“นึกดูดีๆ เจ้าเอยเรามีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดไหม ตัดคำว่าอาหลานออกไปก่อน ตอนนี้เราก็คือผู้หญิงกับผู้ชายที่มีความต้องการเหมือนกัน ถ้าอาปล่อยให้เจ้าเอยกลับห้องตอนนี้เจ้าเอยก็นอนไม่หลับและอาก็คงเป็นผู้ชายที่โง่มาก”
ปีขาลชายหนุ่มวัย 35 กำลังเซ็งสุดขีดเมื่อมารดาโทรมาบอกให้เขารออยู่ที่ห้องทั้งที่เย็นนี้เขานัดเพื่อนเอาไว้แล้วว่าจะไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน
เขาหวังว่าธุระที่มารดาจะมาพูดกับเขาจะเสร็จก่อนที่จะถึงเวลาที่นัดไว้กับเพื่อน นานๆ ปีขาลกับเพื่อนถึงจะมีเวลาว่างตรงกันเขาก็เลยอยากจะสนุกอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าธุระที่มารดาพูดถึงนั้นมันจะสำคัญอะไรมากมายจนทำให้เธอต้องมาหาเขาถึงคอนโดก่อนถึงวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่จะกลับไปทานข้าวที่บ้านกับครอบครัวเป็นประจำ ดูท่าทางท่านจะใจร้อนเอามากๆ
ระหว่างรอให้มารดามาหาปีขาลก็เก็บนิตยสารที่กองอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมหน้าโซฟาแล้วจับมันยัดไว้ในชั้นวางหนังสืออย่างลวกๆ เพราะถ้ามารดามาเห็นก็คงจะบ่นเขาแน่ๆ ว่าทำห้องรก
ทั้งที่เขาเองก็มีแม่บ้านมาทำงานที่นี่วันเว้นวันอยู่แล้วแต่ไม่ว่าจะทำความสะอาดหรือเก็บกวาดยังไงห้องของเขามันก็กลับมารกเหมือนเดิมทุกที
เสียงออดที่หน้าประตูทำให้ปีขาลรีบลุกขึ้นไปเปิดอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ แม่คิดถึงผมมากเลยต้องมาหาใช่ไหมครับ” ปีขาลกอดมารดาก่อนจะพาเธอมานั่งที่โซฟาและเปิดตู้เย็นหยิบน้ำทับทิมของโปรดมาให้
“น้ำทับทิมครับแม่”
“ขอบใจจ้ะ เสือยังรู้ใจแม่อยู่เหมือนเดิม”
“ก็ผมลูกแม่นี่ครับ ว่าแต่ทำไมให้ผมไปหาที่บ้านล่ะครับ มาถึงที่นี่ทำไมลำบากแย่เลย”
“แม่อยากมาดูด้วยว่าเสือแอบซุกใครไว้ที่นี่หรือเปล่า”
“โธ่..แม่ผมจะแอบซุกใครไว้ล่ะถ้าผมมีป่านนี้แม่บ้านก็คงรายงานแม่ไปแล้ว”
“แม่ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าใช่ไหม”
“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนโสดครับแม่ ว่าแต่แม่บอกว่ามีธุระจะคุยกับผม มันด่วนมากเหรอครับถึงไม่รอให้ถึงเย็นวันเสาร์
“แม่มีเรื่องจะรบกวนเสือนิดหน่อย”
“ว่ามาเลยครับ”
“สัญญาก่อนว่าจะทำให้แม่”
“สัญญาสิผมรักแม่ขนาดนี้แม่ขออะไรผมก็ต้องยอมทั้งนั้นแหละ ปีขาลกอดมารดาอย่างประจบเขาก็แค่อยากรับปากไปก่อนส่วนจะทำตามหรือไม่ก็ต้องดูอีกที แต่ถ้าปฏิเสธมารดาก็คงจะอยู่คุยกับเขายาวแน่ๆ
“เสือจำน้าพัชรีเพื่อนแม่ได้ไหม” คุณนิตตราเริ่มเปิดประเด็น
“น้าพัชรีที่บ้านอยู่ทางเหนือใช่ไหมครับแม่” เขาพอจะนึกออกเพราะมารดาเคยพาไปเที่ยวที่นั่นอยู่หลายวันแต่มันก็ตั้งแต่สมัยที่เราเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง
“นั่นแหละจ้ะ”
“แม่มีอะไรหรือเปล่าหรือธุระที่แม่มาวันนี้เกี่ยวกับน้าพัชรีใช่ไหมครับ”
“จ้ะ น้าเขามีเรื่องรบกวนเสือนิดหน่อย”
“ว่ามาเลยครับแม่ ถึงผมกับน้าพัชรีจะไม่สนิทกันแต่ผมรู้ว่าแม่กับน้ายังติดต่ออยู่ แล้วน้าเขาก็ใจดีส่งส้มมาให้เรากินกันทุกปี”
“คือน้าเขาอยากฝากให้เสือช่วยดูแลลูกสาวเขาหน่อย”
“อะไรนะครับแม่”
“เบาๆ สิเสือพูดเสียงดังแบบนี้แม่ตกใจหมดนะ”
“แม่หมายความว่ายังไง แม่คงไม่คิดจะให้เธอมาอยู่กับผมที่นี่หรอกนะ ไม่เอานะแม่ผมไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนอื่น” ปีขาลรีบปฏิเสธ
“แม่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้เขามาอยู่กับเสือที่นี่ แม่อยากให้เสือช่วยดูแลระหว่างที่หนูเจ้าเอยมาทำงานช่วงแรกๆ”
“ค่อยโล่งใจไปหน่อยแล้ว จะให้ผมช่วยเหลือยังไงครับ”
“คือหนูเจ้าเอยเขาจะมาอยู่ห้องตรงข้ามกับลูก”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“แม่ก็อยากจะฝากให้เสือช่วยดูแลเธอหน่อย เธอเพิ่งมาอยู่กรุงเทพคงไม่ค่อยรู้เรื่องถนนหนทางเท่าไหร่ ถ้าไม่ลำบากมากนักแม่ก็อยากให้เสือช่วยรับส่งช่วงเล็กแรก”
“ไม่รู้เรื่องถนนหนทางแล้วจะมาอยู่กรุงเทพทำไมให้ลำบาก”
“ก็เจ้าเอยเขาได้งานที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ กับบริษัทของเสือไง”
“เด็กคนนั้นเรียนจบแล้วเหรอครับ”
“ใช่จ้ะเธอเรียบจบบรรณารักษ์และได้มาทำงานในมหาวิทยาลัย”
“แล้วทำไมเขามาทำงานไกลจังเลยครับแม่”
“ก็มหาวิทยาลัยที่นี่มีห้องสมุดก็ค่อนข้างจะใหญ่น้องเขาก็เลยอยากได้ประสบการณ์น่ะ”
“ผมคงช่วยได้ไม่มากนะครับ ถ้าจะให้รับส่งทุกวันก็คงไม่ไหว”
“คงไม่อย่างนั้นหรอก เสือก็แค่คอยรับส่งช่วงแรกๆ จากนั้นก็ให้เจ้าเอยนั่งรถไปเองก็ได้”
“เขาขับรถไม่เป็นเหรอครับแม่”
“น้าพัชรีบอกว่าพอขับได้อยู่นะแต่น่าจะไม่ค่อยคุ้นเส้นทางเท่าไหร่ รอให้คุ้นเคยก่อนก็ค่อยว่ากันอีกทีว่าน้องจะเลิกนั่งรถไปเองหรือจะเลือกเอารถมาใช้ที่นี่”
“ผมหวังว่าเธอคงไม่สร้างปัญหาให้ผมนะครับ” ปีขาลจำได้ว่าเขาเคยเจอเด็กที่ชื่อเจ้าเอยนานมากแล้วเด็กคนนั้นเป็นคนที่ช่างพูดช่างคุยและช่างซักถามจนเขารู้สึกรำคาญ พยายามเดินหนีแต่ดูเหมือนยิ่งหนีเธอก็จะยิ่งตามเขาราวกับลูกเป็ดเดินตามแม่
“แค่นี้ใช่ไหมครับธุระที่แม่จะคุยกับผม”
“ใช่จ้ะ”
“แล้วลูกสาวของเพื่อนแม่เขาจะมาเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้เย็นแม่อยากให้เสือไปรับน้องที่สนามบินกับแม่”
“ผมนึกว่าน้าพัชรีจะมาส่ง”
“ช่วงนี้น้าพัชรีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่จ้ะ เสือก็ช่วยแม่ดูแลน้องหน่อยนะ แม่รับปากนะพัชรีไว้แล้วว่าจะช่วยดูแลลูกสาวเขาอย่างดี”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะแวะไปรับแม่ที่บ้านนะครับ ถ้าจะไปตอนไหนแม่โทรตามผมละกัน”
“ได้จ้ะ”
“แม่จะกลับเลยไหม”
“นี่แม่มายังไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ เสือจะไล่แม่กลับแล้วเหรอ มีนัดใช่ไหมล่ะ” เธอมองการแต่งตัวของลูกชายแล้วก็ถามอย่างรู้ทัน
“ผมมีนัดไปดื่มกับเพื่อนนิดหน่อยครับแม่ นานๆ จะว่างตรงกันก็เลยว่าจะเมาให้เต็มที่หน่อย”
“อยากไปไหนก็ไปแต่อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เย็นเรามีนัดกันนะเสือ”
“ครับแม่”
ความสัมพันธ์ระหว่างนายหัวหนุ่มและนักศึกษาสาว ที่ห่างกันทั้งอายุและระยะทางนายหัวหนุ่มจะทำให้เธอรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอหรือไม่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ในคืนที่โดนแฟนเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่เครื่องดื่ม เธอขอให้ชายคนหนึ่งช่วย พอเช้ามาถึงได้รู้ว่าเขาคือเพื่อนสมัยเรียนเขาขู่ให้เธอยอมเป็นคู่นอนของเขาโดยบอกว่ามีคลิปในคืนนั้นเธอยอมเพราะคำขู่แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีคลิปทุกอย่างระหว่างเขากับเธอก็จบแต่เขาไม่ยอมจบเพราะตอนนี้คิดกับเธอมากไปกว่าคู่นอนไปแล้ว
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวของเขาเสียชีวิต เธอจึงเป็นหมากตัวสำคัญในการแก้แค้นของเขา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเขาที่รู้สึกผิดและทำทุกอย่างให้หมากตัวนี้เป็นของตนเอง
ใครจะคิดว่าคนที่เธอเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวในคืนนั้นจะกลายมาเป็นคนรักในวันนี้ แต่เขาไม่ใช่แค่คนรักธรรมดาเพราะเขาคือเจ้าของบริษัทที่เธอเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่เธอต้องเก็บเป็นความลับก่อนจะผ่านช่วงทดลองงาน
เพราะชอบเธอเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเธอความจำเสื่อม โดยมีตนเองเป็นต้นเหตุ หมออย่างเขาก็ไม่รีรอที่จะรับเธอไปดูแลในฐานะคนรัก
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เพลิงกัลป์ / Ryuu ริว ซาโต้อิชิบะ หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่ในคราบคุณหมอ หล่อ เลว เถื่อน ร้ายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับ เธอ "กฎของการเป็นของเล่นคือห้ามรักเขา" ลูกพีช รินรดา สวย เซ็กซี่ สดใส ร่าเริง ปากร้าย กล้าได้กล้าเสีย สายอ่อยตัวแม่ "ของเล่นที่มีหัวใจของผู้ชายที่ไร้หัวใจ"