"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
“อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าที่แบบนี้ มันดีขนาดไหนกันเชียว”
หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้าไปเที่ยวใน ‘บาร์ลับ’ ชื่อดัง ที่แม้ชื่อจะลงท้ายว่า ‘ลับ’ แต่ด้วยเอกลักษณ์ต่างๆ ของที่นี่เลยทำให้เหล่าเซเลบหรือนักรีวิวต่างพากันไปเที่ยวสังสรรค์ จนทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ ‘ความลับ’ อีกต่อไป…
‘ข้าวหอม’ เมรีญา บุญสว่าง เดินเข้าไปในบาร์ลับดังกล่าวด้วยใจที่หวาดหวั่น จริงอยู่ที่อายุอานามก็ปาเข้าไปยี่สิบห้าปีแล้ว แต่ใครจะเชื่อว่าสาวอย่างเธอไม่เคยเที่ยวสถานที่บันเทิงเลยสักครั้ง! แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจสถานที่แบบนี้หรอกนะ แต่เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าสถานะทางบ้านไม่ดีต่างหาก ทำให้หญิงสาวไม่คิดที่จะผลาญเงินไปกับความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ลำพังพ่อก็มากเกินทน!
หญิงสาวอยู่ในชุดแต่งกายธรรมดา ปล่อยผมยาวสลวยน้ำตาลทองถึงกลางหลัง ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอางตบแต่งใดๆ แต่ก็ยังดูสวยเป็นธรรมชาติ ปกติแล้ว เมรีญาไม่ใช่ผู้หญิงปล่อยตัว ด้วยหน้าที่การงานที่เป็นถึงประชาสัมพันธ์ให้กับโรงแรมในเมือง ทำให้ต้องคอยดูแลเรื่องบุคลิกและภาพลักษณ์เสมอ แต่ค่ำคืนนี้ เธอมีเรื่องทุกข์ใจชนิดที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะแต่งหน้าแต่งตาให้ดูดี และจุดประสงค์ที่มาบาร์ลับแห่งนี้จะเรียกว่าประชดชีวิตก็คงได้!
“มากี่ที่ครับ” การ์ดหน้าร้านเอ่ยถามหญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอเดินมาคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนมาด้วย
“ฉันมาคนเดียวค่ะ” เมรีญาตอบนิ่งๆ แต่ในใจกลับหวาดหวั่น เมื่อมองเห็นหนุ่มสาวแต่ละคนที่มาเที่ยวที่นี่จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม จนเธอนึกอายอยากกลับไปเปลี่ยนชุดทันที
“หน้าตาสวยๆ แบบนี้มาคนเดียวระวังจะอันตรายนะครับ”
การ์ดร่างใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแกมทีเล่นทีจริง เมรีญาเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงการกล่าวแซวกันเท่านั้น
“เฮ้ย อย่าไปแซวลูกค้าสิ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหรอก ฮ่าๆ”
จังหวะนั้น การ์ดอีกคนก็เข้ามาพูดจาสมทบด้วย ยิ่งทำให้เมรีญาหวาดหวั่นหนักเข้าไปอีก ว่าตนเองทำถูกหรือไม่ที่ตัดสินใจมาเที่ยวที่นี่
“พวกพี่แค่แซวเล่นนะน้อง เชิญครับ ถ้ามีใครมาวอแวก็เรียกการ์ดได้เสมอนะ เจ้าของที่นี่ เขาเคร่งมาก ไม่อยากให้มีเรื่องลวนลามหรือทะเลาะวิวาทกันในบาร์” หนึ่งในการ์ดเหล่านั้นพูดขึ้น พอจะช่วยทำให้เมรีญาเบาใจขึ้นหน่อย
หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าบาร์มาอย่างกล้าๆ กลัวๆ วินาทีที่เธอได้เห็นแสงสีเสียงอย่างที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองคือคำว่า ‘ก็ไม่เลว’ อย่างที่เคยคิดไว้ อาจเพราะที่นี่เป็นบาร์ลับ และจากที่เคยอ่านเจอจากอินเทอร์เน็ตคือ เจ้าของที่นี่ไม่อยากให้บาร์ของตนเองเป็นที่นั่งดื่ม หรือออกแนวคล้ายผับ แต่เขาอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือเป็นที่บรรเทาความทุกข์ให้กับลูกค้าเสียมากกว่า และใช่…เมรีญาก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ต้องการมาที่นี่เพื่อคลายความทุกข์ของตัวเองเช่นกัน
หญิงสาวก้าวเข้ามาในบาร์อย่างงุนงง ด้วยความที่ไม่เคยเที่ยวทำให้ไม่รู้ว่าจะไปนั่งที่ตรงไหนได้ โต๊ะในร้านยังเหลืออีกไม่มาก ส่วนโต๊ะที่เหลือส่วนใหญ่ก็คือโต๊ะสำหรับนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่เธอมาคนเดียวจึงไม่เหมาะนัก
เมรีญาหันไปมองที่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่ใช้สำหรับให้บาร์เทนเดอร์ชงเครื่องดื่มให้แขก พบว่ามีที่นั่งเหลืออยู่หนึ่งที่พอดี จึงไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งเก้าอี้ดังกล่าว
“เอ่อ นั่งตรงนี้ไมได้นะคะ คนที่จะนั่งตรงนี้ได้ต้องจองมาก่อนค่ะ”
ไม่ทันที่ร่างบางสวยจะได้นั่งลงก็ถูกพนักงานสาวสวยของร้านเข้ามาห้ามเสียก่อน พร้อมทั้งยังมองการแต่งกายของเมรีญาอย่างประเมินอีกด้วย
“ขอโทษค่ะ”
เมรีญารู้ดีว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ และหญิงสาวเป็นคนมีมารยาทพอ หากที่ตรงนี้มีไว้สำหรับคนที่จองเข้ามา หรือต้องเป็นคนที่มีเงินหนามือ เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปนั่งอยู่ดี
“ให้เธอนั่งเถอะคุณแพรว”
ก่อนที่เมรีญาจะเดินจากไป ทันใดนั้นก็มีเสียงราบเรียบของชายแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้เธอต้องเหลียวหลังกลับไปมองเขาทันที
ชายหนุ่มรูปร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผิวขาวสะอาดแบบคนเจ้าสำอาง แต่กลับดูขัดกับสายตาคมกริบที่เมื่อเผลอไปสบตาต้องรู้สึกหวาดหวั่นได้อย่างง่ายดาย จมูกคมเป็นสัน ริมฝีปากบางรับกับรูปหน้าคม สวมชุดสูทสำหรับ ‘บาร์เทนเดอร์’ ด้วยรูปร่างที่ดีจนแทบจะเหมือนนายแบบทำให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่ดูดีและมีเสน่ห์เหลือล้นจนเมรีญาดเผลอจ้องอย่างลืมตัว
“เอ่อ คือว่า...”
พนักงานสาวที่ชื่อ ‘แพรว’ ทำท่าทีกระอักกระอ่วน ก่อนที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อคนนั้นจะยิ้มให้บางๆ ให้
“ค่ะ ได้ค่ะ” แล้วเจ้าหล่อนก็เดินกลับไปประจำจุดทำงานเดิมของตัวเอง
เมรีญาได้สติ จึงหันไปยิ้มรับให้กับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเพื่อเป็นการขอบคุณทันที
เพราะโรงแรมและร้านขนมบุษบาพาฝัน ของเธอกำลังย่ำแย่หากไม่มีเงินไปปรับปรุงคงต้องเลิกกิจการของครอบครัวชลลัมพีจึงยัดเยียดข้อเสนอให้เธอพิจรณา เงิน 10 ล้านบาท แลกกับการแต่งงานเพียง 1 ปี แล้วจากนั้นก็ทางใครทางมัน ชลลัมพีกระหยิ่มยิ้มย่องกับแผนการของตนแต่เหตุไฉนยัยมนุษย์ป้าหน้าป่วยกลายเป็นสาวสวยเป๊ะเวอร์พร้อมกับเสน่ห์เหลือร้ายขนาดกลายเป็นที่ต้องตาของคอลัมนิสต์ชื่อดังลูกครึ่งไทย – อิตาลี่ ‘อเล็กซานโดร อบาเต้’ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นลูกชายมาเฟียมากอิทธิพลแห่งกรุงโรม อิตาลี่ ชลลัมพีจะทำยังไงเมื่อยิ่งอยู่ใกล้ใจยิ่งแกว่ง ที่ออกตัวเอาไว้แรงแต่แรกว่าเขาไม่เคยอยากเห็นขาอ่อนเธอแม้แต่น้อย เวลานี้เขาอยากจะเห็น อยากจะจับ อยากจะรวบรัด มัด บุษบาบัณ เอาไว้ที่ข้างเตียงและ อยากจะใช้สิทธ์คำว่าสามีเสียเต็มที่แล้ว
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"