บุณย์นราถูกฉุดออกมาจากห้องหอในคืนแต่งงาน ซ้ำยังถูกข่มเหงจากชายโฉดจนย่อยยับ หากแค่นั้นเรียกว่าโชคร้ายแล้ว การต้องมาเจอชายคนนั้นอีกครั้ง ในสถานะของประธานบริษัท ที่เธอเพิ่งได้งาน ไม่โชคร้ายยิ่งกว่าหรือ เพราะทันทีที่เห็นหน้าเธอ เขาก็มีคำสั่ง ให้ไล่เธอออก แต่กลับยื่นขอเสนออันสุดแสนร้ายกาจเป็นทางเลือก ราวกับรู้ว่าบุณย์นรากำลังอับจนซึ่งหนทางอยู่ ###### “ตำแหน่งที่เธอทำอยู่ ที่นี่ไม่ได้เปิดรับ” บุณย์นราตากระตุกถี่ยิบขึ้นเหมือนกัน มันมีด้วยหรือ ไม่เปิดรับ แล้วประกาศออกไปแต่แรกทำไมว่ารับคน “ไม่รับพนักงานตำแหน่งที่ว่า แล้วที่นี่รับตำแหน่งอะไร” จบคำถามของเธอปุ๊บ เสียงตอบห้วนสั้นก็ดังขึ้น “แม่บ้าน” ขุนพลเลิกคิ้วมองนายนิด ๆ ส่วนบุณย์นราก็นิ่งไป อันที่จริงไม่ได้รังเกียจงาน แต่ก็ติดเรื่องวุฒิ เรื่องเงินเดือน เธอมาสมัครงานเพราะอยากได้เงิน แล้วไอ้ที่เรียนมาสี่ปีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรียนมาแทบตาย แล้วให้ไปเป็นแม่บ้าน อีกอย่างแม่บ้านก็ไม่มีโอกาสก้าวหน้าเอาเสียเลย คิดได้อย่างนั้นก็จ้องตาเขานิ่ง ทำอย่างไรดี ตอนนี้เธอจนตรอกแล้ว มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วเลยกลั้นใจถามออกไป เสียงอ่อยลงเล็กน้อย “แม่บ้าน เงินเดือนเท่าไร” “ห้าหมื่น” เงินเดือนขนาดนั้น ทำบุณย์นรางันไปราวกับถูกแช่แข็ง นักรบเห็นอาการของคนตรงหน้า ก็ออกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ไหนขุนพลบอกเพดานเงินพวกเด็กจบใหม่ไว้ที่หมื่นห้าไงวะ นี่เขาให้ตั้งห้าหมื่น ทำไมยายนี่ได้ยินยังทำเฉยอยู่ เลยกระแอมทีหนึ่ง เสริมเสียงแข็ง ๆ ต่ออีกว่า “อาหารที่พักมี ฟรีไวไฟ แต่ต้องอยู่ประจำที่บ้านตลอด ไม่รับแบบไปเช้าเย็นกลับ” บุณย์นราตัดสินใจได้ตั้งแต่ได้ยินตัวเลขครึ่งแสนนั่นแล้ว อารมณ์เดือดดาลของเธอก็สงบลงเกินครึ่งแล้วด้วย เลยถามเสียงอ่อนกลับไปถึงขอบเขตงาน “แม่บ้านที่ว่านี่ ต้องทำอะไรบ้าง” “ทำอาหารกับงานสวนแค่นั้นมั้ง ห้าหมื่นน่ะ” นักรบถามกลับหน้าตาย บุณย์นรามองอย่างคืบแคลงแล้วถามกลับเหมือนกัน “นั่นสิ แม่บ้านอะไร ทำไมเงินเดือนตั้งห้าหมื่น” “แม่บ้านที่รับก็คือต้องทำงานในบ้านทั้งหมด รวมถึงงาน...บนเตียง” นักรบเน้นคำหลังเป็นการเฉพาะ แววตาของเขาก็วาววับขึ้นเล็กน้อยอีกด้วยบุณย์นราเกือบตอบตกลงอยู่แล้ว หากไม่สะดุดกับคำหลังสุดที่หลุดจากปากเขาเข้าเสียก่อน
งานเลี้ยงงานแต่งของลูกชายเสี่ยคาเช็งจัดไม่เงียบนัก กระนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตพอสมกับฐานะพ่อค้ารายใหญ่คนดัง ดูแล้วออกจะผิดธรรมเนียมปฏิบัติของวงศ์ตระกูลอยู่ไม่น้อย แทนที่จะจัดอย่างหรูหราในโรงแรมมีชื่อ แต่นี่กลับเลือกจัดที่ลานหน้าบ้านเช่าหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกับเจ้าสาวเพียงเท่านั้น
โต๊ะกินเลี้ยงมีสิบโต๊ะ อารมณ์คล้ายจัดกินดื่มให้พรรคพวกเพื่อนพ้องลูกน้องเสียมากกว่า ใครผ่านไปมามองแทบไม่ออกว่านี่คืองานเลี้ยงงานแต่งงาน ถ้าไม่เห็นป้ายเล็ก ๆ ที่มีชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวแขวนเอาไว้ตรงด้านในสุดของขอบเวทีนั่น
บุณย์นรา 💕 กฤตยชญ์
หญิงสาวเจ้าของชื่อบนป้ายนั่งยิ้มฝืน ๆ เมื่อมีคนส่งแก้วให้เธอ แต่แล้วกฤตยชญ์ก็ยื่นมือรับไปดื่มเสียเอง
เธอผ่านพิธีงานช่วงเช้าที่จัดแบบรวบรัดมาแล้ว หลังจบพิธีพวกนั้นก็เห็นคนของเจ้าบ่าวเริ่มตั้งโต๊ะดื่มกันทันที ได้ยินเพื่อนเขาแซวตอนเริ่มดื่มไปได้พักหนึ่งแล้ว ว่า
“ฤกษ์ส่งตัวเข้าหอตั้งสี่ทุ่ม ทำไมไม่ให้ไวกว่านี้หน่อยวะ”
เลยอยากลุกหนีออกจากตรงนั้นนัก แต่ก็ไปไหนไม่ได้ ต้องทนนั่งปั้นยิ้มน้อย ๆ ตามองบรรยากาศรอบงานไปพลาง ฟังเพลงไปพลาง เตรียมตัวเตรียมใจเป็นเจ้าสาว เมื่อการเฉลิมฉลองจบลง จะว่าไปแล้วถึงเวลานั้นเธอก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ บอกตัวเองว่าต้องทำใจ ในเมื่อเธอเลือกที่จะทำแบบนี้แล้ว
พลันเสียงจากวงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้น เจ้าบ่าวขยับตัวตามจังหวะและสนุกกับการดื่มกินกับพวกพ้องกว่าเดิม เห็นเขาเพียรรับแก้วจากคนอื่นมาดื่มจนใบหน้าเริ่มออกสีแดง บทสนทนาบนโต๊ะก็เริ่มแย่ลง ฟังหยาบโลนและคุกคามเธออยู่ไม่น้อย
ตอนนั้นเองที่บุณย์นราได้ยินเจ้าบ่าวเอ่ยปรามพรรคพวกเขา
“พอได้แล้ว! เดี๋ยวน้องบุณของกูกลัวไม่ยอมเข้าห้องหอขึ้นมา กูจะยิงหัวพวกมึงรายตัวเลยคอยดู”
นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
ปกติคุณกฤตยชญ์ออกจะเป็นคนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ช่างเอาใจ ที่สำคัญเขานิสัยรวยมาก และเขาก็ไม่ได้ดีแต่กับเธอ กับครอบครัวของเธอ เขาก็ยังดีไม่น้อยเลย นอกจากให้เงินก้อนหนึ่งกับบัญชา พี่ชายของเธอเอาไปต่อทุนแล้ว ยังช่วยใช้หนี้ดอกเบี้ยมหาโหดจากเงินกู้นอกระบบที่ครอบครัวของเธอไปกู้มาอีกด้วย
“นายดื่มได้อีกแก้วเดียวแล้วนะครับ ไม่อย่างนั้นความดันจะขึ้น แล้วอาจจะ... ไม่ไหว” เสียงยอช ลูกน้องคนสนิทกระซิบบอกกับผู้เป็นนายของตัวเอง
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย มีหรือจะไม่ได้ยิน เลยขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่สบตากับคนในงานอีกต่อไป เมื่อพบว่าพวกนั้นมองมาด้วยสายตาเช่นไร แม้เพิ่งเรียนจบมาหมาด ๆ ปริญญาบัตรก็ยังไม่ได้รับ แต่พออ่านแววตาอ่านความรู้สึกของคนได้บ้าง
จึงผินหน้าไปทางอื่น มองหาคนในครอบครัวที่นั่งแยกอยู่อีกโต๊ะตรงมุมสุดของลานจัดเลี้ยง เห็นว่าทางนั้นมองเธออยู่เช่นกัน เลยฝืนยิ้มกว้าง ๆ ให้พวกเขาสบายใจ มองทางเจ้าบ่าวเห็นเขาคุยกับเพื่อนที่ล้อมรอบตัวท่าทีออกรสออกชาติ จึงค่อยหันกลับไปมองที่วงดนตรีชื่อดัง บนนั้นมีนักร้องสาวสวยแต่งตัวยั่วยวนกำลังเล่นเพลงสดกันอยู่
อีกหลายนาทีต่อมา บุณย์นราถึงได้ยินลูกน้องของเจ้าบ่าวคุยกันอยู่ที่โต๊ะด้านหลังเยื้องออกไปเล็กน้อย
“เห็นงานสงบแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย ดีนะที่นายให้คนปล่อยข่าวลวงสายของมัน ว่าจัดงานแต่งที่โรงแรมในเมืองโน่นโง่ฉิบหายเลย เมื่อกี้ไอ้นนท์มันโทรมารายงานนายแล้วว่าในโรงแรมเละเป็นโจ๊กเพราะมีคนไปถล่มงานมา”
“แล้วถ้ามันไม่โง่ล่ะวะ”
“มึงจะพูดทำไม กูยิ่งเสียวสันหลังอยู่ว่ามันอาจจะรู้ทันนายของเรา”
บุณย์นรามุ่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคนของกฤตยชญ์คุยกันด้วยน้ำเสียงเหมือนกริ่งเกรงบุคคลที่สามเช่นนั้น แล้วหันไปมองการแสดงต่อเมื่อนักร้องโชว์เพลงยอดนิยมให้ได้ฟัง ผ่านไปเป็นครู่ใหญ่แล้วถึงได้ยินยอช คนสนิทของกฤตยชญ์เข้ามากระซิบใกล้ ๆ
“ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้วนะครับ”
เจ้าบ่าวที่ใบหน้าแดงก่ำ ค่อยหมุนคอมองที่เธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ราวกับจะถอดชุดของเธอออกทั้งตัวด้วยสายตาคู่นั้น ถามด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย “พร้อมไหมครับน้องบุณ พี่ฟาสพร้อมมาก ๆ” ว่าจบตบอกตัวเองดัง ๆ แล้วลุกพรวดขึ้น แต่ก็เซส่ายไปส่ายมาจนเกือบล้ม คนของเขาถลาเข้ามาช่วยประคองแทบทั้งงานในวินาทีนั้นเอง
กฤตยชญ์สะบัดตัวออกจากฝูงลูกน้อง ตรงมาคว้ามือเธอจูงเข้าบ้านไม่สนสายตาใครอื่นอีก ห้องหอคือห้องห้องหนึ่งภายในบ้านเช่าหลังนั้น ถูกจัดแต่งใช้ไปพลาง ๆ ก่อนในคืนส่งตัวคืนนี้กฤตยชญ์บอกกับพ่อแม่ของเธอ ว่าเขาจะพาเธอย้ายเข้าบ้านของเขาในวันถัดไป
ผู้ใหญ่ฝ่ายเธอมีพ่อ แม่ พี่ชายและพี่สาวมากันครบหมด แต่ทางฝั่งเจ้าบ่าวกลับไม่มีผู้ใหญ่ของเขาเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงกฤตยชญ์ เพื่อนและลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามสองคนยืนคุมเชิงที่หน้าห้อง พิธีส่งตัวเลยไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายนัก
“คุณพ่ออำนวยกับคุณแม่นวลตาอวยพรบ่าวสาวเลยครับ เดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเสียก่อน เฮียแกถือฤกษ์ด้วยสิครับ” ยอชเร่งทางบิดามารดาของเธอ เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว
นายอำนวยและนางนวลตาจึงพยักหน้าตอบรับ รีบตรงเข้ามาอวยพรให้เธอกับกฤตยชญ์พร้อมกัน ส่วนบัญชากับบุณฑริกา พี่ชายและพี่สาวของเธอได้แต่มองแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ไม่มีใครพูดจาอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ให้ผู้ใหญ่ซึ่งในที่นี้มีแค่สองคนเท่านั้นให้พรให้คำแนะนำการใช้ชีวิตคู่กันไป
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
ซ่งชิงเหอโดนหักหลังและกลายเป็นฆาตกรในสายตาคนอื่น เธอจึงหย่ากับสีจั้นถิง สามีของเธอ และเดินทางออกจากเมืองหวยไปด้วยความเกลียดชัง หกปีต่อมา เธอหวนกลับมาราวกับนกฟีนิกซ์พร้อมกับคู่แข่งของสามีเก่าเธอ เธอเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง เธอสาบานกับตัวเองว่าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับเธอ เธอยอมร่วมมือกับเขาเพียงเพื่อแก้แค้น โดยไม่รู้เลยว่าเธอตกเป็นเหยื่อของเขาไปแล้ว ในเกมแห่งความรักและความปรารถนา ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะที่แท้จริงจะเป็นใคร
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
‘ทริปฮันนิมูนที่ไม่ได้มีแค่เรา แต่ฉันและเขายังมีผู้ร่วม ทริปเข้ามาสร้างสีสันอีกมากมาย’ หลังแต่งงาน ตฤณก็พาภรรยาสาววัยละอ่อนอย่างยี่หวาไปฮันนิมูนเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่น ๆ แต่การเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับสามีผู้เป็นนักธุรกิจในครั้งนี้ กลับทำให้ยี่หวาได้รู้ว่าตฤณสามีของเธอมีรสนิยมทางเพศแบบไหน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาทำให้เธอได้รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะได้รู้จักด้วยซ้ำ ตฤณจะพายี่หวาไปฮันนิมูนที่ไหน อย่างไร และกับใคร ติดตามอ่านได้ใน “ฉ่ำรักเมียนักธุรกิจ” แนะนำตัวละคร ยี่หวา : สาวสวยวัย 24 ปี ผู้มีผิวขาว และรูปร่างอวบอัด แต่น่าทะนุถนอม นิสัยอ่อนหวาน ว่าง่าย แต่เป็นคนอยากรู้อยากลอง ยี่หวาเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ตฤณทำกับเธอในห้องหอนั้นมันก็แค่น้ำจิ้ม เพราะเมื่อเดินทางไปฮันนิมูนกับตฤณจริง ๆ เธอกลับได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ จนเธอติดอกติดใจอย่างยากจะถอนตัว สำหรับยี่หวาแล้ว 'คืนเข้าหอที่เคยคิดว่าเด็ด ยังไม่เผ็ดเท่าทริปฮันนิมูนที่สามีหนุ่มจัดให้' ตฤณ : นักธุรกิจหนุ่มวัย 34 ปีหนุ่มลูกเสี้ยว บ้างาน แต่เวลาคลายเครียดก็สนุกสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ตฤณหมั้นหมายกับยี่หวาตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่เพราะถูกใจในความน่ารัก แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเพราะยี่หวาเป็นเด็กดี และไม่เคยดื้อกับเขาเลยสักครั้ง ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ ถึงจะใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
สวัสดีครับพี่สาวตัวน้อยของผม เราสองคนไม่ได้เจอกันมาก็นานแล้วนะ พี่คงไม่รู้ว่าปีนี้ผมก็สูงขึ้นอีกแล้ว แต่ผมรู้นะ ว่าพี่น่ะไม่สูงขึ้นเลยสักนิด พอถึงวันที่เราได้เจอกันอีกครั้ง พี่จะจำผมได้ไหมนะ😊