร้องโคลกคลาก พาตัวเองเดินออกไปข้างนอก นางกำนัลสองคนนั่งหมอบอยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนัก
“นายหญิง ฝ่าบาทมีบัญชาให้เราสองคนมาคอยรับใช้”หว่านหนิงยิ้มน้อยๆ
“ดีเลยข้ากำลังหิว”สองคนมองหน้ากันไปมา เหมือนกำลังจะช่างใจว่าจะพูดกับหว่านหนิงว่าอย่างไรดี
“ฮองเฮา มีบัญชาแต่ไหนแต่ไรตำหนักร้อยดาวไม่ให้ใครยกเครื่องเสวย นายหญิงเพิ่งมาคงไม่รู้”พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก็ในเมื่อเขาเพิ่งจะพูดไป หว่านหนิงเดินออกจากตำหนักมุ่งตรงยังห้องเครื่อง
...ตำหนักฮ่องเต้...ที่กว้างใหญ่
ลี่หยางนั่งร่างอักษรอยู่บนโต๊ะสีหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใดใด
“ตามธรรมเนียมรุ่งเช้าหลังจากแต่งงานต้องพาชายาเข้ายกน้ำชาให้ฮองเฮาวันนี้เจ้าไม่ต้องมาชงชาให้ข้าเหมือนเช่นทุกวัน”ฮ่องเต้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยมันคือประโยคบอกเล่า
“ไม่จำเป็น พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ลี่หยางไม่ได้มีความสำคัญ ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะลี่หยางไม่ได้สำคัญอะไรเพียงนั้น อีกอย่างเป็นการรบกวนเวลาพัก ผ่อนของฮองเฮา”
หมายความอย่างนั้นจริงๆ
ฮ่องเต้วัยกลางคนเพียงแต่พยักหน้าขึ้นลงแล้วไม่ได้สนใจอะไรอีกก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาปล่อยให้ ลี่หยางนั่งร่างราชสานส์สำหรับใช้ในงานต่างๆ ตรงหน้า ที่กองเป็นภูเขา
หว่านหนิงรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดเมื่อออกมาจากห้องหับที่ฝุ่นจับเขรอะขนาดนั้น เห็นที่ต้องออกแรงกันหน่อยกว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ใจคิดในเมื่อเตรียมใจเตรียมกายมาแล้วจะกลัวสื่งใดกันเล่า
“เจ้าสองคน ชื่ออะไรบ้าง”เอ่ยปากชวนสาวใช้คุยรู้จักกันไว้แม้ไม่คิดที่จะสนิทกับพวกนางแต่ว่าในยามนี้ เหมือนตัวคนเดียวโดยแท้ องค์ชายห้าผู้เป็นสามีก็เฉยชา เสียจนน่าใจหาย
“ข้าน้อยอิงไถ”พูดขึ้นดังๆอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ข้าน้อยกุ้ยอิง”กุ้ยอิงกับส่งเสียงเบาหวิว
“ดี อย่างงั้นข้าเรียกพวกเจ้าเสี่ยวไถกับเสี่ยวกุ้ย นำข้าไปที่ห้องเครื่องเถิด”ทั้งสองหันมองหน้ากัน
“ข้าน้อยมิกล้าเราสองคนเป็นเพียงสาวใช้จะเดินนำนายหญิงได้อย่างไร”
ย่อตัวลงข้างหน้า หว่านหนิงยิ้ม เพียงทดสอบพวกนางว่าจะถูกสั่งมาให้ปฏิบัติกับหว่านหนิงเช่นไร ในเมื่อที่คาดหวังไว้แต่เดิม แย่กว่านี้ คิดว่าพวกนางคงไม่ได้เคารพย้ำเกรง เพราะองค์ชายห้าไม่ได้มีอำนาจในการปกครองใคร
สายตาของหว่านหนิงสะดุดเข้ากับ ร่างสูงโปร่ง ในอาภรณ์สะอาดสะอ้านพู่และป้ายหยกบ่งบอกฐานะว่าไม่ธรรมดา เสี่ยวกุ้ยกับเสี่ยวไถ ประสานมือข้างเอวย่อตัวลงทันที
“ถวายพระพรองค์รัชทายาท” หว่านหนิง ย่อตัวลงช้าๆใบหน้างดงามงามราวกับสตรีช้อนตามองใบหน้าของหว่านหนิง ความเสียดายบังเกิดขึ้นในใจ ไยต้องเป็นองค์ชายห้าผู้นั้นด้วย
“เจ้าเองหรือ ชายาพี่ห้า”
“หม่อมฉัน จงหว่านหนิงถวายพระพร ไท่จือ”โบกมือช้าๆ ให้ลุกขึ้น
“เสียดาย”หว่านหนิงยิ้มมุมปาก
พระเอกสายแอพ เฉยชาทว่าโบ๊ะบ๊ะภายใน โคตรรั่ว อัตราการแขวะ0.01วินาที ภายใต้หน้ากากสูงส่งบริสุทธิ์ ในนามปรมาจารย์ ที่ค้ำคอไว้ พบกับ พระเอกสายกาว ที่ไม่เอื้อนเอ่ย ใครกันจะรู้ภายในใจท่านคิดเช่นไร พบกับนิยายแนว ขุนเขาจอมยุทธ์ บุญคุณความแค้น แต่พระเอกสายฮา สะกดกลั้นความอาไว้ภายใต้หน้ากากหล่อเหลาอย่าเผลอนินทาอย่าเผลอหลงรัก เพราะปรมาจารย์ท่านนี้อ่านใจคนออก
เรื่องเล่าของท่าน อาจทำข้าสำราญ หรืออาจทำให้ทุกข์ตรมไปกับท่าน ถือว่าท่านจ่ายค่าตอบแทนแก่ข้าแล้ว เสพสุขจากความทุกข์ตรมกระทำได้เช่นนั้นหรือความทุกข์ตรมของผู้อื่น ทำให้เราหลุดพ้นความทุกข์ตรมของเราได้
บุตรีของขุนนางกบฏ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้บิดาแทนที่จะหนีไปไกลแสนไกลกลับพาตัวเองมาผูกพัน กับคนที่เป็นศัตรู แค้นฆ่าพ่อจือหรานจะสามารถทวงความเป็นธรรมให้บิดาได้หรือไม่ ..พบกับความรักความแค้นที่ฝั่งแน่น
ตำรวจหญิงมือดีดับอนาถแต่สวรรค์กลับให้โอกาสได้กลับไปแก้แค้น แทนหญิงโง่งมคนหนึ่งที่ถูกหักหลังเช่นกัน งานนี้จะต้องไม่ใครก็ใครสักคนจะต้องเสียน้ำตา
.....อามูเนส... .. ราชินีที่รักแห่งข้าขอเทพธิดาไอซิส มอบชีวิต อมตะให้ข้าและนาง ...รอ เจ้าอยู่ที่นี่ ตราบ ดวงอาทิตย์อับแสง ..รอเจ้าอยู่ร่วมเดินทางสู่ฟากฟ้า พร้อมกัน” คำขอครั้งสุดท้ายของ..โฮรัส.. ผู้เลื่องชื่อเทพแห่งสงคราม กับเจ้าหญิงผู้ซึ่งตกเป็นเชลย ด้วยจุดเปลี่ยนที่บิดาของอามูเนส ผู้เลอโฉมเลื่องลือไปไกล พ่ายแพ้ให้แก้ฟาโรห์โฮรัสเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นของ คำขอต่อเทพแห่งความเป็นอมตะไอซิส คำขอครั้งสุดท้ายจะเป็นจริงไหมและเอวาสาวสวยนักโบราณคดีที่ขุดค้นพบ คำขอนั้นของฟาโรห์โฮรัสจะ สามารถค้นพบความจริงต่างๆได้อย่างไร ล่องลอยไปกับดินแดน ไอยคุปต์ด้วยกันใน...มนตราฟาโรห์...
ขายตัวเข้ามาเป็นอี้จีฝึกหัด แต่ยังไม่ผ่านงานแรกด้วยซ้ำ สวรรค์ชังหรือนรกแกล้งให้เฟิ่งหลิว ต้องมาพบเจอคนใจร้ายเช่นนี้แล้วยังมาหาว่าเฟิ่งหลิวเป็นนางคณิกา กร้านโลกอีก ทั้งๆที่น้องแสนจะเดียงสา
นายปฐพี พลพิพัฒ อายุยี่สิบแปดปี ชายหนุ่มรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่กำยำผิวขาว เขาเกลียดผู้หญิงทุกคนเข้าไส้ ใครเข้าใกล้ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือปีศาจในคราบเทพบุตรชัดๆ แต่ทำไมนะจีน่าจึงตกหลุมรักเขา นางสาวจีน่า ไนลา อายุยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเธอนั้นคมเหมือนกับสาวลูกครึ่ง เพราะมารดาของเธอเป็นคนอังกฤษ บิดาของเธอชื่อสรวิช ซึ่งความสวยของจีน่านั้นไม่เป็นรองใคร ดวงตาของเธอกลมโตจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูระเรื่อ ใครเข้าใกล้ต่างก็ชอบในความน่ารักสดใสของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวได้เก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อคนที่เธอตกหลุมรักเขากำลังจะแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้น คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ความรักของเขาและเธอจะลงเอยยังไงฝากด้วยนะคะ
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด