‘เหนื่อยไหมที่ต้องประกอบตัวเองขึ้นมาใหม่เพื่อแตกสลายซ้ำๆ’
ข้อความบนแอปพลิเคชันอินสตราแกรมทำให้นิ้วเรียวที่กำลังปัดหน้าจอโทรศัพท์มือถือหยุดลง กุลนิภาอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง เธอเพ่งมองจนตัวหนังสือพร่าเลือน เพราะน้ำตากำลังเอ่อท้นออกมาคลอหน่วยตา
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น หลังจากเสียงน้ำจากฝักบัวเงียบไปหลายนาที หญิงสาวรีบเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น เธออาศัยจังหวะนั้นยกมือขึ้นมากรีดน้ำใสออกจากหางตา
“เป็นอะไร?”
เจ้าของคำถามทำเพียงแค่ปรายตามองเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า ชั่วอึดใจเดียวเขาก็เดินออกมาพร้อมกับกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตที่ถือไว้ในมือ แล้วสวมมันต่อหน้าเธอ
“คุณกันต์จะออกไปข้างนอกหรือคะ”
“ใช่”
เมื่อตอบไปแล้ว เขาก็นิ่งเงียบ เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเหมือนกำลังคิดบางอย่าง ก่อนเขาจะพูดต่อ
“ไม่ต้องรอนะ คืนนี้ผมจะกลับไปนอนที่บ้าน”
บ้านที่ชนกันต์พูดถึงก็คือบ้านราชเวคิน บ้านหลังใหญ่ปานคฤหาสน์ที่ครอบคลุมพื้นที่นับสิบไร่ เขาอยู่ที่บ้านหลังนั้นร่วมกับพี่น้องอีกสามคน กุลนิภารู้ว่าภายในอาณาเขตบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคนในตระกูลราชเวคิน พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน...เธอแค่เพียงรับรู้ แต่ไม่เคยเห็น เพราะเธอไม่เคยได้สิทธิ์เหยียบย่างเข้าไป
กุลนิภาไม่ว่าอะไรหรอก เธอไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากชนกันต์ เธอสมัครใจที่อยู่ในส่วนของเธอ...แต่คำพูดของเขาเมื่อสักครู่ มันสะกิดหัวใจของเธอจนรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะเธอสัมผัสถึงความนัยในคำพูดนั้นได้
“คุณจะออกไปหาคุณไอซ์ใช่ไหมคะ”
ยกมือขึ้นมาปิดปากไม่ทัน เธอหลุดปากถามไปแล้ว รู้ดีว่าคำถามนี้มันจะทำให้ชนกันต์ไม่พอใจ ซึ่งสีหน้าของเขาก็บอกอย่างชัดเจนว่าเธอคิดไม่ผิด
“ฉัน ขะ...”
คำพูดหยุดลงเมื่อนิ้วแข็งแรงจับปลายคางมน ชนกันต์ไม่ได้ทำให้เธอเจ็บ เพราะเขาเพียงแค่ไล้เบาๆ แต่สายตาของเขาที่จ้องมองมาทำให้เธอต้องกลืนคำขอโทษลงไปในลำคอเสีย
“อย่าลืมตัวบ่อยสิว่าคุณอยู่กับผมในฐานะอะไร”
“ฉันรู้ ฉันไม่ลืม”
เธออยู่กับชนกันต์เพื่อชดใช้เงินแปดแสนสี่หมื่นบาทที่เธอทำหายไปจากบัญชีของเขา เธอตามเงินก้อนนั้นคืนมาให้เขาไม่ได้ แถมเธอยังไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้ เพราะเธอไม่มีเงินเก็บ อีกทั้งเธอไม่มีทรัพย์สินที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้สักชิ้น...เธอมีแต่ตัวจริงๆ
ความรู้สึกไร้ค่ากำลังโจมตีเข้ามา หัวใจของกุลนิภาเหน็บหนาวจนต้องยกสองมือขึ้นมาลูบแขนเพื่อปลุกปลอบตัวเอง
“เมื่อกี้คุณพูดถึงคุณไอซ์ เพราะคุณหึงผม”
“ไม่ใช่”
“โกหก!”
เกลียดเหลือเกิน เกลียดเสียงหัวเราะในลำคอเหมือนเขากำลังสนุก เสียงหัวเราะที่บอกให้รู้ว่าเขารู้ทันและมั่นใจว่าเธอเป็นอย่างที่เขาพูด
“ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ แต่คุณต้องจัดการตัวเองให้เป็น...หยุดนึกถึงคุณไอซ์ คุณจะได้ไม่เผลอพูดถึงเธออีก เพราะคุณไอซ์ไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณควรพูดถึง คุณไอซ์กับคุณอยู่คนละระดับกัน ผมรู้ว่าผมพูดแรงไป แต่มันเป็นความจริงที่สุดแล้ว”
เสียงห้าวทุ้มดังเรียบเรื่อย เหมือนเขากำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ใบหน้าของกุลนิภาชาหนึบและร้อนผ่าวในคราวเดียวกัน ซึ่งเธอก็บ้าพอที่จะยืนมองเขาแต่งตัวจนเสร็จเพื่อออกไปหาผู้หญิงคนนั้น
เสียงประตูห้องชุดถูกเปิดออกและปิดลง ชนกันต์เดินออกไปแล้ว หากกุลนิภายังยืนอยู่ที่เดิม เธอยืนอยู่อย่างนั้นนานหลายนาทีพร้อมกับถ้อยคำที่เคยทิ่มแทงหัวใจดังซ้ำอยู่ในหัว
‘ห้ามรักผม ถ้าไม่อยากเจ็บ ผมเตือนด้วยความหวังดี ผมเกลียดน้ำตาและความอ่อนแอของผู้หญิง จำไว้ว่าเรากำลังเล่นตามกติกา เมื่อคุณเอาเงินของผมไปและไม่มีปัญญาหามาใช้คืน คุณจึงมีสองทางเลือก...คือติดคุกหรือชดใช้ทางอื่นให้ผมจนคุ้ม ซึ่งคุณตัดสินใจเลือกทางของคุณแล้ว...ผมไม่เคยบังคับ’
หัวใจบีบรัดอย่างรุนแรงจนต้องยกกำปั้นมาทาบบริเวณหน้าอกด้านซ้ายเอาไว้ เพราะเธอกลัวว่ามันจะแตกสลายลง