“พ่อของข้าวโพดเป็นใคร!” คำถามที่ดังขึ้นทำพุดกรองตัวสั่นหน้าเสีย เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจไม่คิดว่าจู่ๆเขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก “ฉันถามว่าพ่อเด็กนี่เป็นใครพุดกรอง!” ยิ่งอีกคนแน่นิ่งชาญยิ่งต้องค้นหาคำตอบให้กับตัวเองโดยเร็วที่สุด ยังไงวันนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใคร! ใครกันแน่ที่เป็นพ่อของเด็กคนนี้!
เกิดความโกลาหลยกใหญ่ขึ้นภายในไร่ธนาสินธุ์เมื่อจู่ๆ นาย ‘ดำ’ หัวหน้าคนงานเก่าแก่ก็หายตัวไปพร้อมกับเงินค่าแรงของคนงานนับร้อยชีวิต จำนวนของเงินที่หายไปนั้นมากมายมหาศาลเพียงพอที่จะทำให้เขาหนีไปตั้งตัวได้ใหม่โดยไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร จะมีก็แต่บุตรสาวที่มีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้นั่งร้องไห้เฝ้ารอการกลับมาของพ่อเพียงลำพัง
“มีคนเห็นไอ้ดำมันขึ้นรถตู้จากท่ารถไปเมื่อตอนสายไม่ผิดตัวแน่ครับคุณหญิง” หนึ่งในคนงานที่ออกตามล่าคนผิดจำต้องรีบแจ้งข่าวร้ายให้ผู้เป็นเจ้านายได้ทราบทันทีที่ลงจากรถ ทว่าสายตาของนางพิศเพลานั้นกลับไม่ได้ให้ความสนใจใครเลยนอกเสียจากเด็กน้อยตาดำๆ เนื้อตัวมอมแมมตรงหน้า ความรู้สึกเดียวที่มีต่อเด็กคนนี้คือความสงสารจับหัวใจ
“จะต้องเป็นพ่อที่เลวขนาดไหนถึงได้ทิ้งลูกแล้วหนีไปใช้ชีวิตสุขสบายคนเดียวแบบนี้ได้! สั่งคนของเราให้เลิกตามหา ในเมื่อมันกล้าที่จะทรยศบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของฉัน! ก็ปล่อยให้เวรกรรมตามสนองมันไป คนเลวๆ แบบนั้นไม่มีวันเจริญหรอก!” ทุกคนต่างเคารพในการตัดสินใจของผู้เป็นนาย แต่จะมีบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้คนผิดลอยนวล
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะขัดคำสั่ง
“แล้วจะทำยังไงกับนังเด็กนี่ดีครับคุณหญิง ให้ผมเอามันไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าดีไหมครับ” หนึ่งในคนงานตัดสินใจถามขึ้นเพราะเท่าที่ดูเด็กน้อยที่เอาแต่นั่งร้องไห้กอดตุ๊กตาหมีตัวเก่าไม่มีญาติที่ไหนเลยนอกจากผู้เป็นพ่อที่หนีหายไป ซ้ำร้ายยังใจดำทอดทิ้งลูกของตัวเองได้ลง
“แกเห็นฉันเป็นคนใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยรึ! หมาแมวยังเก็บมาเลี้ยงได้จนกินอิ่มนอนหลับ นับประสาอะไรกับเด็กตาดำๆ คนเดียวที่จะเลี้ยงไว้เอาบุญมันไม่ได้ นังสร้อยนังอ่อน! เดี๋ยวพวกแกพาเด็กนี่กลับบ้านใหญ่ จับมันอาบน้ำอาบท่าแล้วหาข้าวหาปลาให้กินเสีย” คุณหญิงพิศเพลาใช้เวลาคิดไม่นาน จึงตัดสินใจหันไปสั่งคนสนิทที่คอยติดตามทั้งสอง
“คุณท่านจะเลี้ยงมันเอาไว้เหรอคะ แต่นังเด็กมันเป็นลูกโจรนะคะ” เดือดร้อนนางสร้อยคนสนิทที่จำต้องถามซ้ำ ไม่นึกเห็นด้วยกับผู้เป็นนายที่จะเลี้ยงลูกโจรเอาไว้ใกล้ตัว ด้วยกลัวว่าเรื่องเลวร้าวอาจซ้ำร้อยเข้าสักวัน
“ลูกโจรแล้วมันยังไง! พ่อเลวก็ใช่ว่าลูกมันจะต้องเลวตามไปด้วยเสียเมื่อไหร่กัน ให้มันรู้กันไปสิว่าฉันจะเลี้ยงเด็กนี่ให้ดีผิดพ่อมันไม่ได้!” เจ้าของคำถามถึงกับหน้าสลดเมื่อเจอเข้ากับคำต่อว่าซึ่งๆ หน้าจากนาย
“ว่าแต่ใครรู้บ้างว่ามันชื่อแส่อะไร”
“เห็นพ่อมันชอบเรียกว่านังพุดครับคุณหญิง ชื่อจริงพุดกรองครับ” คุณหญิงพิศเพลายิ้มรับกับชื่อเด็กที่พ่อแม่เข้าใจตั้งให้ สายตาของนางอ่อนแสงลงยามจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าให้ถนัดตา เชื่อในสายตาของตนเองว่าเด็กนี่จะต้องได้ดีในภายภาคหน้า ท่านจะทำให้ทุกๆ คนได้เห็นว่าคนเราดีชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ ไม่ได้อยู่ที่สันดานของใครอย่างที่พวกมันแอบคิดกัน
“เอาล่ะแม่พุดกรอง…จากนี้ไปเธอเป็นคนของฉัน ไปอยู่เสียด้วยกัน ฉันจะสั่งสอนให้โตขึ้นเป็นคนดี จะให้เรียนสูงเท่าที่หล่อนอยากจะเรียน” นั่นคือคำสัญญาที่เด็กน้อยทำได้เพียงยิ้มรับอย่างไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้กระทั่งว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปชีวิต ของเธอจะถึงจุดเปลี่ยนตลอดกาล
สิบเจ็ดปีต่อมา
ภาพของเจ้าของร่างบอบบางอ้อนแอ้นเจ้าของใบหน้างดงามที่กำลังวิ่งลัดผ่านทุ่งข้าวโพดสีเขียวชอุ่มมักจะเป็นภาพที่คนงานภายในไร่ธนาสินธ์ต่างได้เห็นกันจนชินตาแทบทุกวัน มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อหญิงสาวกลับมาจากมหาลัยด้วยรถประจำที่จะส่งเพียงแค่หน้าไร่เท่านั้น หนทางที่เหลือเกือบสี่กิโลเมตรเธอจำต้องเดินเท้าเข้าไป แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับพุดกรองแม้แต่น้อย เพราะการได้เดินกินลมชมวิวไร่ข้าวโพดยามเย็นแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ ในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
“ทำข้อสอบได้ไหมเล่านังพุดวันนี้” นางแช่มหนึ่งในคนงานร้องถามเมื่อจำได้ ว่าวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนเรียนจบมหาลัยของหญิงสาว
“ทำได้จ๊ะน้าแช่ม เดี๋ยวพุดขอตัวขึ้นไปหาคุณท่านที่เรือนใหญ่ก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวจะกลับมาช่วยคัดข้าวโพด” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะวิ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ สถานที่ซึ่งผู้มีพระคุณของเธอรอฟังข่าวดีอยู่ที่นั่น
คุณหญิงพิศเพลา นายใหญ่ของที่นี่คือคนที่เธอกำลังกล่าวถึง ท่านไม่เพียงแต่มีพระคุณกับเธอเท่านั้น ยังให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพึง และที่มากกว่าอะไรทั้งหมดนั้นคือการส่งเสียเธอให้ได้เรียนมานับตั้งแต่จำความได้ เธอรู้เรื่องราวในชีวิตของตัวเองผ่านจากปากของคนงานคนอื่นๆ และเรื่องเดียวที่ทำให้รู้สึกแย่คือเรื่องของบิดาที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ก่อนจะหนีหาย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีใครได้ข่าวจากท่านเลย แม้แต่เธอเอง
ชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนั้นมีอายุเพียงสี่ขวบถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาใหม่ด้วยความรัก ความเมตตาของคุณหญิงพิศเพลาและคุณประนอมลูกสะใภ้ที่เพิ่งจะเสียไปเพราะโรคร้าย ไม่เคยมีเลยสักวันที่เธอจะหลงลืมประคุณของทั้งสองท่าน และวันนี้วันที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา ซ้ำยังสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดันหนึ่งมาครองได้สมใจ คนแรกที่ได้บอกก็คือคุณท่าน ผู้ซึ่งคาดหวังในตัวของเธอเอาไว้มาก และเธอก็เคยไม่ทำให้ท่านผิดหวังสักครั้ง ทำทุกๆ อย่างตามที่ท่านได้สอนสั่งมาตลอดหลายสิบปี
“คุณท่านคะ” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยดีใจของคนที่รออยู่ทำให้คุณหญิงพิศเพลายิ้มเมื่อได้เห็นก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่ต้องการจะรู้ออกมา
“ยังไงเล่าแม่คนนี้ เดินปกติเหมือนชาวบ้านเขาไม่เป็นรึถึงได้วิ่งเหงื่อท่วมหน้ามาแบบนี้” แม้คำพูดของหญิงชราจะเหมือนตำหนิแต่พุดกรองก็รู้ได้ว่าท่านไม่ได้คิดจริงจังกับท่าทีเป็นม้าดีดกะโหลกของเธอเท่าไหร่
“พุดทำได้แล้วค่ะ พุดเรียนจบแล้ว แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยค่ะ” พุดกรองเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งอีกคนก็ยิ้มร่วมด้วยเมื่อได้รู้ข่าวดีของคนในปกครอง ไม่ได้แปลกใจเสียทีเดียวที่พุดกรองจะทำได้เพราะนางเลี้ยงมาเองกับมือมีหรือที่จะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ใฝ่ดีแค่ไหน ไม่ว่างานบ้านงานเรือนรึก็เป็นหมด ใครได้ไปเป็นเมียคงสุขสบาย
“เก่งสมกับที่ฉันคาดหวังเอาไว้จริงๆ ฉันดีใจด้วยนะแม่พุด แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าเรียนจบหล่อนอยากจะทำอะไรต่อ” อนาคตของใครก็ย่อมมีความสำคัญทั้งนั้น นางเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกลไม่ว่าจะเลือกทางไหน
“พุดอยากช่วยงานในไร่ค่ะ” พุดกรองตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เธอรักที่นี่ อยากใช้ความรู้ความสามารถที่สู้อุตส่าห์เรียนมาทำประโยชน์ให้ผู้มีพระคุณไม่มากก็น้อย ส่วนเรื่องอื่นแทบไม่เคยคิดถึงเพราะถือคติว่าเธอเกิดและเติบโตที่นี่ ที่นี่จึงไม่ต่างอะไรจากบ้านของเธอ
“พี่นุยังรักลินอยู่ไหม...” คำถามที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนถามมันกับเขาดังขึ้น มันคือคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้คำตอบ เพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดไม่ตรงใจขึ้นมาเธอคงเจ็บปวดเจียนตายน่าดู แต่เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนอยู่กับความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ไม่ไหวแล้ว “ลิน ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน…” ปรเมศวร์เองก็เริ่มได้สติหลังจากได้เห็นแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวของอีกคนเข้า มันทำให้เขาคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตรงไหน และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เขาเองที่ผิด ผิดที่พาช่อลดามาที่นี่
“เทียนไม่หวังสูงขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่พูดเพราะเป็นห่วงเท่านั้น” พลอยบุหลันตอบเสียงแผ่วก่อนจะพาตัวเองเดินหนีกลับมาที่ห้อง เพราะไม่อยากอยู่ให้เกะกะสายตา หรือสร้างความรำคาญให้กับเขาอีก หญิงสาวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเริ่มต้นสวดมนต์เหมือนทุกคืน ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอน และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ “ฝันดีนะคะตัวเล็กของแม่…”
“ลูกศัตรูอย่างเธอที่โซฟานี่ก็พอมั้ง! เพราะว่าเตียงนั่นฉันเก็บเอาไว้ให้ เมีย ในอนาคตของฉัน!” เขาเน้นย้ำถึงคำว่า เมีย อย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะโยนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบลงโซฟาอย่างไม่ออมมือนัก “โอ้ย! บุญเจ็บค่ะ…”
“กล้าดียังไงเที่ยวไปให้ท่าไอ้สารวัตรนั่น!” ชรัสตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่หล่อนทำลงไปในวันนี้มันหักหน้าเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบให้เธอทำเรื่องพวกนี้ขณะที่ยังเป็นเมียเขาอยู่! “อินทำอย่างนั้นตอนไหนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ทะ…ทำไมคุณไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะคะ” คนได้ยินไม่ได้นึกตำหนิอะไรคนช่างถาม เขายิ้มก่อนจะเอ่ยตอบไปตามความจริง “จะต้องใส่ให้เสียเวลาทำไมล่ะครับ เพราะอีกเดี๋ยว…ก็ต้องถอดออกอยู่ดี” คำตอบที่มาพร้อมจูบหนักๆ ที่แก้มขวาทำเอาคนที่ยังเตรียมใจรับกับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว ย่นคอหลบหนีความซาบซ่านพัลวัน “คะ…คุณลูซคะ คะ…ว่าภัส…”
“ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องลูกในวันที่แกวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกฉันว่าคุณป่านตอบตกลงจะแต่งงานกับแก!” ความจริงที่ได้รู้กลับกลายเป็นธเนศเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก เขายังจำภาพของเอื้องทรายที่กอดเขาร้องไห้ปานจะขาดใจในวันนั้นที่ว่าได้ดี แต่เพราะมัวหลงดีใจมากไปเลยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเธอไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่เขาสมหวังกับอดีตคนรัก แต่มันคือความเสียใจ...ความเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้ที่ต้องมารับฟังมันจากปากของเธอเอง ความโกรธก่อนหน้าค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจในที่สุด
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"