ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / ผจญภัย / จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ
จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ

จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ

5.0
64 บท
8.7K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

สตรีอย่างจ้าวเยว่ก็เสมือนคมในฝัก ภายนอกแม้จะดูเกียจคร้านจนผู้คนเบือนหน้าหนี ทว่าความสามารถที่มีนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เมื่อต้องปกป้องชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจึงไม่อาจปิดบังความสามารถได้อีกต่อไป

บทที่ 1 จ้าวเยว่

บทที่ 1

จ้าวเยว่

หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่ง¬อำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียว

ฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมือง

ส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุด

อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุน¬นางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสาม

จ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่

บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าว¬หลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว

ส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโดยแท้จริง เนื่องจากนางเป็นบุคคลที่เกียจคร้านที่สุดในเมือง ไม่สิ ต้องกล่าวว่าทั่วแคว้นเลยก็ว่าได้ จ้าว¬ฮูหยินมักจะชอบกล่าวหาว่า ‘นางเป็นสตรีเกียจคร้าน’ ไม่มีผู้ใดอยากสู่ขอไปเป็นภรรยาอยู่เสมอ

ทว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจไม่ ต่อให้ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยาก็ช่างปะไร ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ก็พอใจแล้ว

ส่วนพี่ชายทั้งสองก็เอาใจนางยิ่งนัก แต่ใครให้นางเกิดเป็นน้องสาวคนสุดท้องกันล่ะ ในเมื่อเป็นน้องคนสุดท้องอีกทั้งยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว พี่ชายทั้งสองย่อมต้องรักและทะนุถนอมมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ยามนี้บริเวณบ่อเลี้ยงปลาในสวนของจวน มีปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปมา พวกมันทำตัวราวกันว่าชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีหน้าที่เพียงแค่ว่ายไปมาอย่างมีความสุข พร้อมกับกิน¬อาหารที่ผู้คนนำมาให้เท่านั้น จ้าวเยว่นั่งมองดูปลาพวกนี้ว่ายไป¬มาอย่างใจลอย มือหนึ่งถือกิ่งไม้ไว้ใช้ตีน้ำเล่น ก่อนจะเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท ที่อยู่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์

“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้ากับปลาพวกนี้ใครสบายกว่ากัน” แม้จะกล่าวกับผิงผิง แต่สายตาของนางยังคงมองปลาพวกนั้นไม่วางตา

สาวใช้นามว่าผิงผิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นนายของตนได้ยินถนัด

“ก็ต้องเป็นคุณหนูอยู่แล้วเจ้าค่ะ จะมีผู้ใดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิเจ้าคะต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันจะสบายเท่าคุณหนูไม่มีอีกแล้ว”

จ้าวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ข้าคิดว่า เจ้าปลาพวกนี้สบายกว่าข้าตั้งเยอะ ตัวข้าเป็นสตรียังต้องอาบน้ำแต่งตัว ยามจะกินข้าวก็ต้องเดินไปกิน ยามจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินไปนอน แต่เจ้าดูสิเจ้าปลาพวกนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาโยนอาหารให้กินถึงปาก ข้าว่าอย่างไรเจ้าปลาพวกนี้ย่อมต้องสบายกว่าข้า”

“แล้วคุณหนูจะอิจฉาเจ้าปลาพวกนี้ไปด้วยเหตุใดกันล่ะเจ้าคะ ถึงอย่างไรพวกมันก็มิได้มีชีวิตที่ดีแบบคุณหนูนี่เจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูถึงได้อิจฉาเจ้าปลาพวกนี้กันนะ

“ก็จริงของเจ้า” จ้าวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเมียงมองไปยังบ่อปลาอย่างเหม่อลอย

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาหา พอมาถึงจุดหมายก็หยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาให้ฟัง “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”

จ้าวเยว่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะทุกครั้งที่ถูกมารดาเรียกไปพบ เรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ

ไม่ว่าจะเป็นให้นางไปเรียนเขียนอักษร เรียนปักผ้า ไปถือศีลที่ศาลเจ้าแม่หวังหมู่ ไปฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่ไปงานเลี้ยงใด ๆ นางล้วนไม่อยากทำทั้งนั้น และครั้งนี้ที่นางเชื่อว่ามารดาเรียกพบก็คงจะไม่พ้นเรื่องพวกนี้อีกตามเคย จึงได้คิดเตรียมคำกล่าวที่จะปฏิเสธขึ้นมา

“ให้ข้าไปพบที่ใดหรือ” จ้าวเยว่ถามกลับ ในใจนั้นพยายามหาข้ออ้างเพื่อที่จะปฏิเสธเรื่องที่มารดาเรียกหา

“ห้องโถงเจ้าค่ะ” สาวใช้นางนี้ก้มหน้าตอบ เพราะไม่ค่อยกล้าสู้หน้าคุณหนูสักเท่าไร เนื่องจากรู้ดีถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินเรียกคุณหนูไปพบ

“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อรู้ว่ามารดาเรียกตนเองไปที่ใด จ้าวเยว่จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาท่าทางเกียจคร้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ เมื่อได้รับคำตอบสาวใช้นางนี้จึงได้เดินกลับไปยังห้องโถงตามเดิม

ที่จริงแล้วระยะทางจากสวนแห่งนี้ไปยังห้องโถงนั้นไม่ได้ไกลเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เพียงแต่จ้าวเยว่ยังไม่อยากเดินไปถึงห้องโถงเร็วนัก จึงได้ถ่วงเวลาไว้ด้วยการชะลอฝีเท้าให้ช้าลง

“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้าควรปฏิเสธท่านแม่ว่าอย่างไรดี” จ้าวเยว่เอ่ยถามกับคน¬ข้างกายด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อพบว่าพวกตนเดินมาใกล้จะถึงห้องโถงแล้ว

ซึ่งตัวผิงผิงเองก็กระซิบกระซาบตอบกลับไปผู้เป็นนายเช่นกัน

“จะให้ตอบอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ก็คุณหนูเองไม่มีอะไรทำเป็น¬ชิ้นเป็นอัน ที่พอจะเป็นข้ออ้างให้ปฏิเสธได้เลย”

“หรือข้าจะบอกท่านแม่ไปว่าข้าจะท่องตำราดี เจ้าคิดว่าเหตุผลนี้ดีหรือไม่” คุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของจวนพยายามคิดหาทางรอดอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสิ่งใดจากนาง

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจะตอบว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ถ้าเกิดฮูหยินถามคุณหนูว่าท่านท่องตำราไปเพื่อสิ่งใดกัน” ผิงผิงเอ่ยถามกลับพร้อมกับส่ายหน้าคอแทบหลุด เพราะถ้าคุณหนูของนางบอกไปแบบนี้ฮูหยินคงไม่มีทางที่จะเชื่อแน่นอน

จ้าวเยว่ทำสายตาละห้อยส่งให้กับผิงผิง พลางพึมพำออกมาอย่างอับจนหนทาง

“นั่นน่ะสิ จะตอบว่าข้าเตรียมสอบบัณฑิตก็คงไม่ได้ แล้วข้าจะตอบท่านแม่ว่าอย่างไรดีเล่า เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ผิงผิง”

ผิงผิงสูดลมหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่นางจะคว้ามือทั้งสองข้างของผู้เป็นนายมากุมไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เอาอย่างนี้สิเจ้าคะ ถ้าฮูหยินให้คุณหนูทำสิ่งใด คุณหนูก็ทำไป¬เถอะเจ้าค่ะ อย่าได้ปฏิเสธเลย เชื่อผิงผิงนะเจ้าคะ”

“ผิงผิง นี่เจ้า... นอกจากจะไม่ช่วยข้าคิดแล้ว ยังจะอยู่ฝ่ายท่านแม่อีกหรือ”

จ้าวเยว่เอ่ยอย่างตัดพ้อ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความอึดอัด ราวกับว่าจะมีการลงโทษผู้ใดอย่างไรอย่างนั้น จ้าวเยว่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากจะมีการลงโทษกันเกิดขึ้นจริง ผู้ที่ถูกลงโทษก็น่าจะเป็นตนเอง

อีกทั้งเวลานี้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทไม่ได้ตามเข้ามาด้วย นี่จึงทำให้นางหมดความมั่นใจไปอีก¬หลายส่วน

อีกด้านหนึ่งของห้องโถง จ้าวฮูหยินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางของเจ้าจวน นางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต ท่วงท่าการนั่งที่สง่างามนั้น ทำให้นางดูราวกับนางพญาผีเสื้อตัวใหญ่ที่โดดเด่น

จ้าวเยว่ยืนมองมารดาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีคำถาม จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน “ท่านแม่เรียกข้ามา มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“นั่งลงก่อนเถอะ เยว์เอ๋อร์” ผู้เป็นมารดาสั่งความแต่เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามบุตรสาว

เมื่อได้รับคำอนุญาต จ้าวเยว่จึงเดินไปนั่งเก้าอี้ทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของนาง ทว่าสายตายังคงมองไปยังมารดาอย่างไม่วางใจ

เมื่อเห็นบุตรสาวนั่งลงแล้ว จ้าวฮูหยินก็เริ่มต้นการสนทนา

“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่บ้าง”

แม้นี่เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ใดก็สามารถตอบได้ แต่คนคนนั้นไม่ใช่จ้าว¬เยว่ เนื่องจากนางคือบุคคลที่ไม่มีอะไรทำอย่างแท้จริง ดังนั้นการถูกถามว่าทำอะไรอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ไม่สามารถหา¬คำตอบที่น่าฟังมาตอบได้

จ้าวเยว่ทำตาละห้อยเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของนางในยามนี้ดูเจื่อนลงไปหลายส่วน ก่อนจะตอบมารดาของตน

“ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าค่ะ จะมีก็แต่...ให้อาหารปลา”

“สิ่งนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องทำ ข้าคิดว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอต้องทำ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”

จ้าวฮูหยินสวนทันควัน พลางจ้องมองบุตรสาวด้วยความเอือมระอา จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยเสียงอันเข้มงวด

“เย็นวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหว งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก ครอบครัวของเราจะต้องไปทุกคน เจ้าเองก็ต้องไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”

“ข้าไม่ไปไม่ได้หรือท่านแม่”

จ้าวเยว่ถามขึ้นมา เนื่องจากนางไม่ชอบงานเลี้ยงพวกนี้ ไม่ใช่เพราะนางเกียจคร้าน แต่เพราะนางไม่ชอบปั้นหน้าให้กับผู้ใดต่างหาก ดังนั้นหากให้เลือก นางขออยู่ในจวนอย่างเกียจคร้านดีกว่า

จ้าวฮูหยินหันมาทำสีหน้าจริงจังกับบุตรสาว แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นราวกับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน และทุกครั้งที่จ้าวเยว่เห็นเข้า นางก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครา

“ไม่ได้! งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก อีกทั้งท่านโหวเองก็เป็นผู้¬มีพระคุณกับสกุลจ้าวของเรา ถ้าเจ้าไม่ไปก็ถือว่าไม่ให้เกียรติท่านโหว”

“แต่ข้าก็มิได้รู้จักกับท่านโหวเป็นการส่วนตัวนี่เจ้าคะ ท่าน-พ่อ ท่านแม่ กับท่านพี่ทั้งสองไปก็พอแล้วนี่เจ้าคะ” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า พลางลอบสังเกตสีหน้าของมารดาไปด้วย

จ้าวฮูหยินฟังข้ออ้างของบุตรสาวแล้วก็ยิ่งบังเกิดโทสะ จึงใช้มือทุบโต๊ะคราหนึ่ง พร้อมกับลุกพรวดขึ้นยืน

“อย่างไรเจ้าก็ต้องไป คราวนี้ท่านโหวอยากให้บุตรชายของท่านได้พบกับเจ้า”

จ้าวเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอีกทันทีเช่นกันก่อนจะกล่าวเสียงแข็งตอบกลับมารดา

“ถ้าอย่างนั้นข้ายิ่งไม่ไปเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากพบกับบุตรชายท่าน¬โหวอะไรนั่น เขาสำคัญแค่ไหนกันเชียว”

กล่าวจบหญิงสาวก็เดินปัดก้นออกจากห้องโถงไป ปล่อยให้ผู้¬เป็นมารดายืนคับแค้นใจอยู่ฝ่ายเดียว จ้าวฮูหยินเองก็ไม่รู้จะทำ-อย่างไรกับบุตรสาวคนนี้ดี จึงได้แต่ปล่อยนางไป หวังว่าสักวันเมื่อ-นางเติบโตขึ้น จะเข้าใจสิ่งที่บิดามารดาสั่งสอนบ้าง

จ้าวเยว่เดินกลับห้องของตัวเองไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง นาง-ไม่ชอบไปงานเลี้ยง เพราะนางไม่อยากที่จะต้องปั้นหน้าปั้นตากล่าว¬ทักทายคนนั้นคนนี้ ปกติแล้วนางเองก็ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด มีบุตรสาวขุนนางหลายคนพยายามจะมาเป็นสหายกับนาง ชวนนางไปนั่นไปนี่ ทว่านั่นกลับขัดกับความต้องการของนางอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวพวกนี้มักจะออกไปเดินตลาด เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือไม่ก็พวกเครื่องประทินโฉมเพื่อเสริมส่งความงามให้โดดเด่น

แต่ว่าหญิงสาวไม่เคยหาสนใจสิ่งของพวกนั้น เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจก็คือการฝึกวรยุทธ์ต่างหาก

จ้าวเยว่มักจะไปฝึกกับพี่ชายที่สนามฝึกอยู่เสมอ ด้วยนางถือ¬ว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวที่ได้เข้าไปใช้สนามฝึกของกองทัพ ตั้งแต่เล็กจนโต นางจึงฝึกมาหมดทั้งเพลงดาบ กระบี่ ทวน ธนู เพลงหมัด ขี่ม้า นางยังเคยขี่ม้าชนะทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาแล้ว จนทหารนั้นต้องแพ้พนัน ด้วยการกินกระเทียมเป็นเข่ง¬¬ ๆ

หากถามว่านางมีใครเป็นสหายบ้าง หากจะให้ตอบคงจะพวกทหาร แล้วก็พวกหน่วยพยัคฆ์ดำของพี่ชายนั่นแหละ ส่วนสตรีในห้องหอหรือสตรีวัยเดียวกันนางนั้น แทบไม่มีเลย

ทันทีที่กลับถึงห้อง หญิงสาวก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที นาง-กางแขนกางขาสองข้างออกทำท่าทางราวกับว่าเป็นบุรุษที่ตรากตรำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วต้องการพักผ่อน

“คุณหนูจะทำอะไรดีเจ้าคะ” ผิงผิงถามในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถอดรองเท้าให้ผู้เป็นนาย

จ้าวเยว่ส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่หลังจากนิ่ง¬คิดไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย

“อืม...ทำอะไรดีนะ แช่น้ำดีหรือไม่”

“ถ้าอย่างนั้นผิงผิงจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล

แต่ก่อนที่ผิงผิงจะเดินไปที่ถังอาบน้ำ ก็หันกลับมากล่าวกับจ้าวเยว่อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า

“คุณหนูจะไม่ไปงานเลี้ยงที่จวนท่านโหวจริงหรือเจ้าคะ ผิง¬ผิงว่าคุณหนูควรจะไปเสียหน่อย”

จ้าวเยว่ถึงกับต้องดีดตัวขึ้นจากเตียง

“ผิงผิง เจ้านี่อย่างไรกันนะ เจ้าเป็นคนของข้า หรือว่าเป็นคนของท่านแม่กันแน่ หรือว่าเจ้าถูกท่านแม่จ้างมา”

“ผิงผิงหวังดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับเสียงซื่อ

“ถ้าเจ้าหวังดีกับข้า เจ้าก็ต้องอยู่ข้างข้าสิ”

จ้าวเยว่กล่าวจบก็เดินไปที่ถังอาบน้ำ นางปลดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงาม แต่นางกลับชอบแช่น้ำอุ่นมาก ปกติแล้วจะแช่ถึงวันละสองครั้ง เพราะการแช่น้ำอุ่น ๆ นั้น ทำให้ร่างกายได้ผ่อน¬คลาย

อีกทั้งกลิ่นของพวกดอกไม้กับเครื่องหอมต่าง ๆ ที่ผิงผิงหา-มาใส่ในอ่างอาบน้ำให้นั้น ทำให้หญิงสาวมีความสุขอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่แช่น้ำ ผิงผิงก็จะเป็นคนนำผ้ามาขัดถูตามเนื้อตัวให้อยู่เสมอ

หลังจากชำระร่างกายและขึ้นจากน้ำแล้ว จ้าวเยว่มักจะชอบให้ผิงผิงทาน้ำมันแล้วนวดให้เสมอ การบีบนวดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายกายยิ่งนัก

แล้วสิ่งนี้ก็คือสวรรค์สำหรับนางอย่างแท้จริง!!

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ออกใหม่ล่าสุด: บทที่ 64 บทส่งท้าย เพราะรัก   02-05 09:24
img
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY