/0/23574/coverbig.jpg?v=2514be6f5dbac335dce19f1f47d37e09)
ในราชสำนักที่เต็มไปด้วยการแย่งชิง และความกระหายอำนาจของอัครเสนาบดีหลี่ เพื่อปลดผนึกให้กับราชาปีศาจที่ถูกขัง เขาสามารถทำได้ทุกวิถีทางแม้กระทั่งเข่นฆ่าเอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปเป็นเครื่องสังเวย โดยเฉพาะเลือดบริสุทธิ์จากหญิงสาวพรหมจรรย์ ขอเพียงแผนการที่เขาวางเอาไว้สำเร็จลุล่วง ใต้หล้านี้เขาก็จะเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว! หลี่อวี้หลินศิษย์เอกแห่งสำนักซีเฟิง เป็นชายหนุ่มผู้มีความสามารถพิเศษ สามารถเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมและสามารถคุยกับศพได้ ได้รับมอบหมายให้ลงเขาไปช่วยองครักษ์เสื้อแพรสืบคดีที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ซับซ้อนของคดี อย่างคาดไม่ถึง.. เซียวจวิ้นหานรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสังกัดฝ่ายเหนือ เย็นชา ทำงานไม่เห็นแก่หน้าใคร ถูกสั่งให้ต้องร่วมมือกับเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ ซ้ำยังเจ้าสำอาง ขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉมที่งดงามเกินบุรุษ คนเช่นนี้จะทำงานข้างนอก ทนความลำบากได้สักแค่ไหนกันข้าไม่ร่วมมือกับเขาเด็ดขาด! แต่แม้จะคิดเช่นนั้น.. สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ พวกเขาสืบคดีร่วมกัน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย และอุปสรรคนานัปการ หลี่อวี้หลินได้แสดงความสามารถของตนเองให้เซียวจวิ้นหานได้เห็น พวกเขาร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรค ทว่าระหว่างสืบคดีอยู่นั้นหลี่อวี้หลินก็ค้นพบความลับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เขารู้ว่าเบื้องหลังของคดีนี้เกี่ยวข้องกับลัทธิมายาจันทรา มิหนำซ้ำผู้นำหลักหรือเจ้าลัทธิมายาจันทรายังเป็นบิดาของตนอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเกี่ยวพันถึงสายเลือดของตัวเขาเอง ไม่ใช่แค่อัครเสนาบดีหลี่เสียแล้ว.. คดีนี้จึงลึกลับและซับซ้อนยิ่งขึ้น เซียวจวิ้นหานเห็นการทำงานของหลี่อวี้หลินที่เห็นศพ การฆ่าฟัน ความยากในการสืบคดี เด็กหนุ่มที่เขาดูแคลนในตอนต้นทำงานได้อย่างไร้ที่ติ ขอเพียงสามารถทำให้คดีคืบหน้าและนำไปสู่ผลสำเร็จเขาย่อมทำโดยไม่อิดออด เซียวจวิ้นหานรู้สึกพึงพอใจมาก วัน เวลาที่พวกเขาทำคดีร่วมกันเซียวจวิ้นหานเริ่มชื่นชอบหลี่อวี้หลินมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับเซียวจวิ้นหานรู้สึกว่าตัวเขาเองมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับหลี่อวี้หลิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าความเชื่อมโยงนั้นคือความเชื่อมโยงแบบใด ความสัมพันธ์ของพวกเขานับวันยิ่งดีขึ้น และดีขึ้นจนเกิดเป็นความรัก..
ตอนที่ 1 สำนักซีเฟิง
ยอดเขาซีเฟิงเป็นสถานที่ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายในโลกมนุษย์ ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกบางและลมเย็นตลอดทั้งปี เป็นที่ตั้งของสำนักบำเพ็ญเพียรอันโด่งดัง นักพรตผู้ทรงคุณธรรมจากทั่วหล้ามักมารวมตัวกันที่นี่เพื่อฝึกฝนวิชาและแสวงหาสัจธรรม สำนักนี้มีชื่อว่า ‘สำนักซีเฟิง’ ตามชื่อของยอดเขาซีเฟิง เจ้าสำนักมีนามว่า ‘หลี่รุ่ยอวิ๋น’
ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่สายหมอกยังคงลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดเขา เด็กชายในวัยสิบขวบคนหนึ่งกำลังฝึกเพลงกระบี่อยู่กลางลานกว้าง เขาคือ ‘หลี่อวี้หลิน’ เด็กผู้ถูกนักพรตเจ้าสำนักเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเยาว์ หลังจากพบเขาถูกทิ้งอยู่กลางป่าลึกในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผล ที่คอยังห้อยจี้หยกชิ้นหนึ่งเอาไว้
หยกชิ้นนี้ที่ติดตัวเขามาสลักคำว่า ‘หลี่’ เอาไว้ด้านหน้า ด้านหลังสลักคำว่า ‘อวี้หลิน’
“ศิษย์น้อง เจ้าสำนักเรียกหาเจ้าแหนะ” ศิษย์พี่หวงเดินมาเรียกหลี่อวิ้หลินถึงลานฝึกกระบี่
“ทราบแล้ว ขอบคุณศิษย์หวงมากขอรับ” หลิ่อวิ้นหลินขานรับด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บกระบี่ไม้เข้าฝักแล้ววิ่งกลับไปยังเรือนพักของอาจารย์เจ้าสำนัก
ณ เรือนไผ่ซึ่งคือเรือนพักส่วนตัวของเจ้าสำนักกับหลี่อวิ้หลิน อาจารย์และศิษย์พักในเรือนไผ่ด้วยกัน เรือนไผ่หลังนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาอีกยอดเขาหนึ่งซึ่งแยกออกมาจากยอดเขาหลัก ปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง หลี่รุ่ยอวิ๋น เป็นนักพรตเขาเคร่งในการฝึกบำเพ็ญเพียรจึงไม่มีทั้งภรรยาและบุตร
ก่อนหน้าที่จะเก็บหลี่อวิ้หลินกลับมาเลี้ยงดูเขาอาศัยอยู่ที่สำนักซีเฟิงเหมือนกันกับเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์คนอื่น ๆ แต่หลังจากมีหลี่อวิ้หลินเพิ่มมาเขาจึงแยกตัวออกมาปลูกเรือนไผ่อยู่กันตามลำพัง เพื่อปลูกฝังเลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นอย่างดีด้วยความรัก เอ็นดูราวกับเป็นบุตรในไส้ของตนเองก็มิปาน
ตอนนี้ย่างเข้าปีที่สิบแล้วที่เขาเลี้ยงดูหลี่อวี้หลินมา จากเด็กเจ็ดขวบตอนนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้ว.. เด็กนับวันยิ่งเติบโตขึ้น ส่วนหลี่รุ่ยอวิ๋นก็นับวันยิ่งแก่ลงเรื่อย ๆ สีผมก็กลายเป็นสีขาวดอกเลาแซมสีดำไปเกือบหมดศีรษะแล้ว
หลี่อวิ้หลินวิ่งตรงเข้ามายังโถงรับแขกของเรือนด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใส “ท่านอาจารย์!..” เสียงเรียกมาก่อนตัวเสมอ
หลี่รุ่ยอวิ๋นส่ายหน้าพลางทอดถอนใจเขาไม่รู้ว่าตนเองเลี้ยงเด็กคนนี้มาอย่างไรถึงได้กลายเป็นเด็กซุกซนไปเสียได้ ครู่หนึ่งร่างของเด็กหนุ่มก็ปรากฏขึ้นที่ประตูทางเข้า
หลี่อวิ้หลินกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบานว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเรียกหาข้าหรือขอรับ..”
“มาใกล้ ๆ” หลี่รุ่ยอวิ๋นกวักมือเรียกสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าทีเช่นนี้ของอาจารย์ หลี่อวิ้นหลินเห็นแล้วหากยังเดาความคิดของผู้เป็นอาจารย์ไม่ออกเช่นนั้นแล้วเขายังนับเป็นศิษย์คนโปรดที่เติบโตมาเคียงข้างผู้เป็นอาจารย์ได้หรือ? “ท่านอาจารย์.. ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาไปครึ่งหนึ่ง ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย ช้อนสายตาขึ้นมองผู้เป็นอาจารย์ราวกับกำลังรอดูทีท่าของอาจารย์
“ไหนว่ามาสิเจ้าผิดเรื่องอะไร?” หลี่รุ่ยอวิ๋นเอ่ยถามพลางกวักมือเรียกไม่หยุด “เข้ามาใกล้อีกสักหน่อย..”
“ท่านอาจารย์.. ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ต่อไป ข้าจะสำรวมให้มากกว่านี้” หลี่อวิ้หลินโอดครวญค่อย ๆ ก้าวเท้าขยับเข้าไปใกล้ผู้เป็นอาจารย์ทีละนิด
พอเข้าไปใกล้ในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน หลี่รุ่ยอวิ๋นก็เปลี่ยนจากมือที่กวักเรียกเมื่อครู่เป็นคว้าที่ใบหูของหลี่อวิ้หลินแล้วออกแรงบิดเบา ๆ แทบไม่รู้สึก แต่ทว่าเสียงร้องกลับแว่วดังไปถึงเชิงเขา ทำเอาศิษย์อีกคนทีนำอาหารมาส่งสะดุ้งโหยงไปด้วย
“เอาอีกแล้วหรือนี่ ศิษย์พี่หลี่โดนท่านอาจารย์เจ้าสำนักทำโทษอีกแล้วหรือนี่ เห้อ..” กล่าวจบก็เดินส่ายหน้าหิ้วกล่องอาหารเข้าไปข้างใน และก็เป็นอย่างที่ตนคิดจริง ๆ
“สำนึก.. เจ้าพูดประโยคนี้กี่ครั้งแล้ว เจ้าอยากให้อาจารย์อับอายรึอย่างไร?” หลี่รุ่ยอวิ๋นกล่าวพลางออกแรงบิดหูศิษย์รักเบา ๆ อีกครั้ง
“ขอรับ.. อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว แต่ท่านอาจารย์ในยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นศิษย์หาได้ไม่สำรวมกิริยาสักครั้ง” หลี่อวิ้หลินกล่าวน้ำเสียงกระเง้ากระงอด พร้อมทำท่าสูดปากด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน
“ยังจะเถียงอีก!..” หลี่รุ่ยอวิ๋นปล่อยมือจากหูหลี่อวิ้หลินแล้วผลักเขาเบา ๆ ก่อนจะเอียงศีรษะไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านใน “มาแล้วหรือ? ลำบากศิษย์น้องแล้ว..”
หลี่รุ่ยอวิ๋นหันกลับมาตำหนิศิษย์ต่อด้วยการตวัดสายตามอง “เจ้าน่ะไม่รู้หรือว่านี่ยามใดแล้ว มัวแต่ฝึกกระบี่ จนลืมเวลาไปที่โรงครัวนำข้าวปลาอาหารมากิน เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องพากันลำบากเพราะเจ้าเพียงใด”
“ขอรับ.. เรื่องนี้ศิษย์สำนึกผิดแล้ว อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้อง อ๊า..ท่านอาจารย์ท่านไม่ต้องพูดแล้วขอรับศิษย์รู้แล้วว่าหลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วต้องทำเช่นไร..” หลี่อวิ้หลินกล่าวพลางยกมือห้ามไม่ให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องออกคำสั่งลงโทษ แล้วหันไปยักคิ้วข้างหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มให้กับศิษย์น้อง
“ขอบใจศิษย์น้องมาก ตอนเจ้ากลับลงไปรบกวนบอกห้องครัวว่าที่เหลือไว้ศิษย์พี่หลี่จัดการทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะลงไปจัดการด้วยตนเอง” หลี่อวิ้นหลินกล่าวกับศิษย์น้องที่นำอาหารมาส่ง
ชีวิตในแต่ละวันของหลี่อวิ้หลินหากไม่ฝึกเพลงกระบี่ ก็เป็นต้องนั่งบำเพ็ญเพียรปฏิบัติฌาน เขียนยันต์เป็นเช่นนี้..
หลี่อวี้หลินในวัยสิบเจ็ดปีเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสง่างาม ใบหน้าของเขางดงามราวกับภาพวาด ดวงตาเปล่งประกายความอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว ผิวขาวราวหิมะ แม้เขาจะเติบโตมาในสำนักที่เคร่งครัด แต่อวี้หลินกลับมีนิสัยร่าเริงและมีจิตใจอ่อนโยนต่อผู้คนรอบข้าง จึงเป็นที่รักของทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก
ทั้งยังมีความสามารถพิเศษทำให้เขาโดดเด่นแตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ ความสามารถพิเศษที่ว่าคือเขาสามารถมองเห็นภาพของคดีฆาตกรรมและพูดคุยกับวิญญาณได้ แม้เขาจะใช้ความสามารถนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในบางครั้งมันก็นำพาความทุกข์ยากมาสู่เขาเช่นกัน
“อวิ้หลินเจ้าต้องหมั่นฝึกฌานให้มากมิใช่ขยันแต่เพียงจะฝึกกระบี่เท่านั้น ต่อไปภายภาคหน้าหากต้องลงเขาไปปฏิบัติภารกิจช่วยขจัดทุกข์ภัยให้ชาวบ้านเจ้าจะได้ไม่ลำบาก” หลี่รุ่ยอวิ๋น อบรมสั่งสอนและกำชับด้วยความเมตตา
“ขอรับ.. ช่วงเช้าฝึกกระบี่ บ่ายเขียนยันต์ร่ายคาถา เย็นนั่งสมาธิฝึกฌานต่อไป ข้าจะหมั่นทำเช่นนี้เป็นอย่างไรขอรับ” หลี่อวิ้หลินขานรับพลางอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหนักแน่น
หลี่รุ่ยอวิ๋นส่ายหน้า “ก่อนอื่นวันนี้เจ้าก็ลงไปทำความสะอาดโรงครัว แล้วก็กวาดใบไม้ที่ลานฝึกเถอะ”
“อาจารย์..” หลี่อวิ้หลินโอดครวญสีหน้ากระเง้ากระงอด “วันนี้ข้ามิได้ทำผิดกฎระหว่างเราเลยนะขอรับ ช่วงเช้ามาข้าก็เริ่มด้วยการปัด กวาด เช็ด ถูกเรือน เสร็จก็ลงไปกวาดใบไม้ ลงไปรับอาหารที่โรงครัวเอง มื้อเช้าข้าก็เป็นคนลงไปนำอาหารขึ้นมาด้วยตัวเอง เพียงช่วงกลางวันศิษย์หลงลืมไปชั่วขณะเท่านั้น ลงโทษสองขั้นในคราเดียวไม่หนักไปหรือขอรับ”
“เดี๋ยวก็ข้า เดี๋ยวก็ศิษย์ เลือกเอาสักอย่าง ..แล้วไหนว่ามาสิ วันนี้เหตุใดเจ้าไม่ซักผ้า.. เจ้าไม่ซักผ้าแล้วเราสองคนจะเอาเสื้อผ้าที่ใดสวม เจ้าว่ามา.. โอย..” หลังจากตะเบ็งเสียงจบ หลี่รุ่ยอวิ๋นก็ทรุดกายลงไปนั่งหอบหายใจพลางดมยาหอมที่ห้องยาทำขึ้นเอง
หลี่อวิ้หลินเห็นอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนบิดาหอบหายใจหนักหน่วงจึงปรี่เข้าไปนวดขาให้ “ทว่าเรื่องซักเสื้อผ้าความจริงพรุ่งนี้ถึงจะถึงกำหนดซักมิใช่หรือขอรับอาจารย์”
หลี่รุ่ยอวิ๋นวางยาหอมลงไว้ข้างกาย จ้องมองศิษย์ด้วยแววตาลังเล ‘มิใช่วันนี้หรอกหรือ?’ หลี่อวิ้หลินเม้มฝีปากแน่นพยักหน้าหงึกหงักสีหน้าหนักแน่นราวกับกำลังตอบว่า ‘ขอรับเป็นพรุ่งนี้’ อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากใช้สมองคิดทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลี่รุ่ยอวิ๋นจึงกระแอมไอออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ถือว่าอาจารย์จำผิดแล้วกัน..”
เสียหน้าก็ส่วนเสียหน้า แต่เรื่องที่ควรยอมรับผิดก็ยังต้องยอมรับผิด เช่นนี้ถึงจะเป็นแบบอย่างที่ดีวให้กับศิษย์ได้
หลี่อวิ้หลินอมยิ้มน้อย ๆ ครั้นจะหัวเราะออกมาก็มิได้เพราะกลัวผู้เป็นอาจารย์จะเสียหน้าจึงช่วยกู้หน้าผู้เป็นอาจารย์กลับคืนมาว่า “แต่ดีนะขอรับที่ท่านอาจารย์ช่วยเตือนมิเช่นนั้นไม่แน่ว่าพอถึงพรุ่งนี้ศิษย์อาจจะลืมขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ ขอบคุณท่านอาจารย์”
ช่วงเช้าของวันที่ยี่สิบ เดือนห้า ขณะที่อวี้หลินกำลังฝึกกระบี่อย่างตั้งใจอยู่ที่ลานฝึก หลี่รุ่ยอวิ๋นผู้เป็นอาจารย์เดินเข้ามาใกล้เขาพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “อวี้หลิน วันนี้อาจารย์จะมอบหมายให้เจ้าลงเขาไปซื้อสมุนไพรกลับมาให้สำนักเจ้าพร้อมหรือไม่?”
ลงเขา! หลี่อวี้หลินเบิกตาโพลงด้วยหัวใจพองโต
อวี้หลินหยุดการฝึกกระบี่ลง พยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น “ขอรับ ท่านอาจารย์! ว่าแต่ท่านอาจารย์ให้ศิษย์ไปกับผู้ใดหรือขอรับ ศิษย์พี่คนใดเดินทางเป็นพี่เลี้ยงให้ศิษย์”
หลี่รุ่ยอวิ๋นส่ายหน้า ตอบน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่มี.. ครั้งนี้เจ้าต้องเดินทางลงเขาไปเพียงลำพัง”
“หา? .. เช่นนั้นจะได้อย่างไรขอรับ ศิษย์ไม่เคยลงเขาเลยสักครั้ง” อวิ้หลินคร่ำครวญ
“เหตุใดจะมิได้ เจ้าน่ะนะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า หากกะแค่เรื่องลงเขาไปซื้อยาสมุนไพรกลับมาให้สำนักเจ้ายังทำไม่ได้ ข้ามิเสียชื่อแย่หรอกหรือ?”
ที่แท้ก็กลัวเสียหน้านี่เอง..
“ออ..” อวิ้หลินแม้ไม่เข้าใจก็จำต้องเข้าใจ “ขอรับท่านอาจารย์ อาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะทำอย่างเต็มที่มิทำให้ท่านอาจารย์ต้องผิดหวัง”
การลงเขาครั้งนี้ถือเป็นการลงเขาครั้งแรกในรอบหลายปีของอวี้หลินนับตั้งแต่ที่เขาถูกพาขึ้นเขามา เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นโลกภายนอกอีกครั้ง ในใจลึก ๆ เขาก็ยังหวังว่าจะได้ใช้ความสามารถของตนช่วยเหลือผู้คนอีกด้วย
ไม่รู้ว่าการลงเขาครั้งนี้ข้าจะได้พบเรื่องราวน่าตื่นเต้นอะไรหรือไม่? หลี่อวี้หลินคิดในใจ
เขาไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะนำพาเขาเข้าสู่เหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล..
ในคืนเทศกาลตงจื้อที่ผู้คนกำลังออกมานอกบ้านเพื่อเฉลิมฉลองวันเข้าสู่ฤดูหนาวกันอย่างเป็นทางการ ด้วยความสนุกสนานและมีความสุข ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนต่างหวาดผวาขึ้น เหตุการณ์ที่ว่าคือ จวนนายอำเภอถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปสังหารคนทั้งตระกูลไม่เหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะบอกว่าไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แต่ก็ยังมีคุณชายหลิน 'หลินจินเซี่ย' บุตรชายเพียงคนเดียวของนายอำเภอหลิน 'หลินอัน' กับบ่าวรับใช้คนสนิทที่ออกไปเที่ยวชมความคึกคักของเทศกาลตงจื้อข้างนอกยังไม่กลับ เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปถึงเมืองหลวง ฝ่าบาททรงมีคำสั่งให้ 'เหอหลิงซี' คนผู้นี้มีตำแหน่งเป็นถึงนายกองร้อยขององครักษ์เสื้อแพรแห่งกองปราบฝ่ายเหนือ เป็นผู้รับหน้าที่ไปสืบคดีนี้ เดิมทีนายกองร้อยเหอหลิงซีไม่ต้องการให้หลินจินเซี่ยเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายแต่เพราะอีกฝ่ายอ้างว่าตนรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น และหากไม่ให้เขาเข้าร่วมในการสืบคดีเช่นนั้นเขาก็จะไม่ให้ความร่วมมือ และไม่บอกสาเหตุของเรื่องนี้ ทั้งยังจะสืบเองตามลำพังอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยกันค้นหาหลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่กุญแจไขคดีนี้ร่วมกัน ระหว่างที่พวกเขาร่วมมือกัน นายกองร้อยเหอหลิงซีได้ค้นพบความลับที่สำคัญอย่างหนึ่งเข้า ความลับที่ว่าคือหนึ่งในมือสังหารคือคนที่หลินจินเซี่ยไว้ใจที่สุด ใกล้ชิดที่สุด และรักที่สุด คนผู้นั้นก็คือมารดาของตัวเขาเอง แต่นางถูกสังหารไปพร้อมกับคนในสกุลหลินไปแล้วมิใช่หรือ? แล้วนางจะเป็นมือสังหารไปได้อย่างไร? นางทำไปเพื่อสิ่งใด ยังมีความลับอีกมากมายรอให้พวกเขาไปค้นหา มาร่วมกันค้นหาความจริงไปกับพวกเขากันเถอะ.. ...................................................................................................................................... เทศกาลตงจื้อ คือ วันเข้าสู่ฤดูหนาวของจีน
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
ในเมื่อความปรารถนาสูงสุดของอีกฝ่ายไม่ใช่ครอบครัว เธอจึงกลายเป็นคนที่เขาอยากเขี่ยทิ้งไปให้พ้นตัว เหตุผลที่เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ใช้ถ้อยคำหวานหลอกล่อจนหญิงสาวตายใจ ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจแต่งานกับเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ปรากฏขึ้น เพราะปรเมศเข้าใจผิด คิดว่าเขมิกาคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดาของเขาต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้เอ่ยคำบอกลา “เขมท้อง!” หญิงสาวตัดสินใจพูดเรื่องทารกน้อยในครรภ์ เพราะลึก ๆ แล้วยังแอบหวังที่จะได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อารมณ์ของเขมมิกาแปรปรวน เธอเองไม่อาจควบคุมได้ บางทีก็คิดอยากอยู่ประเดี๋ยวก็อยากไป “กี่เดือน” “หกสัปดาห์แล้วค่ะ” “เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร” “คุณปรเมศ!” เขมมิการู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เขาไม่ควรตั้งคำถามนี้กับเธอ “เอาเด็กนั่นออกซะ! นี่คือเงินที่ผมจะจ่ายให้กับคุณ นับจากนี้ไปเราสองคนเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับกัน” “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” “ผมไม่เคยลังเลที่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้เลยสักนิด” คำตอบที่ได้ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก มันจุกในอกเสียจนเธอแทบเสียสติ แต่ก็กลับมาได้เพราะทารกน้อย เธอต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด ปรเมศจะต้องเสียใจกับถ้อยคำที่เขาพูดกับเธอในวันนี้