เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ค่ำคืนหนึ่งในห้องเล็ก ๆ ที่อับทึบ มีผู้หญิงร่างบางคนหนึ่งนามว่า เจียซิน ซึ่งเธอกำลังนั่งพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและจิตใจที่บอบช้ำ ภายในห้องไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามา เธอกอดตัวเองแน่น น้ำตาไหลลงอาบแก้มมาอย่างไม่ขาดสาย
เจียซินที่พึ่งนั่งทรุดตัวลงกับพื้นห้องที่เย็นเยียบ มือที่สั่นเทายกขึ้นแตะรอยแดงช้ำบนใบหน้าที่สามีของเธอฝากไว้ ความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายยังคงแผ่ซ่าน แต่ไม่อาจเทียบได้กับความรู้สึกที่แตกสลายภายในใจ เงินทองที่เธอหามาอย่างยากลำบากถูกสามีกวาดไปจนหมด ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าไว้กับเธอเท่านั้น
เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด เธอกอดตัวเองแน่นราวกับพยายามยึดเหนี่ยวเศษเสี้ยวของความหวังที่หลุดลอยไปให้กลับมา ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความคิดที่ไม่ดีเกี่ยวกับสามีวนเวียนอยู่ในหัว
‘ทำไมฉันถึงเลือกเขา’
เจียซินตำหนิตัวเองซ้ำ ๆ ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปยังเงาสะท้อนในกระจก เธอแทบไม่รู้จักตัวเองอีกต่อไป ความฝันในอดีตที่เคยสดใสกลับกลายเป็นฝันร้าย ทุกคำพูดหวานที่สามีเคยพร่ำบอก กลายเป็นคำลวงที่กัดกินจิตใจ
เจียซินเหนื่อยเกินกว่าจะร้องไห้ต่อ แต่หัวใจของเธอกลับแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี เธอได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาในความมืดมิดว่าเธอจะไปจากนรกขุมนี้ได้อย่างไร หรือเธอจะต้องจมอยู่กับมันตลอดไปจริงหรือ
“ฉันผิดเอง...ที่เชื่อใจเขา”
เสียงพึมพำของเจียซินสั่นเครือ เต็มไปด้วยความเสียใจที่ไม่อาจลบเลือนได้ เธอนึกถึงวันที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับสามีคนนี้ หวังว่าการเริ่มต้นชีวิตคู่จะนำมาซึ่งความมั่นคง แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน
สามีของเธอใช้ชีวิตอย่างไร้ความรับผิดชอบ เงินทองที่เธอเก็บหอมรอมริบจากการทำงานหนักถูกเขานำไปใช้จนหมด เจียซินพยายามอดทน หวังว่าสักวันเขาจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเฉยชาและการละเลย
เจียซินก้มหน้ามองมือที่สั่นเทา ความเจ็บปวดและความเสียใจท่วมท้น เธอหวนคิดถึงชีวิตในวัยเด็กที่เรียบง่าย แม้จะลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากครอบครัว
ในความมืดมิดของค่ำคืนนั้น เจียซินที่กำลังกอดตัวเองและพยายามปลอบใจตัวเอง หันไปมองทีวีเก่าที่ตั้งอยู่มุมห้อง หน้าจอสั่นไหวพร้อมเสียงเบา ๆ จากรายการข่าวธุรกิจที่เธอไม่ได้ตั้งใจดู แต่ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอกลับทำให้เธอหยุดนิ่ง
ชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรูยืนอยู่กลางเวทีงานสัมมนา ดวงตาของเขามีประกายแห่งความมุ่งมั่น และรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรแต่สง่างาม ซึ่งคนคนนั้นคือ ซูเหอ ชายที่เคยเป็นแฟนของเจียซินในสมัยเรียน
เจียซินเบิกตากว้าง ความทรงจำเก่า ๆ พลันหวนกลับมา ซูเหอคือคนที่เธอเคยรักอย่างจริงใจในช่วงเวลาที่เรียบง่ายที่สุดของชีวิต เขาเคยเป็นคนที่มีความฝันและความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ในตอนนั้นทั้งสองแยกจากกันเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอไม่อยากคิดถึง
ในรายการข่าว ซูเหอถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจส่งออกอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเล่าเรื่องราวการต่อสู้และความพยายามของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์จนสามารถขยายธุรกิจไปยังหลายประเทศ
เจียซินนั่งมองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอรู้สึกภูมิใจในตัวของซูเหอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ากับชีวิตของตัวเองที่กำลังติดอยู่ในวงจรของความล้มเหลวและความทุกข์ เธอคิดถึงคำพูดของซูเหอในอดีต
“ความสำเร็จไม่ได้มาหาเราเอง เราต้องลุกขึ้นและพยายามอย่างถึงที่สุด”
คำพูดนั้นดังก้องในหัวของเจียซิน เธอสูดลมหายใจลึก ความรู้สึกที่เคยหมดหวังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่เธอไม่ได้สัมผัสมานาน นั่นคือความหวัง
เธอไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่การเห็นซูเหอในวันนี้ทำให้เธอรู้ว่าเธอยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง
‘ถ้าซูเหอทำได้ ฉันก็ต้องทำได้’
เจียซินคิดในใจ แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างดูเหมือนจะสว่างขึ้นอีกครั้ง เธอรู้ว่านี่คือเวลาที่เธอต้องเริ่มต้นใหม่ แม้ว่ามันจะยากเพียงใดก็ตาม
เจียซินหลับตาแน่น น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง เธอปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ความเสียใจและความเจ็บปวดในใจทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
‘ถ้าฉันเชื่อในตัวเขาสักนิด ถ้าฉันไม่ปล่อยเขาไป’
เจียซินคิด แต่เธอรู้ดีว่าไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ เจียซินปาดน้ำตาอีกครั้ง พยายามรวบรวมสติ เธอไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเสียใจนี้ไปได้ตลอด เธอรู้ว่าการเอาแต่มองย้อนกลับไปในอดีตจะไม่ช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้
เช้าตรู่ในวันถัดมา เจียซินแต่งตัวอย่างเรียบง่ายด้วยชุดเสื้อผ้าซ้ำ ๆ ที่เริ่มเก่า รวบรวมความกล้าเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังร้านติ่มซำที่เธอทำงานเป็นลูกจ้าง แม้ว่าร่างกายจะยังเจ็บปวดจากความบอบช้ำเมื่อวาน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก เธอต้องทำงานเพื่อประคองชีวิตต่อไป
ร้านติ่มซำที่เจียซินทำงานนั้นอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่มีกลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากประตูไม้ที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ป้ายร้านเขียนด้วยตัวอักษรจีนสีทองเด่นชัดบนพื้นหลังสีแดง บ่งบอกถึงความเป็นมาของร้านที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น
เมื่อเจียซินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม มองเจียซินด้วยสายตาไม่พอใจทันทีที่เห็นใบหน้าของเธอซึ่งยังมีรอยฟกช้ำเด่นชัด
“นี่เจียซิน เธอปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ได้ยังไง เธอไปทำอะไรมา!”
เจ้าของร้านพูดเสียงดัง จนพนักงานคนอื่น ๆ หันมามอง เจียซินก้มหน้าลงด้วยความอาย ไม่กล้าสบตาใคร
“ถ้าให้เธอออกไปเสิร์ฟ ลูกค้าคงตกใจกันหมด ไปอยู่หลังร้านเลย จัดการของในครัวให้เรียบร้อย อย่าให้ใครเห็นหน้าเธอแบบนี้อีก!”
“ดะ ได้ค่ะเถ้าแก่”
คำพูดนั้นของเถ้าแก่ เหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงในหัวใจที่เปราะบางของเจียซิน เธอพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเงียบ ๆ รีบเดินไปที่หลังร้านด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้
ที่หลังร้านเจียซินจัดการนึ่งติ่มซำและเตรียมจานอาหารด้วยความตั้งใจ แม้จะถูกลดบทบาท เธอก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มือของเธอสั่นเล็กน้อยในขณะที่จับเข่งติ่มซำออกจากซึ้งไอน้ำ เธอรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมา แต่ก็ต้องอดทน
‘ฉันต้องทนแบบนี้อีกนานแค่ไหน’
ในใจของเจียซินมีแต่คำถาม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าการหยุดทำงานไม่ใช่ทางออก
ขณะที่เจียซินกำลังจัดการกับงานในครัว เจียซินแอบมองออกไปยังโต๊ะของลูกค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข แม้เธอจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ภาพเหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเปลี่ยนแปลงชีวิต
เสียงช้อนจานกระทบกันดังเป็นจังหวะในครัวที่อบอวลไปด้วยไอน้ำร้อน เจียซินนั่งยอง ๆ อยู่หน้ากองจานที่สูงล้น มือน้อยๆ ของเธอจับฟองน้ำขัดถูจานแต่ละใบอย่างอ่อนแรง แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจนแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็พยายามฝืนทำงานต่อ เพราะรู้ว่าหยุดไม่ได้
แต่ไม่นานนัก ร่างของเจียซินเริ่มโอนเอน สายตาของเธอพร่ามัวก่อนที่ความมืดจะเข้าครอบงำ เธอทรุดตัวลงกับพื้น พนักงานคนอื่น ๆ ร้องเสียงหลงและรีบเข้าไปช่วย แต่หารู้ไม่ว่าเจียซินจะหลับไปแบบนี้อีกนานเท่านาน…
“เจียซิน! เจียซิน!”
…เสียงอื้อ ๆ ในหูทำให้เจียซินที่กำลังหลับใหลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงความเย็นของพื้นโต๊ะไม้เรียบและแสงสว่างจ้ายามบ่ายที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
เจียซินมองรอบตัวด้วยความงุนงง พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในครัวร้านติ่มซำอีกต่อไป แต่กำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่คุ้นตา เจียซินกะพริบตาอย่างงุนงง สูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด
เจียซินก้มมองตัวเองด้วยความตกใจ ชุดที่เธอสวมคือชุดนักศึกษาสะอาดเรียบง่ายของมหาวิทยาลัย ชุดที่เธอไม่ได้ใส่มาหลายปีแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ เสียงหัวใจของเจียซินก็เต้นดังระรัว เจียซินพึมพำออกมาเบา ๆ ขณะที่มองไปรอบตัวเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ที่นี่มัน...”
บรรยากาศในห้องนั้นดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด โต๊ะเรียงเป็นแถว หนังสือและสมุดวางอยู่ตรงหน้า เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนร่วมชั้นดังแผ่วเบา เธอหันไปมองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ มันคือชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดและกระโปรงดำที่เธอไม่ได้สวมมานานหลายปีจริง ๆ
ซึ่งเป็นการแต่งตัวของนักศึกษาผู้หญิงที่ยังไม่เน้นความหรูหรา แต่เป็นการสะท้อนถึงการศึกษาและค่านิยมของสังคมจีนที่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนักและการตั้งใจเรียนรู้มากกว่าการแสดงออกถึงตัวตนผ่านการแต่งตัว
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’
เจียซินหยุดจ้องมองกระดานดำตรงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรจีนที่เขียนด้วยชอล์กขาว และที่มุมขวาด้านบนของกระดานมีวันที่ที่เขียนไว้ด้วยลายมืออักษรจีนอย่างชัดเจนว่าวันนี้คือ…
วันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1980
เจียซินตาเบิกกว้าง วันนั้นคือวันที่ฝังแน่นในความทรงจำของเธอ มันคือวันที่เธอตัดสินใจบอกเลิกซูเหอ ชายหนุ่มที่เคยเป็นแฟนของเธอสมัยเรียน วันที่เธอเลือกเส้นทางชีวิตที่พาไปสู่ความผิดหวังและเสียใจในอนาคต
เจียซินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา ทั้งตกใจ สับสน และไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
“ฉันย้อนเวลากลับมาในอดีตจริง ๆ เหรอ”
เจียซินพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหยิกแขนของตัวเองเบา ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ฝัน ซึ่งความเจ็บที่รู้สึกนั้นช่วยยืนยันว่าทุกอย่างตรงหน้าคือความจริง
เสียงของอาจารย์ที่กำลังสอนดังขึ้น แต่เจียซินไม่ได้ฟัง เธอมัวแต่นั่งนิ่ง ใจเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่ได้ ภาพของซูเหอผุดขึ้นมาในหัว เขาคงอยู่ที่ไหนสักที่ในมหาวิทยาลัยนี้
‘นี่คือโอกาส…โอกาสที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมา’
เจียซินหายใจเข้าปอดลึก ๆ พยายามควบคุมความตื่นเต้นและความหวาดกลัว เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอจะทำต่อจากนี้อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของเธอ แต่ยังรวมถึงอนาคตของซูเหอด้วย
'ฉันได้โอกาสแก้ตัวครั้งใหญ่แล้ว ฉันจะไม่ทำผิดพลาดอีก’
เจียซินกำมือแน่น รวบรวมความกล้า ขณะที่แสงแดดจากหน้าต่างทอประกายอ่อน ๆ เหมือนเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่า ชีวิตใหม่นี้ เธอจะมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...
นางถูกขับไล่ออกจากสกุลสามี คนพวกนั้นให้เหตุผลว่านางเป็นตัวซวยทำให้สามีสอบไม่ผ่าน หากแต่ออกมาได้สามวัน เขากลับแขวนโคมไฟสีแดง รับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าจวน!!
ความเจ็บช้ำกว่าการ “หย่า” ยังมีอะไรอีก นอกจากถูกคนที่รักหลอกไป “ฆ่า” ให้ตายทั้งเป็น **************** โง่แล้วยังทำเหมือนเดิม เขาเรียกว่าโง่ไร้สติ โง่แล้วกลายเป็นความแค้น เขาถึงเรียกว่าฉลาด มาดูกันว่าการกลับมาของเธอในครั้งนี้ จะทำให้เขาจดจำเธอในรูปแบบไหน ภรรยาที่ดี หรือ ภรรยาที่ตอบแทนอย่างสาสม!! ************************* รมินตามองไปยังรูปภาพแต่งงานบนฝาผนัง ภาพที่มีรอยยิ้มและ แววตาความรักนั้น เหตุใดวันนี้ถึงได้เศร้านักก็ไม่เข้าใจ เธอนั่งรอเขาราวครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงรถที่ขับมาอย่างรวดเร็ว และเสียงเบรกกะทันหันทำให้เธอเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะโงกมอง เมื่อเห็นว่าเป็นธาวินผู้เป็นสามีเธอก็รีบลงจากชั้นสอง “ทำไมขับรถเร็วขนาดนั้นคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง” “นี่คุณแช่งผมให้ตายเหรอ” คิ้วรมินตาขมวด “ตาไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ตาเป็นห่วงคุณต่างหาก” “คุณห่วงชีวิตคุณเองจะดีกว่า ว่าคืนนี้คุณจะนอนไหน” แววตาคนเป็นภรรยาไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือเปล่า จึงถามเขาย้ำอีกครั้ง “คุณว่าอะไรนะคะ ตาไม่เข้าใจ” “โธ่เว้ย ทำไมถึงโง่ขนาดนี้ ผมกำลังขอหย่ากับคุณยังไงเล่า” ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังยกนิ้วขึ้นชี้หน้าผากเธอ จนเธอที่ตั้งสติไม่ได้เซถอยหลังจนล้มลง “รีบเซ็นใบหย่าแล้วออกไปจากบ้านของฉัน” “คุณหมายความว่ายังไง” “ก็หมายความว่าบ้านหลังนี้ หุ้นที่บริษัท โรงแรม ล้วนเป็นของผมหมดแล้ว ดังนั้นคุณก็หมดความหมาย รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ผมจะแจ้งข้อหาบุกรุกกับคุณ” “คุณ คุณทำกับตาแบบนี้ได้ยังไงกัน”
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
ความทะเยอทะยานผลักดันให้นางปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาทว่ายังมิทันจะได้เสวยสุข กลับถูกฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีสวมข้อหากบฏวางลงบนศีรษะนาง เกิดใหม่คราวนี้นางไม่ขอเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้สารเลวผู้นั้น ชีวิตนี้ที่ได้มาใหม่อีกครั้ง นางจะลิขิตเอง
ในชาติก่อน นางได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติเป็นเวลาห้าปี แต่ความดีความชอบทางการทหารกลับถูกน้องหญิงยึดไป คู่หมั้นที่นางรักหมดใจนั้นกลับนิ่งเฉยและร่วมมือกับอีกฝ่ายผลักนางตกลงสู่ห้วงลึกจนต้องเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจในคืนที่หนาวเย็น หลังจากได้เกิดใหม่ นางสาบานว่าจะทำให้ทุกคนที่รังแกนางได้รับผลกรรมที่สาสม เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวที่เสแสร้งและผู้ชายเจ้าชู้ นางยิ้มเยาะ : ความดีความชอบทางทหาร? รางวัล? คู่หมั้น? เอาไปให้หมด นางหันหลังกลับและคุกเข่าในงานเลี้ยงในวังอย่างน่าตกใจโดยชี้ตรงไปยังมุมมืดที่มีอ๋องอวี้นั่งอยู่บนรถเข็น“ขอฝ่าบาททรงโปรดพระราชทานการสมรสระหว่างหม่อมฉันกับอ๋องอวี้เพคะ” ทุกคนต่างตกตะลึง อ๋องอวี้เซียวจือ ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้และมีนิสัยเย็นชา เป็นคนที่ทุกคนหลีกเลี่ยงเสมือนปีศาจที่มีชีวิต ทุกคนหัวเราะเยาะนางว่าคงบ้าไปแล้ว ถึงรนหาที่ตายเช่นนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางเห็นถึงความโดดเด่นและพลังที่ซ่อนอยู่ลึกในตัวชายคนนี้ นางช่วยให้เขาฟื้นฟูความแข็งแกร่งและรักษาขาที่เป็นพิการ เขาสัญญาว่าจะให้ชีวิตที่มั่นคงแก่นางและเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดให้นาง เมื่อน้องหญิงที่แอบอ้างนำความดีความชอบทางทหารของนางไปอวดความเก่งกล้า และแม่แท้ ๆ ยังคงใช้กลอุบายควบคุมชะตากรรมของนาง… นางและอ๋องอวี้ร่วมมือกันวางแผนอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน เปิดโปงกลโกงและแสดงความกล้าหาญในสนามรบ! จนกระทั่งอ๋องอวี้ยืนขึ้นได้อีกครั้งและมีอำนาจครอบครองราชสำนัก จนกระทั่งนางแสดงตราประทับที่แท้จริงข และให้ทหารทั้งหลายยอมรับ ทุกคนเพิ่งรู้สึกตระหนักว่า คนที่พวกเขาเคยทิ้งไปไม่ต่างจากขยะนั้น ทั้งคู่ได้จับมือกันแล้วครองแผ่นดินไว้ด้วยแล้ว
จะมีสิ่งใดน่าทุกข์ใจไปมากกว่าการถูกคนในครอบครัวรังเกียจภายหลังจากมารดาเสียชีวิตเด็กน้อยอายุห้าขวบต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดพร้อมกับน้องสาวที่พึ่งลืมตาดูโลกอีกทั้งน้องชายฝาแฝดที่พึ่งเกิดมายังถูกพรากไป หลี่อันหนิง เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ไม่เหมือนผู้ใดนอกจากต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากคนในครอบครัว ตลอดชีวิตนางยังไม่เคยได้รับอุ่นไอจากผู้เป็นบิดาที่ยังเหลืออยู่ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต นางก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดสวรรค์ถึงได้กำหนดชะตาชีวิตเช่นนี้ให้กับตน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาวพบว่าตนเองกลับมายังอดีตในช่วงเวลาที่ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ พร้อมกับความสามารถที่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เหมือนอย่างนาง หลี่อันหนิงได้เริ่มวางแผนแก้แค้นให้กับตนและช่วยเหลือน้องทั้งสองมิให้มีชะตากรรมดั่งชาติที่แล้ว ************************************************************ “ท่านแม่!! ท่านแม่!! ตื่นสิเจ้าคะ นอนที่นี่ไม่ได้นะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ร่างเล็กแกรนแกะเอาเสื่อที่ห่อม้วนร่างของมารดาออก ก่อนจะเขย่ากายที่เย็นชืดไปนานแล้วของนาง ทว่าในระหว่างที่สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เสียงร้องแผ่วเบาราวกับลูกแมวน้อยก็ดังขึ้น หลี่อันหนิงมองไปยังช่วงขาของมารดาเห็นบางสิ่งกำลังขยับไหว นางจึงเลิกชุดสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของมารดาขึ้น บัดดลร่างเล็กของเด็กทารกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ปรากฏแก่สายตา ด้วยสัญชาตญาณ เด็กน้อยในวัยห้าขวบรีบถอดเสื้อคลุมด้านนอกอันเปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำฝนออกมาห่อร่างเล็กของน้องสาวเอาไว้ ส่วนตนเองก็เอาแต่เอ่ยพึมพำว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่สาวจะดูแลน้องเอง หลี่อันหนิงกอดเด็กทารกเอาไว้ในอ้อมแขน ใช้ร่างกายเล็กจ้อยของตนกำบังลมฝนให้น้องน้อยอย่างกล้าหาญ ******************************************************** ร่างเล็กนั่งตากฝนอยู่บนเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน เพราะหาหนทางกลับเรือนเฉกเช่นผู้ใหญ่ไม่ได้ กายของเด็กน้อยเริ่มสั่นสะท้านเสียงฟันของนางกระทบกันดังกึกกัก ก่อนสติสุดท้ายของเด็กหญิงจะดับวูบไป หลี่อันหนิงคล้ายมองเห็นมารดาของตนที่นอนอยู่เบื้องหน้าลุกขึ้นมาตระกองกอดนางเอาไว้แนบอก ก่อนกระซิบน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่อยู่นี่แล้ว เสียงเพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยร้องกล่อมตนยามค่ำคืนยังคงดังก้องประทับในโสต หลี่อันหนิงหลับไปทั้งรอยยิ้มโดยไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY