อี้เฟยเป็นเพียงหญิงชาวบ้านริมทะเล วันหนึ่งเจอกับบุรุษริมทะเลที่บาดเจ็บจึงพากลับบ้านรักษาอย่างดี จนกระทั่งสองคนได้มีความรักต่อกัน หากแต่จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็หายไป พร้อมทิ้งลูกแฝดให้นางเลี้ยงดู อี้เฟยต้องเลี้ยงลูกสองคนท่ามกลางการกรนด่าจากชาวบ้าน อดทนรอว่าวันหนึ่งบุรุษผู้นั้นจะกลับมาโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร
เฟยเยี่ย เมืองเล็ก ๆ อันแสนสงบ ที่อยู่ในภูมิภาคขนาดเล็กที่มีเขตชายฝั่งยาวตลอดทั้งเมือง ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงดำเนินชีวิตด้วยการยึดอาชีพชาวประมง ซึ่งเมืองเฟยเยี่ยนั้นจัดว่ามีทัศนียภาพที่สวยงาม นับเป็นหนึ่งในสิบสวรรค์ของบรรดาคนในเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่าชายเลนและดินโคลนที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในประเทศ ทั้งยังติดเขตชายฝั่งยาวกว่าหลายพันลี้อีกด้วย
ขณะนี้เขตฝั่งทะเลก็ได้มีเรือสำเภาลำเล็ก ๆ กำลังแล่นฝ่าคลื่นลมปราณพิโรธมาอย่างทุลักทุเล เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่มีลมมรสุม ส่งผลให้คลื่นลมแรง เรือสำเภาลำเล็กในตอนนี้กำลังโครงเครงไปมา เพราะผู้บังคับเรือเริ่มจะต้านลมมรสุมเอาไว้ไม่อยู่ จึงทำให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
ซ่าส์! โครม!
รุ่งสางของวันต่อมา ในเมืองของเหล่าชาวประมงอันแสนสงบที่มีนามว่าเฟยเยี่ยแห่งนี้ เพียงแค่ช่วงยามเหม่าเท่านั้น แทบจะทุกชีวิตในเมืองก็เริ่มลืมตาตื่นตามวิถีชีวิตชาวชนบท อาทิตย์ยามเช้าลอยสูงขึ้น ทอแสงอ่อน ๆ จับเสี้ยวหน้างามพิลาศล้ำ ดวงหน้าเกลี้ยงเกลากระจ่างหมดจด ริมฝีปากบางแต้มด้วยชาดสีแดงขับผิวผุดผาดในชุดสตรีชาวบ้านธรรมดา แต่กลับดูงดงาม เปรียบได้ว่าเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้ามาสู่ดินผู้หนึ่งก็ว่าได้
ซึ่งบุปผางามผู้นี้มีนามว่า หลินอี้เฟย กำลังช่วยผู้เป็นบิดาของตนออกหาปลาตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า อี้เฟยเป็นสตรีที่มีนิสัยอ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย
และในขณะที่อี้เฟยกับบิดากำลังหาปลาไปขายที่ตลาดเช้าเฉกเช่นทุกวันนั้น อยู่ดี ๆ ดวงตาสวยก็ไปสะดุดที่ริมชายฝั่ง ซึ่งตรงนั้นเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่รูปร่างคล้ายกับมนุษย์ลอยอยู่เหนือน้ำ นางจึงรีบหันไปบอกผู้เป็นบิดาด้วยท่าทางตระหนกตกใจ
“ท่านพ่อ ๆ นั่นคนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เพ้อเจ้อแล้ว ในน้ำจะมีคนได้อย่างไรกัน”
“แต่ตรงนั้นที่ลอยอยู่มันเหมือนคนมากเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อบุตรสาวรบเร้าหนักเข้า บิดาก็อดที่จะทอดสายตาไปยังที่บุตรสาวชี้บอกไม่ได้ และเมื่อเพ่งมองดูดี ๆ ก็เริ่มที่จะคิดเหมือนกับบุตรสาวแล้วว่าตรงนั้นมีคนลอยติดโพงพางที่ใช้ดักปลาของชาวบ้านอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจจึงพายเรือเข้าไปดูใกล้ ๆ
และเมื่อพายเรือมาถึงก็เห็นว่าเบื้องหน้าเป็นคนจริง ๆ สองพ่อลูกทำหน้าตาตื่นตกใจ พูดด้วยน้ำเสียงลนลานพร้อม ๆ กัน
“คนจริง ๆ ด้วย เขายังมีชีวิตอยู่ไหมนั่น”
มือหนารีบจ้ำไม้พายพาเรือให้ไปถึงชายฝั่งโดยเร็ว ก่อนที่ร่างระหงจะรีบลงจากเรือเพื่อช่วยดึงคนที่ลอยมาติดโพงพางขึ้นมาบนบก และเมื่อดึงขึ้นมาได้ อี้เฟยก็พยายามจับชีพจรเพื่อตรวจสอบดูว่าบุรุษผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าชีพจรยังเต้นอยู่แต่เต้นอ่อนแรงมาก
“ชีพจรยังเต้นอยู่เจ้าค่ะ แต่ว่าเต้นอ่อนมาก ลูกคิดว่าเราควรพาเขากลับไปรักษาที่เรือนของเราก่อน”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มชายผู้ที่กำลังหมดสติขึ้นมาบนเรือและพากลับไปรักษาตัวที่เรือนของตน
จิ๊บ! จิ๊บ!
เสียงนกร้องที่ระบุสายพันธุ์ไม่ได้ บินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างของเรือนแพหลังกะทัดรัด แสงแดดก็สาดส่องลอดผ่านช่องว่างของไม้ยืนต้นเตี้ย ๆ ที่ใบลีบผอมเข้ามากระทบเปลือกตาบางของคนที่กำลังหลับฝันให้ตื่นขึ้น
“ท่านอ๋อง จับมือของกระหม่อมเอาไว้ขอรับ ท่านอ๋อง!”
“ช่วยด้วย!”
คนที่พึ่งฟื้นคืนสติตะโกนลั่นเรือนหลังจากนอนหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ จนผู้ที่กำลังต้มยาอยู่ข้างนอกต้องรีบวางมือแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้อง
อี้เฟยที่วิ่งตาตื่นมาดูก็เห็นว่าบุรุษผู้นั้นที่ตนเองกับบิดาช่วยเหลือขึ้นมาจากน้ำกำลังจะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ทว่าใบหน้ายังคงซีดเซียว ดวงตาปรือ และยังมีแรงไม่มาก อี้เฟยจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งได้
“ไหวไหม เดี๋ยวข้าช่วย”
“เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม ใบหน้าซีดขาวแสดงออกถึงความมึนงงเมื่อเห็นสตรีที่ไม่คุ้นตา
“ข้าชื่อว่าอี้เฟย เป็นบุตรสาวของชาวประมง ที่อาศัยอยู่ในเมืองเฟยเยี่ย ข้ากับบิดาเห็นว่าเจ้าลอยน้ำมาติดอยู่ที่โพงพางก็เลยช่วยเอาไว้ จริงสิ ทำไมเจ้าถึงตกน้ำได้ล่ะ”
“เรือของข้าล่ม นอกจากข้าแล้ว เจ้าช่วยใครได้อีกหรือไม่”
อี้เฟยส่ายหน้า ทำให้อีกฝ่ายหน้าเศร้าไปทันที ความรู้สึกไม่ดีจึงเริ่มลอยเข้ามาทำให้บรรยากาศหม่นหมอง อี้เฟยจึงพยายามเปลี่ยนบรรยากาศโดยการเอ่ยถามไถ่อีกฝ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้เขาหลงลืมความทุกข์ไปให้ได้ชั่วขณะ
“แล้วเจ้าชื่อว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ”
“ข้าชื่อว่าเกอหลง”
“อืม…เกอหลง แล้วเจ้ามาจากที่ใด”
“ข้ามาจากเมืองหลวง ล่องเรือออกท่องเที่ยว แต่เมื่อมาถึงเมืองเฟยเยี่ยก็ประสบกับมรสุมลูกใหญ่จึงทำให้เรือล่ม”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อเพื่อรักษาตัวให้หายดีก่อน ถ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้บิดาพาเจ้าไปส่งที่เมืองหลวงดีหรือไม่”
“อืม…ข้าขอบคุณเจ้ากับบิดาที่ช่วยชีวิตข้า”
“เรื่องเล็กน้อย อย่าคิดมากเลย ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปต้มยาให้เจ้าต่อก่อนก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็นอนพักผ่อนต่อเถอะ ใบหน้าของเจ้าดูยังไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร”
หลายวันต่อมาอาการของเกอหลงดีขึ้นเรื่อย ๆ และนอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอี้เฟยก็พัฒนาขึ้นไปด้วย เนื่องจากทั้งสองอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งเวลา จะแยกจากกันก็เฉพาะตอนนอนเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เกอหลงตื่นแต่เช้าเพื่ออาสาออกหาปลากับอี้เฟยแทนบิดาของนาง
เมื่อเกอหลงกับอี้เฟยขึ้นมาบนเรือหาปลาแล้ว อี้เฟยก็หันไปเอ่ยถามบุรุษข้างหลังตนที่กำลังจับไม้พายจุ่มน้ำเตรียมออกเดินทาง
“เจ้าจับปลาเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิ ตอนที่อยู่เมืองหลวงข้าชอบชวนเหล่าสหายออกตกปลาด้วยกันอยู่บ่อย ๆ ข้าชอบหาปลาเป็นอย่างมาก”
“ว่าแต่ตอนที่อยู่เมืองหลวงเจ้าทำงานทำการอันใดอย่างนั้นเหรอ ทำไมดูเจ้ามีเวลาเที่ยวเล่นมากนัก”
“อะ เอ่อ…ข้าทำการค้าเล็ก ๆ ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากตระกูลน่ะ เป็นกิจการที่เล็กมาก ๆ”
เกอหลงพยายามเน้นคำว่าเล็กจนทำให้อี้เฟยรู้สึกตะหงิดใจ แต่ก็มิได้ถึงกับต้องเค้นเอาความจริงจากอีกฝ่ายให้ได้
“อย่างนั้นเองเหรอ ข้าว่าเจ้าดูไม่เหมือนสามัญชนคนธรรมทั่วไปเลยนะ”
อี้เฟยพูดพร้อมกับจับจ้องไปที่ใบหน้าของเกอหลงจนอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก ทำตัวไม่ถูก มีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งอี้เฟยเอ่ยออกมาอีกประโยค
“ที่แท้เจ้าก็คือเถ้าแก่นี่เอง”
สิ้นสุดคำพูดของอี้เฟย นางก็หันหน้ากลับไป เกอหลงจึงลอบพ่นลมหายใจพรืดราวกับได้หลุดพ้นกับอะไรบางอย่าง ก่อนจะกล่าวตอบกลับไปอีกเพื่อความแนบเนียน
“เจ้าก็กล่าวเกินไป เป็นเพียงแค่การค้าเล็ก ๆ เท่านั้นเจ้าอย่าใส่ใจนักเลย เรามาหาปลากันเถอะ”
เกอหลงพยายามที่จะปกปิดตัวเอง เพราะความจริงแล้วนั้นเขาเป็นองค์รัชทายาทเจ้าสำราญที่ออกท่องเที่ยวก่อนที่จะต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่ดันเกิดเหตุการณ์เรือล่มขึ้นมาเสียก่อน และที่เกอหลงไม่พูดความจริงนั้น ก็เพราะว่าเขาเริ่มจะรู้สึกดีกับบุตรสาวชาวประมงธรรมดาคนนี้เข้าให้เสียแล้ว และก็กลัวว่าถ้าหากนางรู้ว่าเขาเป็นใคร นางจะไม่ให้ความสนิทสนมเช่นนี้อีกต่อไป
“อืม เจ้าพายเรือไปตรงนั้นให้ข้าที”
“ได้เลย”
อี้เฟยพูดพร้อมกับชี้บอกทิศทาง และเมื่อล่องเรือออกมาจากชายฝั่งและถึงจุดที่จะหาปลาแล้ว อี้เฟยก็ลุกขึ้นไปยืนตรงบริเวณหัวเรือ หยิบไม้ไผ่ที่วางอยู่มาปักไปที่เลนใต้น้ำส่วนอีกมือนั้นก็ยกสุ่มจับปลามาปักลงไปในน้ำเช่นกัน แต่จังหวะที่จะดึงสุ่มขึ้นนั้น ด้วยความที่ตรงไม้ไผ่ปักมันเป็นดินที่ค่อนข้างอ่อนเกินไปทำให้อี้เฟยเสียหลักเซจะล้มพร้อมกับร้องเสียงหลงออกมา
“อ๊ะ! ว๊าย!”
แต่โชคดีที่เกอหลงพุ่งเข้าไปรับตัวของอี้เฟยไว้ได้ทัน ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในท่วงท่าที่ใบหน้าใกล้กันมาก สองคนสบสายตากัน แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าสากจะไม่หยุดนิ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าเนียนสวยเรื่อย ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายไหวตัวทันจึงรีบหันหลบและดันร่างหนาให้ออกไปจากการเกาะกุมเมื่อตั้งหลักได้แล้ว
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่เอาแต่เงียบ เพราะทำตัวไม่ถูก ผิวเนียนนุ่มของอี้เฟยเจื่อสีแดงจาง ๆ ตรงข้างแก้ม ส่วนเกอหลงก็ยกมือลูบต้นคอ ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเขิน ๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนย้ำเตือนให้เกอหลงรู้ใจของตัวเองมากขึ้น แต่เพื่อกู้สถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ เกอหลงต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวไม่ได้รู้สึกอะไร
“ระวังหน่อยสิ”
“อะ อืม”
หลังจากที่เกอหลงกับอี้เฟยช่วยกันหาปลามาได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็พากันเดินไปขายที่ตลาด และเมื่อขายหมดเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับ ระหว่างทางต้องเดินลัดเลาะภูเขาลูกหนึ่งเป็นปกติ แต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน เพราะอี้เฟยมีอาการเจ็บที่ข้อเท้าตั้งแต่ตอนนี้จะหล่นเรือ คาดว่าตอนนั้นข้อเท้าน่าจะพลิก เดินไปอยู่ดี ๆ อี้เฟยก็หยุดและทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด
ส่วนเกอหลงที่เดินนำไปไม่ไกลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินตามมาจึงหยุดแล้วหันหลังกลับไปมองทันเห็นตอนที่อี้เฟยมีสีหน้าเหยเกพอดีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“นั่นเจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นไร ๆ รีบไปกันเถอะ ข้าไหวแค่เจ็บข้อเท้านิดหน่อย”
“มาให้ข้าดูหน่อย”
“ไม่ต้อง”
“อย่าดื้อน่า”
คำว่าอย่าดื้อจากปากของเกอหลงทำให้อี้เฟยชะงักและยอมให้อีกฝ่ายก้มลงดูข้อเท้าของตนเองแต่โดยดี โดยที่นางก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม
“อะ โอ๊ย”
“ข้อเท้าพลิกอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมไม่รีบบอก ข้าจะได้ไม่พาเจ้าเดินไกลเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไปกันเถอะ ถึงเรือนแล้วข้าจะเอายามาทา ไม่นานก็คงหายดีแล้วล่ะ”
“แล้วแบบนี้จะเดินต่อไปได้อย่างไร ลุกขึ้น เดี๋ยวข้าจะแบกเจ้าเอง”
“มะ ไม่ต้อง”
“ขึ้นมาเถอะน่า”
เกอหลงไม่สนคำคัดค้านของอี้เฟย เขายื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับแล้วประคองตัวเองขึ้นมา ก่อนที่จะย่อตัวตั้งท่าให้คนเจ็บขาขึ้นหลังตนมา และหนทางที่เหลือต่อจากนี้เกอหลงก็เป็นฝ่ายนำพาอี้เฟยไปยังจุดหมาย ดูเหมือนว่าตอนนี้อี้เฟยก็เริ่มที่จะรู้สึกหวั่นไหวไปกับความแสนดีของเกอหลงแล้วเหมือนกัน
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... "ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม" ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง "เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ" ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !