แต่ตอนนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากขอทานคนหนึ่ง หรือบางทีขอทานอาจมีสภาพดูดีกว่านางด้วยซ้ำ ผิวที่เคยเนียนนุ่มแห้งแตกด้วยไม่ได้รับการดูแลอย่างเก่า ริมฝีปากแห้งผากคล้ายเอาทรายมาทาเคลือบ สีหน้าเศร้าหมองเกินทนดูได้
ตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงบ้าเสียสติที่ได้แต่เดินเตร่ไปมาด้วยหัวใจล่องลอย และสวี่ซือเหยาหวังว่ามันจะหลุดลอยไปจริง ๆ ในสักวัน ดวงใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี หากแหลกลาญเป็นผุยผงเสียวันนี้เลยคงดีกว่า
ชีวิตคุณหนูสกุลสวี่เคยดีกว่านี้มาก นางเคยมีเสื้อสวย ๆ ใส่ มีปิ่นปักผมหลายอัน มีสาวใช้คอยติดตามดูแล
เรื่องนี้มันผิดพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ผิดพลาด แต่นางก็เต็มใจอยู่กับเขาในภายหลังมิใช่หรือ หรือว่านี่เป็นทัณฑ์สวรรค์ ที่ลงโทษนางเพราะบันดาลโทสะกับเขาในคราวแรก
หนักหนาไปหรือไม่กับสิ่งที่ข้าสูญเสีย
นางกลายเป็นหญิงบ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่เสียสามี หรือตอนที่เสียลูกไปกัน…
สวี่ซือเหยาไม่เข้าใจ ดวงตาหงส์เลื่อนลอยไม่เหลือประกายใด ๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงพันกันเป็นก้อนจากการที่ไม่ได้สางมานาน เสื้อที่ขาดแหว่งและมองไม่ออกว่าอดีตมันเคยเป็นสีอะไรมาก่อน สภาพของนางยามนี้น่าสมเพชจนสุนัขยังไม่กล้าเห่าไล่ แล้วเสียงเฮโลก็ดังขึ้น เมื่อคนที่อยู่นอกสุดมองเห็นธงที่ปักตราประจำแคว้นเคลื่อนขบวนมาแต่ไกล เขาตะโกนบอกต่อกันเป็นทอด ๆ ว่า จวิ้นอ๋องมาถึงแล้ว!
ผู้คนเบียดเสียดเดินมุ่งไปยังถนนสายหลัก หลังได้ยินเสียงแตรเป่าเป็นสัญญาณ ฝูงชนแน่นขนัดจนดันสวี่ซือเหยาให้เคลื่อนตัวไปตามคลื่นมนุษย์นั้น ขบวนเสด็จของจวิ้นอ๋องที่กลับมาจากชายแดนดูยิ่งใหญ่สมความดีความชอบที่ได้กระทำ ชัยชนะหลายต่อหลายครั้งได้มาเพราะเขาคนนี้จนจวิ้นอ๋องได้ฉายาว่าเทพสงคราม
ศัตรูที่ว่ามีการป้องกันแน่นหนาล้วนแตกพ่ายไปเพราะแผนการอันแยบยลของเขา
คนยังดันกันออกมาด้านหน้ามากขึ้น แต่สภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าขอทานนี้ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ พวกเขาต่างผลักไสนางให้ออกห่าง ทำสีหน้ารังเกียจอย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่มีใครสนใจหรือเอาเรื่องหากรังแกสตรีวิปลาสผู้นี้
"เกะกะจริง หลบไป"
"อย่ามาเบียดข้าสิ นางคนสกปรกนี่"
"ทำไมนางมาอยู่ที่นี่ได้ ไล่นางไปเลยนะ"
สารพัดเสียงขับไล่ไสส่งดังผสมโรงกันจนนางคร้านจะฟัง ได้ยินมาบ่อยเสียจนความขมขื่นนี้ชินชาไปเสียแล้ว สวี่ซือเหยาประคองร่างตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล เดินสวนทางกับผู้คนที่มุ่งหน้ามายังถนนสายหลักนี้
"จวิ้นอ๋องใกล้มาถึงหรือยัง ข้ายอมทิ้งร้านเพื่อมาดูเขาท่านเลยนะ"
"พึ่งผ่านประตู อีกเดี๋ยวคงถึงแล้ว"
"ชื่นชมบุรุษอื่นออกนอกหน้าปานนี้ สามีเจ้าไม่ทำไหน้ำส้มแตกหรือ"
"เขาน่าชื่นชอบยิ่งกว่าข้าเสียอีก เอาความมุ่งมั่นเป็นแบบอย่างเชียวล่ะ"
"คราวนี้สงบศึกหรือปราบปรามสำเร็จ มีใครได้ยินข่าวบ้าง"
"ไม่ใช่จะติดประกาศแจ้งพรุ่งนี้หรอกหรือ"
บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใครรู้ ดังมาจากทุกตรอกซอกซอย แต่สวี่ซือเหยาหาได้สนใจไม่ นางแค่อยากไปจากตรงนี้แต่ฝูงชนที่เบียดเสียดกันมาเหมือนไม่เข้าใจผลักไสนางแต่ก็ไม่เปิดทางให้ได้ไปไหน นางอยากออกไปจากที่แออัดแห่งนี้เต็มทน
ผู้ถือธงรบของแคว้นยิ่งใกล้มาถึงตรงนี้แล้ว สวี่ซือเหยาเห็นผืนธงโบกสะบัดอย่างชัดเจน ขบวนอาชาของทหารม้าเดินย่ำเปิดทาง กลองรบที่ได้พักหลังศึกสงบแล้วถูกตีด้วยความฮึกเหิม เพื่อประกาศชัยชนะให้เป็นประจักแก่ชาวบ้านที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ชายผู้หนึ่งถูกนางยืนขวางทางก็ผลักอกออกอย่างแรงจนหญิงสาวหน้าคะมำอย่างไม่ทันตั้งตัว
พอดีกับที่ม้าของจวิ้นอ๋องวิ่งมาถึง มันตกใจร้องลั่น ยกขาหน้าขึ้นด้วยอาการตื่นตระหนก กระทั่งเหยียบศีรษะนางไปโดยไม่ตั้งใจ
ทุกอย่างเงียบลงฉับพลัน ก่อนดังเซ็งแซ่ขึ้นมาราวกับเสียงฝูงนกกระพือปีก เสียงกรีดร้องอย่างสยดสยองดังหวีดขึ้นจนเป็นคลื่นส่งไปถึงคนรอบ ๆ
"มีคนตาย!"
"ตายแน่หรือเปล่า!?"
"นั่นหญิงบ้าคนนั้นใช่ไหม!"
"คุณพระช่วย!"
ผู้ที่ตกอกตกใจและแสดงความเห็นใจออกมา ส่วนใหญ่เป็นผู้ชราที่ผ่านโลกมามาก ชายคนนั้นที่ผลักขอทานสปรกถูกประณามทางสายตาในทันทีจนต้องรีบเดินหนีหลบไป แต่การทำให้ขบวนเสด็จหยุดชะงักเป็นคนละเรื่องกัน
หากสวี่ซือเหยาเป็นผู้ไม่หวังดีที่ตั้งใจก่อกวนขึ้นมา คงถูกบั่นคอในทันที แต่เห็นสภาพของหญิงสาววิปลาสผู้นี้แล้วพวกเขาก็ปัดตกความคิดที่ว่านั่นไป
สวี่ซือเหยาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตนเองมาอยู่ตรงนี้ รู้เพียงว่าสติเริ่มเลือนรางลงเต็มที ทั้งมึนหัวและวิงเวียนจนแรงจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นยังไม่มี
เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่พักหนึ่ง ก็มีพลทหารมาลากร่างนั้นออกไปไม่ให้เป็นที่ระคายสายตา สวี่ซือเหยาถูกดึงขึ้นจากพื้นอย่างไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย
ร่างกายที่ทรุดโทรมจากอาการป่วยสะสมทำให้นางกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เปรอะเปื้อนจนย้อมชุดมอมแมมให้กลายเป็นสีชาด หญิงวิปลาสที่พวกชาวบ้านพากันเรียกหมดลมหายใจไปในทันที
กลายเป็นเพียงร่างติดกระดูกที่ถูกหิ้วไปมาอย่างน่าเวทนาเกินจะทนดู
"อะไรเนี่ย น่าขยะแขยงจริง" พลทหารนายหนึ่งเอ่ยออกมาทั้งแสดงสีหน้ารังเกียจชัดเจน
"ลากไปทิ้งไว้สักที่ค่อยมาจัดการแล้วกัน ขบวนต้องเดินต่อ"
จวิ้นอ๋องที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก รู้สึกเวทนาสตรีบ้าผู้นั้นยิ่งนักจึงห้ามปรามไว้
"อย่าทำตัวไร้ศีลธรรมให้มาก พวกเราไม่ได้อยู่ในสนามรบ และนั่นก็เป็นพลเมืองคนหนึ่งของฝ่าบาท จัดพิธีส่งวิญญาณให้นาง" เขาตำหนิพอประมาณ แม้จะดูเหมือนเป็นเช่นนั้นแต่จวิ้นอ๋องก็เด็ดขาดในการสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชา
พลทหารผู้นั้นรีบคุกเข่ากล่าวขออภัยในทันที ก่อนจะพาร่างที่พึ่งหมดลมหายใจไปนั้นออกไปจากถนน
ร่างของสวี่ซือเหยาถูกนำไปพักไว้ในโลงไม้ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างลวก ๆ เป็นการชั่วคราว
หลังหมดลมหายใจไป สวี่ซือเหยาก็ลืมตาขึ้นใหม่ในร่างโปร่งแสงที่ลอยอยู่เหนือพื้น นางรับรู้ว่ามีผู้ใจบุญทำพิธีส่งวิญญาณให้ แม้จะไม่ใช่งานเป็นทางการอะไรแต่แค่ไม่โยนร่างไร้วิญญาณของนางลงเหวไปให้แร้งจิกทึ้งก็ถือว่าเมตตามากแล้ว สวี่ซือเหยามองร่างตัวเองที่กำลังมอดไหม้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะนอกจากตัวนางในตอนนี้ก็คงไม่มีเครือญาติที่ไหนมายืนส่งอีกแล้ว ที่พวกเขาเผานางนั้นพอจะเข้าใจ การจะมีสุสานตัวเองนั้นต้องมีญาติพี่น้องหรือตระกูล แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงสตรีวิปลาสคนหนึ่งเท่านั้น ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ระหว่างที่เปลวไฟกำลังลุกไหม้โชติช่วงอยู่นั่น อยู่ ๆ ร่างวิญญาณของนางก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมากระชากไป สวี่ซือเหยากรีดร้องลั่นด้วยความตก สิ่งนั้นลากนางไปจนมองไม่เห็นทิวทัศน์รอบข้างได้ชัดเจน คล้ายว่าอยู่ในวังน้ำวนสีดำอย่างไรอย่างนั้น
ยังไม่ทันได้คลายสงสัย สวี่ซือเหยาก็รู้สึกวิงเวียนจนแทบอาเจียนออกมาแม้ในท้องจะไม่มีอะไรให้สำรอกออกตั้งแต่ก่อนตายแล้วก็ตาม ร่างโปร่งแสงของนางที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง เสมือนตกจากหน้าผาสูง ดิ่งลงไปเบื้องล่างที่ไม่รู้ว่าปลายทางคือที่ไหน
ก่อนเสี้ยวสติสุดท้ายจะหายไปอีกครั้ง สวี่ซือเหยาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่โอบประคองร่างโปร่งแสงของนางเอาไว้จนการกระทั่งการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งหมดถูกตัดขาดโดยแท้จริง...