ย้อนเวลาไปในยุค 80 ร่ำรวยได้ยังไง เรามาดูกันค่ะ
ย้อนเวลาไปในยุค 80 ร่ำรวยได้ยังไง เรามาดูกันค่ะ
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
เสียงฟ้าร้องดังในขณะที่ท้องฟ้าอึมครึม ก่อนจะมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาเป็นเส้นยาวราวกับม่านบาง ๆ ทำให้ถนนใหญ่ของเมืองหลวงเปียกชุ่มจนเกิดเงาสะท้อนจากแสงไฟริมขอบถนนที่เริ่มสว่างขึ้นในช่วงที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนพรำ
ชิงเหม่ย เจ้าของร่างอ้อนแอ้นราวกับว่าเมื่อลมพัดมาก็จะปลิวไปได้ง่าย ๆ เธอสวมเสื้อคลุมผ้าบางที่แทบไม่กันฝน รีบวิ่งไปบนถนนพลางยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ชายกระโปรงเปียกน้ำฝนที่พื้นถนนเอาได้ ชิงเหม่ยกอดห่อผ้าขนาดเล็กไว้แน่นใต้เสื้อคลุม นั่นคืออาหารเช้าที่เธอเตรียมไปกินระหว่างพักเที่ยงที่ทำงาน
เสียงย่ำเท้าของชิงเหม่ยดังปนไปกับเสียงล้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่แล่นผ่านน้ำขังจนสาดกระเซ็น คนบนถนนบางคนถือร่มเดินอย่างระวัง บางคนก็ใช้กระเป๋าหรือของใช้ที่ติดมือมาบังศีรษะของตัวเองเอาไว้
แต่สำหรับชิงเหม่ยแล้ว ไม่มีเวลาพอจะคิดถึงฝนที่เย็นยะเยือก เธอมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะไปทำงานสาย ชิงเหม่ยวิ่งหลบฝนไปพลางพึมพำกับตัวเองไปว่า…
‘ต้องรีบไปให้ทันก่อนที่จะประชุม นี่เป็นโอกาสสำคัญที่เราจะทำผลงานได้ และผลงานชิ้นนี้จะเป็นใบเบิกทางให้เราได้เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนและสวัสดิการก็จะมากขึ้นอีกด้วย สู้ ๆ ชิงเหม่ย ฝนตกแค่นี้อย่าไปกลัว’
และระหว่างที่ชิงเหม่ยกำลังคิดถึงอนาคตอันสดใสของตัวเองอยู่นั้น เสียงแตรรถก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล พร้อมกับเสียงยางรถเบียดพื้นถนนที่เกิดจากการเบรกอย่างกะทันหัน
ปี๊น! ปี๊น! เอี๊ยด!
เสียงแตรรถพร้อมกับเสียงเบรก ทำให้ชิงเหม่ยหยุดนิ่งและเงยหน้าขึ้นมองรถยนต์ที่เหมือนจะเสียหลักกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวของเธอ พอชิงเหม่ยรู้ตัวก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ว๊าย!”
“หลบไป ๆ เบรกไม่อยู่!”
เหมือนเวลาหยุดนิ่ง ห่อผ้าในมือบางหลุดร่วง น้ำฝนไหลลงบนใบหน้า จิตสุดท้ายของชิงเหม่ยคิดได้แค่ว่า…
‘ชีวิตของเราต้องจบลงแล้วเหรอ’
ชิงเหม่ยรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั้นกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่มีน้ำหนักหรือความเจ็บปวด ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด แสงขาวสว่างจ้าคลายกับเมฆหมอกจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดรอบตัว ก่อนจะมีเสียงของหญิงสาวลึกลับดังขึ้นกึกก้อง
“เจ้าคือผู้ถูกลิขิต ชีวิตของเจ้าที่นี่สิ้นสุดแล้ว แต่หนทางของเจ้ายังไม่จบลงเพียงเท่านี้”
“นะ นี่คือความตายอย่างนั้นหรือ ฉันยังตายไม่ได้นะ ฉันยังสาวอยู่เลย แฟนก็ยังไม่เคยมีสักคน หน้าที่การงานก็ยังต่ำเตี้ย ที่สำคัญฉันยังทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นฉันยังตายไม่ได้จริง ๆ ฮือ…”
“เจ้าอย่าพึ่งตีโพยตีพายไป เจ้าจะได้โอกาสมีชีวิตอีกครั้ง เพื่อแก้ไขสิ่งที่เจ้ามิอาจทำได้ในชีวิตที่เคยมี แต่ว่าที่ที่เจ้าต้องไปนั้น จะมิใช่ที่ที่เจ้าจากมา”
“…ละ แล้วฉันจะได้ไปที่ใดกัน”
“หึหึ ย้อนกลับไปยังอดีต ที่นั่นคือโลกที่เจ้าจะได้เริ่มต้นใหม่ในร่างเดิม เพียงแต่ยุคสมัยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
“อะ อดีตอย่างนั้นหรือ แต่ฉันยังมีสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จอีกตั้งเยอะเลยนะ ฉันต้องการกลับไปยังโลกปัจจุบัน คุณ! คุณได้ยินฉันไหม”
และทุกอย่างก็เงียบลง ก่อนที่ชิงเหม่ยจะหมดสติไปอีกครั้งในแสงสีขาว อย่างกับทุกอย่างเป็นเพียงความฝันหรือนิมิตอย่างไรอย่างนั้น…
เสียงนกและกลิ่นดินหลังฝนตก ทำให้เปลือกตาบางของคนที่กำลังหลับใหลค่อย ๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้า ๆ เมื่อยกศีรษะขึ้นก็รู้สึกปวดและมึนเมาเล็กน้อย สายตาที่ยังคงพร่ามัวมองไปรอบ ๆ เห็นผนังไม้เก่า
‘ที่นี่คือที่ใด หรือว่านี่คืออดีตที่เสียงนั้นกล่าวถึง’
นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงพูดคุยของผู้หญิงและผู้ชายดังมาจากข้างนอกห้องอีกด้วย ถึงแม้ว่าอาการจะยังไม่สู้ดี แต่สมองก็สั่งให้ตั้งใจฟัง
“เถ้าแก่ฟงให้ราคาดี จะมัวรออะไรอีก เด็กคนนี้ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรในบ้านอยู่แล้ว”
“แต่ชิงเหม่ยยังไม่หายดีเลยนะ ถ้าหากเธอรู้ว่าเราจะขายเธอให้คนอายุมากกว่าหลายปี เธอจะรับไม่ได้จนยอมกัดลิ้นตัวเองตายไปเลยเหรอ”
“อย่ามัวแต่ใจอ่อน! เงินที่เขาให้มามากพอที่จะปลดหนี้ทั้งหมดของบ้านเราได้ แล้วยังเหลือพอให้เธอไปซื้อผ้าใหม่อีกด้วย”
ชิงเหม่ยได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน ทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ พลางพึมพำกับตัวเองในใจว่าคนที่สองคนข้างนอกนั้นจะขายนั้นใช่ตัวเธอหรือไม่ แต่ชื่อที่เอ่ยออกมามันก็คือชื่อของเธอ
‘ขาย? พวกเขาคิดจะขายฉันอย่างนั้นหรือ’
เมื่อชิงเหม่ยคิดได้อย่างนั้น ก็รีบลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินไปมองร่างกายของตัวเองในกระจกเก่าบานเล็ก ก็พบว่าร่างกายนี้เหมือนเค้าโครงเดิมของเธอแทบจะทุกอย่าง เพียงแต่ว่าอาจจะผอมบางกว่าหน่อยเท่านั้น บ่งบอกได้เลยว่าบ้านหลังนี้กำลังประสบปัญหาทางการเงินมากแค่ไหน ทั้งยังมีรอยแผลฟกช้ำตามตัวเล็กน้อยตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย
“นี่ฉันกลายเป็นลูกสาวของครอบครัวที่แสนจะลำบากแบบนี้จริง ๆ เหรอ และก็กำลังจะถูกพวกเขาคิดจะขายให้คนแก่อีกด้วย มอบชีวิตใหม่ให้แบบนี้ ส่งเราไปอยู่นรกเสียยังดีกว่า”
ในระหว่างที่ชิงเหม่ยกำลังตัดพ้อในโชคชะตาของตัวเองอยู่นั้น เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น
“ชิงเหม่ย ฟื้นแล้วเหรอ”
บุคคลที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชิงเหม่ยนั้นเป็นหญิงและชายวัยกลางคน ซึ่งชิงเหม่ยคาดเดาในใจว่าสองคนนี้น่าจะเป็นพ่อกับแม่ของเธอในยุคนี้ และตอนที่ทั้งสองกำลังจะเดินเข้ามาหาชิงเหม่ยนั้น เธอก็ค่อย ๆ ก้าวเดินถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น
“ทำไมลูกถึงมีสีหน้าและท่าทางที่กลัวพ่อกับแม่อย่างนั้นล่ะ”
“ฉัน เอ่อ…ลูกได้ยินทุกอย่างทั้งหมดแล้ว พ่อกับแม่จะพาตัวลูกไปขายให้กับคนแก่ใช่หรือไม่”
“ชิงเหม่ย! นี่ลูกได้ยินทั้งหมดเลยหรือ”
คนเป็นแม่มีสีหน้าและน้ำเสียงที่ตกใจ แต่ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นดุดัน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง
“เจ้าเด็กคนนี้! นี่ไม่ใช่เรื่องที่ลูกควรยุ่ง ครอบครัวของเรายากจนมาก หากไม่ขายลูกไป พวกเราทั้งหมดก็ต้องอดตาย!”
เมื่อชิงเหม่ยได้ฟังคำพูดอันสุดแสนจะเห็นแก่ตัวของผู้เป็นพ่อ ก็อดที่จะกัดฟันแน่นด้วยความโกรธไม่ได้ แต่ก็พยายามที่จะสงบจิตสงบใจเอาไว้
“ลูกไม่ใช่สิ่งของที่พวกท่านจะขายไปเพื่อเงิน และอีกอย่าง ผู้เฒ่าฟงคนนั้น เขาอายุมากกว่าลูกหลายสิบปีเป็นแน่ พ่อกับแม่คิดจะส่งลูกไปเป็นบ่าวรับใช้ของเขาหรืออย่างไรกัน”
“ชิงเหม่ย แม่ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่เฒ่าฟงบอกว่าเขาจะให้เงินก้อนใหญ่กับเรา เราจะได้ไม่ต้องทนลำบากอีกต่อไป ลูกเองไปอยู่กับเขา เขาก็จะยกให้เป็นเมีย สบายไปทั้งชีวิต แล้วแบบนี้ลูกจะกลัวสิ่งใดกันเล่า”
ผู้เป็นแม่พยายามเข้าไปพูดกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชิงเหม่ยเปลี่ยนใจได้ เธอหลบการสัมผัสของแม่เหมือนไม่เคยมีเยื่อใยกันมาก่อน ทั้งยังจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชาอีกด้วย
“แต่ลูกต้องเสียทั้งชีวิตเพื่อความสุขของพวกท่านใช่ไหม ลูกต้องการเลือกทางของลูกเอง!”
คำเถียงและความดื้อรั้นของชิงเหม่ยทำให้พ่อเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาอีกครั้ง ตบโต๊ะเสียงดังลั่นและกล่าวยื่นคำขาดพร้อมกับชี้หน้าของชิงเหม่ยอย่างออกคำสั่ง ก่อนที่พ่อกับแม่จะพากันเดินออกจากห้องไป
“ลูกไม่มีสิทธิ์เลือก! ลูกกินอยู่ในบ้านนี้และเป็นลูกของพวกเรา ลูกต้องทำตามที่พ่อกับแม่บอกเท่านั้น”
เมื่อทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว ชิงเหม่ยก็พ่นลมหายใจออกมาเป็นทางยาว ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้าว่า…
“นี่คงเป็นบททดสอบจากเบื้องบนที่ส่งฉันมาที่นี่สินะ ฉันต้องหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ฉันจะไม่ยอมถูกขายไปเป็นเมียของคนแก่อย่างเด็ดขาด”
ระหว่างวันที่อยู่ในห้อง ชิงเหม่ยเอาแต่คิดวางแผนหนีออกจากบ้านที่เต็มไปด้วยความยากลำบากหลังนี้ จนกระทั่งสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นว่าพ่อของเธอกำลังพูดคุยกับใครบางคนอย่างออกรสชาติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความพอใจ ซึ่งชิงเหม่ยคิดว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้เฒ่าฟงอย่างแน่นอน เพราะชายผู้นั้นเป็นคนแก่
‘ฉันต้องหนีคืนนี้หากรอจนถึงพรุ่งนี้ ฉันคงไม่มีโอกาสหนีรอดแล้ว’
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูทำให้ชิงเหม่ยหลุดออกมาจากความคิด แล้วทอดสายตาไปตรงประตูห้อง ก็เห็นว่าเป็นแม่ที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมอาหารเรียบง่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเนื้อสัตว์ มีเพียงผักที่หาเก็บเอาได้เท่านั้น
“ชิงเหม่ย กินอะไรเสียหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ลูกต้องตื่นแต่เช้าไปบ้านผู้เฒ่าฟง”
แม่เอ่ยเสียงเศร้า ถึงแม้ในใจอยากจะช่วยบุตรสาวมากแค่ไหน แต่ความจนมันบีบบังคับให้ต้องทำเช่นนี้
“ลูกรู้แล้ว ลูกจะรีบพักผ่อน”
ชิงเหม่ยแกล้งทำเป็นว่าง่ายเพื่อให้เรื่องมันจบ และแม่ก็ยอมออกจากห้องไปโดยง่าย เพราะถ้าอยู่ต่อไปบรรยากาศในห้องคงจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ส่วนชิงเหม่ยทำได้แค่เพียงกำมือแน่น น้ำตาคลอ แต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เวลาหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงกลางดึก ท้องฟ้าในคืนนี้มืดหม่นกว่าปกติ มีแต่ดวงดาวให้แสงสว่างเท่านั้น ชิงเหม่ยเตรียมข้าวของจำเป็นเล็กน้อยใส่ห่อผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ไม่มีของมีค่าอันใด
ชิงเหม่ยเปิดหน้าต่างแคบ ๆ แล้วพยายามปีนออกไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดโดยเร็ว ในใจก็ยังคงคิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา
‘ต้องไปให้ถึงถนนใหญ่ก่อนรุ่งสาง ถ้าเฒ่าฟงรู้ว่าฉันหนี เขาคงตามตัวฉันจนเจอเป็นแน่ เพราะคงจะเป็นบุคคลที่กว้างขวางอยู่ไม่น้อย’
ชิงเหม่ยวิ่งจนมาถึงถนนเส้นใหญ่ของหมู่บ้าน เสียงเครื่องยนต์ของรถและแสงไฟสาดส่องเข้ามาที่ใบหน้าใส ชิงเหม่ยมองเห็นรถคันใหญ่จอดอยู่ริมถนน เหมือนกับว่าเจ้าของรถกำลังทำอะไรบางอย่าง ทำให้ชิงเหม่ยคิดได้ว่าควรจะแอบขึ้นรถคันนี้ไป
‘นี่แหละโอกาสของเรา เราต้องซ่อนตัวไปกับรถคันนี้”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นชิงเหม่ยก็ค่อย ๆ เดินย่องไปที่ท้ายรถ รอจนเจ้าของรถไม่สังเกตมา จึงปีนขึ้นไปท้ายรถอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ก็ดีกว่าอยู่ในบ้านหลังนั้น
นางถูกขับไล่ออกจากสกุลสามี คนพวกนั้นให้เหตุผลว่านางเป็นตัวซวยทำให้สามีสอบไม่ผ่าน หากแต่ออกมาได้สามวัน เขากลับแขวนโคมไฟสีแดง รับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าจวน!!
ความเจ็บช้ำกว่าการ “หย่า” ยังมีอะไรอีก นอกจากถูกคนที่รักหลอกไป “ฆ่า” ให้ตายทั้งเป็น **************** โง่แล้วยังทำเหมือนเดิม เขาเรียกว่าโง่ไร้สติ โง่แล้วกลายเป็นความแค้น เขาถึงเรียกว่าฉลาด มาดูกันว่าการกลับมาของเธอในครั้งนี้ จะทำให้เขาจดจำเธอในรูปแบบไหน ภรรยาที่ดี หรือ ภรรยาที่ตอบแทนอย่างสาสม!! ************************* รมินตามองไปยังรูปภาพแต่งงานบนฝาผนัง ภาพที่มีรอยยิ้มและ แววตาความรักนั้น เหตุใดวันนี้ถึงได้เศร้านักก็ไม่เข้าใจ เธอนั่งรอเขาราวครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงรถที่ขับมาอย่างรวดเร็ว และเสียงเบรกกะทันหันทำให้เธอเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะโงกมอง เมื่อเห็นว่าเป็นธาวินผู้เป็นสามีเธอก็รีบลงจากชั้นสอง “ทำไมขับรถเร็วขนาดนั้นคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง” “นี่คุณแช่งผมให้ตายเหรอ” คิ้วรมินตาขมวด “ตาไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ตาเป็นห่วงคุณต่างหาก” “คุณห่วงชีวิตคุณเองจะดีกว่า ว่าคืนนี้คุณจะนอนไหน” แววตาคนเป็นภรรยาไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือเปล่า จึงถามเขาย้ำอีกครั้ง “คุณว่าอะไรนะคะ ตาไม่เข้าใจ” “โธ่เว้ย ทำไมถึงโง่ขนาดนี้ ผมกำลังขอหย่ากับคุณยังไงเล่า” ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังยกนิ้วขึ้นชี้หน้าผากเธอ จนเธอที่ตั้งสติไม่ได้เซถอยหลังจนล้มลง “รีบเซ็นใบหย่าแล้วออกไปจากบ้านของฉัน” “คุณหมายความว่ายังไง” “ก็หมายความว่าบ้านหลังนี้ หุ้นที่บริษัท โรงแรม ล้วนเป็นของผมหมดแล้ว ดังนั้นคุณก็หมดความหมาย รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ผมจะแจ้งข้อหาบุกรุกกับคุณ” “คุณ คุณทำกับตาแบบนี้ได้ยังไงกัน”
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
หลังจากที่แฟนหนุ่มประสบอุบัติเหตุรถชนและหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจำได้ว่ามีคนที่เขารักมายาวนาน ดังนั้น สิ่งแรกที่เซิ่งหลินชวนทำเมื่อฟื้นจากอาการโคม่า คือการขอเลิกกับฉินเวย “เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดความสัมพันธ์ ความรักของเราก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย ” ฉินเวยไม่ได้ว่าอะไร บัญเอิญว่าการวิจัยยาใหม่ในห้องทดลองสำเร็จ ฉินเวยจึงขอเข้าร่วมการทดลองยา “เมื่อคุณรับประทานยาเม็ดนี้ ความทรงจำส่วนนี้จะถูกลบไปอย่างถาวร คุณฉินเวย คุณตัดสินใจดีแล้วหรือ?”
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
เซี่ยถิงถิง ย้อนเวลากลับมาในวันที่แฟนหนุ่มได้บอกเลิกกับเธอ เด็กสาวที่มากความสามารถจากหมู่บ้านเชิงเขาเล็กๆ ครอบครัวของเธอเป็นเกษตรกรมา 13 ชั่วอายุคน เซี่ยถิงถิงถือว่าเป็นปัญญาชนคนแรกของหมู่บ้าน ตลอดเวลาเด็กสาวที่หน้าตาสะสวยและเรียนดีผู้นี้ เป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของครอบครัวและค่อนข้างจะหัวโบราณอยู่บ้าง นี่จึงเป็นสาเหตุให้แฟนหนุ่มของเธอมีอันต้องเลิกรากันไปเพราะถิงถิงไม่เคยหลับนอนกับเขา นั่นถือว่าเป็นการหมื่นเกียรติของตัวเธอเอง แต่สาเหตุที่แท้จริงแล้วแฟนหนุ่มของเธอเพียงต้องการเกาะกิ่งไม้สูงเพื่อความก้าวหน้าเพียงเท่านั้น เพียงเพราะถิงถิงมาจากครอบครัวชาวนาในชนบทไม่มีแรงสนับสนุนเขาให้ปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้สูงได้ตามที่เขาต้องการ เขาจึงต้องหันหลังให้กับถิงถิงเพื่อไปเกาะขาลูกสาวนายทหารยศใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวยและพร้อมสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาต้องการ ถิงถิงเองถึงแม้จะเสียใจมาก แต่สำหรับเธอแล้ว ชาวนาแล้วอย่างไร ชาวนาก็ถือว่ามีเกียรติ คุณรังเกียจชาวนาก็อย่ากินข้าวที่ชาวนาปลูกก็แล้วกัน ในเวลาชั่วข้ามคืนจากความรักที่เธอมีให้แฟนหนุ่มแต่ตอนนี้เธอมีเพียงความรังเกียจและเสียใจที่มองคนผิดไปเท่านั้น ถิงถิงตัดสินใจลาออกจากงานและเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิด เธอจะพลิกภูเขาแห้งแล้งที่บ้านเกิดให้เป็นแหล่งอาหาร อันอุดมสมบูรณ์ เธอจะทำให้คนที่ดูถูกเธอได้เห็นว่า เกษตรกรนั้นหาได้ต่ำต้อยไม่ เธอจะต้องร่ำรวยเพราะอาชีพของเธอให้ได้ในสักวันและจะตอกหน้าคนพวกนั้นคืนให้สาสม แต่ที่น่าอับอายที่สุดไม่ใช่ถูกแฟนหนุ่มบอกเลิกในที่สาธารณะ แต่เป็นเธอที่เดินเหยียบเปลือกกล้วยแล้วลื่นล้มหัวฟาดต่างหาก เพราะความโมโหทำให้ไม่ทันได้มองทาง นี่ถือว่าตายด้วยความอับอายและคับแค้นใจมากที่สุด ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเธอได้กลับมา
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
จะมีสิ่งใดน่าทุกข์ใจไปมากกว่าการถูกคนในครอบครัวรังเกียจภายหลังจากมารดาเสียชีวิตเด็กน้อยอายุห้าขวบต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดพร้อมกับน้องสาวที่พึ่งลืมตาดูโลกอีกทั้งน้องชายฝาแฝดที่พึ่งเกิดมายังถูกพรากไป หลี่อันหนิง เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ไม่เหมือนผู้ใดนอกจากต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากคนในครอบครัว ตลอดชีวิตนางยังไม่เคยได้รับอุ่นไอจากผู้เป็นบิดาที่ยังเหลืออยู่ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต นางก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดสวรรค์ถึงได้กำหนดชะตาชีวิตเช่นนี้ให้กับตน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาวพบว่าตนเองกลับมายังอดีตในช่วงเวลาที่ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ พร้อมกับความสามารถที่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เหมือนอย่างนาง หลี่อันหนิงได้เริ่มวางแผนแก้แค้นให้กับตนและช่วยเหลือน้องทั้งสองมิให้มีชะตากรรมดั่งชาติที่แล้ว ************************************************************ “ท่านแม่!! ท่านแม่!! ตื่นสิเจ้าคะ นอนที่นี่ไม่ได้นะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ร่างเล็กแกรนแกะเอาเสื่อที่ห่อม้วนร่างของมารดาออก ก่อนจะเขย่ากายที่เย็นชืดไปนานแล้วของนาง ทว่าในระหว่างที่สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เสียงร้องแผ่วเบาราวกับลูกแมวน้อยก็ดังขึ้น หลี่อันหนิงมองไปยังช่วงขาของมารดาเห็นบางสิ่งกำลังขยับไหว นางจึงเลิกชุดสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของมารดาขึ้น บัดดลร่างเล็กของเด็กทารกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ปรากฏแก่สายตา ด้วยสัญชาตญาณ เด็กน้อยในวัยห้าขวบรีบถอดเสื้อคลุมด้านนอกอันเปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำฝนออกมาห่อร่างเล็กของน้องสาวเอาไว้ ส่วนตนเองก็เอาแต่เอ่ยพึมพำว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่สาวจะดูแลน้องเอง หลี่อันหนิงกอดเด็กทารกเอาไว้ในอ้อมแขน ใช้ร่างกายเล็กจ้อยของตนกำบังลมฝนให้น้องน้อยอย่างกล้าหาญ ******************************************************** ร่างเล็กนั่งตากฝนอยู่บนเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน เพราะหาหนทางกลับเรือนเฉกเช่นผู้ใหญ่ไม่ได้ กายของเด็กน้อยเริ่มสั่นสะท้านเสียงฟันของนางกระทบกันดังกึกกัก ก่อนสติสุดท้ายของเด็กหญิงจะดับวูบไป หลี่อันหนิงคล้ายมองเห็นมารดาของตนที่นอนอยู่เบื้องหน้าลุกขึ้นมาตระกองกอดนางเอาไว้แนบอก ก่อนกระซิบน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่อยู่นี่แล้ว เสียงเพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยร้องกล่อมตนยามค่ำคืนยังคงดังก้องประทับในโสต หลี่อันหนิงหลับไปทั้งรอยยิ้มโดยไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY