รวมเรื่องสั้น
รวมเรื่องสั้น
ความน่ากลัวของจักรวาล
พลังงานมืดคือพลังงานที่ไม่รู้จักมีคนเสนอว่ามันคือค่าคงที่ของจักรวาลหรือความหนาแน่นของพลังงานคงที่สสารมืดเป็นสสารในสมมุติฐานซึ่งมองไม่เห็นด้วยสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดแต่สสารส่วนใหญ่ในเอกภพไม่สามารถมองเห็นได้สสารมืดไม่ปล่อยหรือดูดกลืนแสงหรือรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าใดๆ สสารทั่วไปมีสี่สถานะ ของแข็ง/ของเหลว/แก๊ส/พลาสม่า สสารประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานสองประเภท ควาร์กและเลปตอน สสารธรรมดาในเอกภพส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเนื่องจากดาวฤกษ์และก๊าซที่มองเห็นได้ภายในกาแล็กซีและกระจุกดาวมีสัดส่วนน้อยกว่า10%ของสสารธรรมดาที่ก่อให้เกิดความหนาแน่นของมวล-พลังงานของเอกภพ สสารธรรมดาและแรงที่กระทำต่อกันสามารถอธิบายได้ในรูปของอนุภาคมูลฐานไม่มีใครรู้โครงสร้างพื้นฐานของมันและไม่ทราบว่ามันประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานที่เล็กกว่าหรือไม่อนุภาคมูลฐานอธิบายได้ดีที่สุดด้วยกลศาสตร์ควอนตัม โฟตอนคือควอนตัมของแสงและรูปแบบอื่นๆของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพาหะของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าโฟตอนมีมวลนิ่งเป็น0
นี่ไม่ใช่เอกสารทางวิชาการแต่อย่างใดแต่มันก็เกือบๆแหละ ผมกำลังเขียนวิทยานิพนธ์ไว้จบปริญญาโดยเลือกจักรวาลมาเป็นหัวข้อผมกะจะคิดค้นทฤษฎีใหม่ไว้ในวิทยานิพนธ์นี้ด้วยอธิบายเรื่องที่ทฤษฎีฟิสิกส์ทั้งหมดอธิบายไม่ได้ ฟิสิกส์นี่โคตรจะซับซ้อนเลยแฮะ ไม่ใช่แค่สัมพัทธภาพแล้วยังมีทฤษฎีสตริงทฤษฎีควอนตัมกับทฤษฎีอื่นอีกมีเรื่องของอวกาศสามมิติมารวมกับเวลาหนึ่งมิติกลายเป็นแนวคิดกาลอวกาศอีก เพื่อที่คิดทฤษฎีผมออกมานอนบนพื้นหญ้าโล่งๆที่ไม่มีต้นไม้เลยในตอนกลางคืน มองท้องฟ้ายามค่ำคืนผมชอบท้องฟ้าที่ดวงดาวเต็มทั้งท้องฟ้าผมชอบเห็นทางช้างเผือกและกาแล็กซีผมชอบแสงเหนือหรือออโรร่าแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปดู สมองผมแล่นตลอดเวลาอยู่แล้วสมองผมไม่เคยหยุดพักจริงๆจะพูดงั้นผมก็ไม่รู้ว่าถูกไหมแต่ถ้าผมบอกว่าสมองผมไม่เคยหยุดคิดผมมั่นใจว่าถูกแน่ และกำลังคิดทฤษฎีใหม่ที่จะทำให้ทุกทฤษฎีสมเหตุสมผลโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาอธิบายเพิ่มอีก ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องคิดอีก เราสามารถสังเกตุเอกภพได้ในขอบเขตที่จำกัดไม่มีใครรู้ว่าเอกภพมีขอบเขตจำกัดหรือว่าไม่มีที่สิ้นสุดรวมไปถึงเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่สังเกตุได้ถูกจำกัดไว้ที่ค่าที่แคบมากเท่านั้นหากค่าต่างกันเพียงเล็กน้อยจะไม่มีสิ่งมีชีวิตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่
ถ้าเราค้นหาความจริงเรื่องพวกนี้หรืออธิบายเรื่องพวกนี้ได้ก็จะสามารถคิดทฤษฎีที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ ตอนที่ผมมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยผมเห็นว่าทุกอย่างมันก็ยังปกติแน่นอนมันควรทำให้ผมคิดทฤษฎีออก แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกไว้ว่าผู้สังเกตุการณ์สองคนในสภาพที่ต่างกัน(คน1นิ่งอีกคนเคลื่อนที่)จะมองเห็นเหตุการณ์เดียวกันต่างกัน นั่นหมายความว่าตอนนี้ผมที่อยู่นิ่งๆก็ควรจะสังเกตุเห็นท้องฟ้าแบบเดียวกันกับที่คนนิ่งๆควรจะเห็น แต่ดูเหมือนว่าผมสามารถมองเห็นเหตุการณ์เดียวกันที่แตกต่างกันสองรูปแบบในเวลาเดียวกันได้มันไม่น่าเป็นไปได้เลยในทางทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทฤษฎีสัมพัทธภาพเกี่ยวกับแสงกับสนามความโน้มถ่วงโดยมีเวลาเป็นจุดสังเกตุนี่เป็นเรื่องหลักๆของทฤษฎีสัมพัทธภาพ ดังนั้นในเวลาที่แตกต่างกันก็ควรจะมองเห็นเหตุการณ์ที่ต่างกันด้วย แต่ดูเหมือนเวลาทุกเวลามันจะมารวมกันที่จุดเดียวกันหมด ที่ผม เพราะผมสามารถมองเห็นเหตุการณ์เดียวกันที่แตกต่างกันทุกรูปแบบได้ในเวลาเดียวกันพร้อมๆกัน ผมเห็นแสงแปลกประหลาดบนท้องฟ้าและบนพื้นโลกด้วยผมมองเห็นวัตถุดำๆแปลกประหลาดบนท้องฟ้าด้วย จากนั้นเทหวัตถุทั้งหมดก็เคลื่อนที่ออกห่างจากกันแต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ว่างบนท้องฟ้าจะเพิ่มขึ้นมีเทหวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นจำนวนมากในพื้นที่ว่างเหล่านั้น ทั้งๆที่ไม่มีอะไรแต่ผมสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างชนกับตัวผมผมมองไม่เห็นอะไรเลยถ้าอะไรในทางวิทยาศาสตร์ที่มองไม่เห็นแล้วล่ะก็มันน่าจะเป็นพลังงานมืดไม่ก็สสารมืดทั้งสองอย่างนี้มันมองไม่เห็นสังเกตุเห็นได้ไม่ชัดมีลำแสงประหลาดพุ่งใส่ผมแล้วมันก็ผลักผมลากดึงผมระยะหนึ่งโฟตอนมันมวลเป็น0มันมีปฏิสัมพันธ์พื้นฐานในระยะไกลได้แต่ผมไม่มั่นใจว่าโฟตอนทำแบบนี้ได้จากนั้นผมก็เห็นจุดเล็กๆแปลกประหลาดจำนวนมากบนท้องฟ้า แล้วก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดโพล่มาบนท้องฟ้าทำให้ผมพร้อมที่จะวิ่งหนีหาที่ซ่อน สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอวัยวะมีแต่หนวดเท่านั้น แล้วผมก็ค้นพบ สิ่งมีชีวิตหนวดนั่นสามารถควบคุมคุณสมบัติทั้งหมดของจักรวาลทั้งจักรวาลได้และทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นสิ่งที่ยังไม่ค้นพบอย่างเช่นแทคิออนและสิ่งที่อยู่ในสมมติฐานในทฤษฎีฟิสิกส์ทุกทฤษฎีได้ทำให้ผมมองเห็นเวลาจนมองเห็นทั้งกาลอวกาศได้รวมไปถึงควาร์กและเลปตอนได้
สิ่งมีชีวิตหนวดนั่นเหมือนจะมีความสามารถมากกว่าที่ผมคิดไว้ ท้องฟ้าเริ่มบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดดวงดาวเหมือนจะระเบิดหลอมละลายและหลอมรวมใหม่ลำแสงแปลกประหลาดพุ่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตหนวดนั่นคุณสมบัติของโฟตอนของลำแสงของสิ่งมีชีวิตหนวดรุนแรงกว่าที่โฟตอนในทฤษฎีฟิสิกส์อธิบายไว้ในทางทฤษฎีเราสามารถมองเห็นคุณสมบัติของโฟตอนได้ในระดับจุลทรรศน์แต่นี่ผมเห็นคุณสมบัติของโฟตอนทั้งหมดได้ด้วยตาเปล่า มันปล่อยวัตถุแปลกประหลาดออกมาจากตัวมันในทั้งสี่สถานะของแข็งของเหลวและพลาสม่า พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้และไม่สามารถทำลายได้มันมีของมันเองอยู่แล้ว แต่สิ่งมีชีวิตหนวดนั่นสามารถสร้างพลังงานได้สามารถสร้างพลังงานมืดได้สามารถสร้างควาร์กและเลปตอนได้จนสามารถสร้างสสารธรรมดาสามารถสร้างโฟตอนรวมไปถึงรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ทุกชนิด มันสามารถควบคุมบิดเบือนสร้างและทำลายแรงทุกแรงตั้งแต่แรงมหภาคไปจนถึงแรงที่อธิบายในรูปของอนุภาคมูลฐานได้ควบคุมสร้างและทำลายโฟตอนรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานพลังงานมืดสสารธรรมดาควาร์กเลปตอนได้สัตว์ประหลาดตัวนั้นสามารถปล่อยพลังงานมืดสสารมืดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากตัวมันได้ ขยายหรือลดขนาดและควบคุมอวกาศได้ ย้อนเวลาไปอนาคตได้ทำให้เวลาเดินช้าลงหรือเดินเร็วขึ้นได้ทำให้เวลาเดินถอยหลังก็ได้ มันควบคุมกาลอวกาศทั้งหมดได้ และควบคุมแรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์ แรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้ รู้สึกต้นไม้แต่ละต้นมันจะสูงเกินความสูงเฉลี่ยของมันยังกับมันโตไวเท่าต้นไผ่แน่ะ น้ำจากก๊อกก็รู้สึกว่ามันจะไหลแรงขึ้นกว่าปกติทุกวันทุกวัน ไม่มีใครมากวาดถนนเลยหรือไงนะ?รู้สึกว่าใบไม้มันจะรกถนนขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอีก ดินเริ่มแปลกต้นไม้เริ่มแปลกพวกสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงก็ดูเริ่มแปลกไป คุณว่าแปลกผิดปกติไหม? แล้วลมแรงมากๆก็เริ่มพัดจนทุกอย่างสั่นไหวไปหมด แสงดูจะแปลกประหลาดเหมือนแสงสะท้อนจากเพชร ทุกอย่างดูสว่างสุกใสแต่ก็มืดครึ้มในเวลาเดียวกัน "เงา"มัน"มืดกว่าปกติจนมองด้วยตาเปล่าก็รู้เลยว่ามันผิดปกติ เหมือนว่าเวลาเวฟของมันก็ดูจะยาวนานกว่าวิ่งมาราธอนอีก นาฬิกาของทุกคนในที่นั้นก็ดูจะไม่ตรงกันเลย และผมรู้สึกว่าเหมือนพื้นที่มันจะขยายตัวออกไปไร้ที่สิ้นสุดซะอีก ผมตัดสินใจวิ่งกลับเข้าบ้านแต่อย่างที่บอกรู้สึกว่าเหมือนพื้นที่มันจะขยายตัวออกไปไร้ที่สิ้นสุดซะอีก การวิ่งภายใต้ความมืดนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นการหนีจากอะไรบางอย่างจากสิ่งที่เราไม่มีวันวิ่งหนีพ้น เหมือนกับการวิ่งหนีจากตัวเอง เหมือนกับการวิ่งหนีจากจักรวาล รู้สึกรอบๆตัวมันบิดเบี้ยวมากขึ้น พื้นดินเริ่มไม่สม่ำเสมอ ต้นไม้รูปร่างไม่สมส่วน ภูเขา ผืนน้ำ ใบไม้ พื้นดิน เริ่มมีสันฐานที่อสมมาตร ยิ่งวิ่งยิ่งรู้สึกว่าทางมันยาวขึ้น ผมหันหลังกลับไปมองไปบนท้องฟ้า สิ่งมีชีวิตหนวดนั่นยังอยู่บนท้องฟ้า ผมวิ่ง ทางยิ่งยาวขึ้น สัตว์ประหลาดหนวดยังอยู่ที่เดิม มันเหมือนกับว่าทั้งผมและสัตว์ประหลาดหนวดนั่นยังอยู่ที่เดิม
ผมวิ่งมาถึงรถยนต์คันหนึ่ง ผมขับรถยนต์ออกไปไกลแสนไกล เห็นแต่เพียงท้องฟ้ายามค่ำคืน
ผมแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้ารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลดาวกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมๆกับเหตุการณ์จากความสามารถของสัตว์ประหลาดหนวดตัวนั้น
ผมไม่มีเข็มทิศ ผมไม่มีแผนที่ ผมไม่มีโทรศัพท์ และก็ไม่มีวิทยุ
ผมเรียกใครมาช่วยไม่ได้
ขับรถยนต์ตรงไปเรื่อยๆเร่งความเร็วขึ้น
ผมนึกได้ว่าผมใส่นาฬิกาข้อมือไว้ที่แขนซ้าย ผมดูนาฬิกาของผม สี่ทุ่มตรง
มองเห็นเพียงแต่ทะเลดาว ไม่มีผู้คน
มันมืด มืดจนแทบมองนาฬิกาไม่เห็น
ผมไม่รู้ว่าจะต้องไปต่อตรงไหน โทรหาใครไม่ได้ เรียกใครมาช่วยไม่ได้
มีกองทัพแมลงสาบยักษ์ยาวซักหนึ่งเมตรสูงห้าสิบเซนติเมตรวิ่งมาหาตรงเข้าหาผมประหนึ่งขบวนรถติดยาวในยามที่รถติดที่สุดและแสนแน่นขนัดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอย่างน้อยๆก็สมัยที่ผมเห็นตอนอนุบาล
ผมขับรถทับแมลงสาบที่แสนใหญ่โตเหล่านั้น
เหล่าแมลงสาบที่โดนรถทับจนแบนเหล่านั้นหนวดของมันขยับดูเหมือนกับว่ามันยังไม่ตาย หนวดของมันดิ้นอย่างรุนแรง
บรรดาแมลงสาบยักษ์เหล่านั้น ตอนนี้อวัยวะภายในของมันทะลักออกมาเกลื่อนเต็มพื้น
ผมขับรถทับพวกแมลงสาบยักษ์ไปดรื่อยๆ ทับมันอีก ทับมันอีก อวัยวะภายในของแมลงสาบเหล่านั้นกระจุยกระจาย
ตอนนี้บนพื้นมีเพียงอวัยวะที่แยกออกจากกันของบรรดาแมลงสาบเหล่านั้น
คุณตัดสินใจกัดส่วนหัวของมันทั้งหมดโดยเว้นหนวดของมันไว้ หนวดของมันก็ดิ้นอย่างแรง
ยังมีฝูงแมลงสาบนับพันฝูงวิ่งตรงเข้ามาเรื่อยราวกับว่าแมลงสาบพวกนี้มันแยกร่างได้นับพันร่าง
ทุกครั้งที่ผมขับรถทับพวกมัน เครื่องในของพวกมันจะทะลัก
และอวัยวะของพวกมันก็จะย้อมเต็มพื้นดินเหมือนกับกระดาษวาดรูปที่เปื้อนโคลนสีน้ำตาล
ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรต่อ
ท้องฟ้าไม่มีแสงจันทร์ มีแต่ดวงดาวเต็มทั้งท้องฟ้า
อยู่ๆรถก็ดูเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรง
ฝูงแมงมุมตัวใหญ่สีน้ำตาลขายาว ตัวของมันใหญ่กว่าเด็ก ขายาวเท่าคนที่สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร
ผมมองไปรอบๆแล้วเห็นว่านอกจากฝูงแมงมุมยักษ์แล้วยังมีตะขาบยักษ์ ถ้าถนนสายไหนที่ยาวซักร้อยเมตรบรรดาตะขาบยักษ์เหล่านี้ก็ยาวเท่านั้นแหละ ตะขาบยักษ์ยาวร้อยเมตร
ผมเร่งความเร็วของรถยนต์ให้เร็วขึ้นมากไปกว่าเดิม ขับรถทับบรรดาแมงมุมและตะขาบยักษ์เหล่านั้น ฝ่าพวกมันไปให้เร็วยิ่งกว่าตอนขับรถฝ่ากองทัพแมลงสาบยักษ์
มีควันลอยมาเต็มพื้นที่ ผมมองไม่เห็นต้นไม้แล้ว.ผมมองไม่เห็นดวงดาว คุณมองไม่เห็นอะไรเลย ผมเห็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือควัน
ผมไปไหนไม่ได้เพราะผมมองทางไม่เห็นเพราะควัน
คุณเหม็น คุณแสบตา คุณระคายเคืองคอ คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้
สักพักหนึ่ง ควันเริ่มจางลง จากนั้นควันก็หายไปทั้งหมด
ผมมองเห็นต้นไม้ทุกต้น มันยังคงอยู่ในรูปทรงเดิมของมันแต่มันกลายเป็นถ่านสีดำทุกต้น
ต้นไม้ทุกต้นยังคงเป็นต้นแต่มันกลายเป็นถ่านทั้งหมด
ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นกลายเป็นถ่านสีดำที่ตั้งตระหง่าน
แม้แต่หญ้าบนพื้นก็ยังเป็นสีดำและเหี่ยวแห้ง
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว
ผมขับรถไปที่แม่น้ำซึ่งมีสะพานข้าม ส่วนน้ำในแม่น้ำนั้นก็เป็นน้ำเน่า ที่นี่บ้านคนตั้งริมน้ำตั้งอยู่เรียงรายกันไปทั้งสองฟากแม่น้ำ
ผมขับรถขึ้นสะพาน
แล้วคุณก็เห็นบ้านริมน้ำที่อยู่ต่อหน้าคุณถล่มลงน้ำเน่าทีละหลังทีละหลังเรียงต่อกันไปเรื่อยๆ
ผมหันหลัง
ผมเห็นบ้านริมน้ำถล่มลงไปในน้ำเน่าเรียงไปทีละหลังเหมือนกัน
บ้านทุกหลังริมสองฝั่งแม่น้ำถล่มลงไปในน้ำเน่าหมดแล้วทุกหลัง รวมถึงผู้คนด้วย
ผู้คนที่อยู่ในแม่น้ำเน่าพยายามว่ายน้ำขึ้นฝั่งแต่พวกเขาขึ้นฝั่งไม่ได้ พวกเขาทุกคนในน้ำเน่าเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉุดลงไปใต้น้ำ แล้วพวกเขาทุกคนก็จมลงไปในน้ำอย่างสมบูรณ์
ผมมองน้ำเน่า
ผมตัดสินใจจะขับรถข้ามสะพานนั้นต่อไปยังอีกฝั่ง
ผมรู้สึกบางอย่าง
ผมหันหลังไป
สะพานไม้ด้านหลังผมกำลังถล่มลงไปในน้ำเน่า
ผมขับรถด้วยความเร็วสูงสุด
ผมขับรถข้ามสะพานมาจนถึงอีกฝั่ง ผมหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง
สะพานค่อยๆถล่มลงไปในน้ำเน่า จนตอนนี้สะพานก็ถล่มลงน้ำเน่าทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ผมขับรถต่อไป จนตอนนี้ผมผ่านลานทิ้งขยะขนาดใหญ่พร้อมด้วยกองขยะขนาดใหญ่ ผมขับรถผ่านมันไป
เกิดเสียงระเบิดขึ้น
ผมหันหลังกลับไปมอง เปลวไฟมาจากกองขยะ
เปลวไฟลุกไหม้กองขยะ คนกลุ่มหนึ่งอยู่ในกองขยะ เขาพยายามจะเดินออกมาแต่เขากลับจมลงไปในกองขยะเรื่อยๆ
ตอนนี้มีแค่หัวของพวกเขาโผล่ออกมาจากกองขยะ พวกเขาพยายามเรียกให้ช่วยแต่พวกเขาก็จมหายลงไปในกองขยะทั้งตัวแม้แต่ส่วนหัว
แล้วกองขยะด้านบนก็ไถลถล่มลงมาทับพวกเขาซ้ำ
ผมอยู่บนถนนซึ่งขยะเกลื่อนกลาดทั้งสองข้างทาง
จู่ๆก็มีแสงฟ้าแลบเกิดขึ้น ผมมองไปที่นาฬิกา สี่ทุ่มครึ่ง
ผมมองไปที่ท้องฟ้า หนวดของสัตว์ประหลาดตัวที่อยู่บนท้องฟ้าสั่นไหวอย่างรุนแรง
จากนั้นผืนดิน ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ ต้นหญ้า ดวงดาว และท้องฟ้าก็บิดเบี้ยว จากนั้นทั้งจักรวาลก็บิดเบี้ยว มีแสงวาบประหลาดเกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็ระเบิดพินาศ
จบ
รวมเรื่องราวของจอห์นนี่และนักสืบหญิงวัตสันและผองเพื่อน
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
'เจ้าเป็นว่าที่ชายาของข้า จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง หรือต้องให้ข้าเสกทายาทเข้าท้องเสียก่อน’ ใครจะไปคิด ว่าการบังเอิญไปเก็บดอกไม้ที่ใครบางคนเผลอทำตกเอาไว้จะมีแวมไพร์มา 'จองรัก' จองผลาญไปตลอดกาล หากกล่าวถึงกุหลาบ หลายคนอาจนึกถึงเรื่องราวโรแมนติกประหนึ่งนิยายหวานซึ้งเพียงเท่านั้น แต่สำหรับหญิงสาวอย่าง ลินิน การได้มาพบกุหลาบดอกหนึ่งเข้าโดยบังเอิญกลับทำให้ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล เมื่อมันนำพาเธอไปพานพบกับเจย์เดน แวมไพร์ ที่มีอยู่มานานหลายศตวรรษ นอกจากนี้ เขายังหวงของรักมากเสียด้วยสิ แต่การมาของเขานั้นก็นำคำสาปรักมาสู่เธอด้วย
ซุนเหยา เจ้าของร้านอาหารจีน ที่มีอยู่หลายสาขาทั่วประเทศ เธอทำงานหนักจนหมกสติไป เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวแปดคนหาม สวมชุดแดงมงคล กำลังจะเข้าพิธีแต่งาน
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด