ช่วงชีวิตมัธยมหลายคนมักจะมีเพื่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวันตลอด แต่ซึฮากิเป็นคนที่แปลกประหลาดเพราะมักจะทำตัวเหินห่างจากผู้คนแต่ก็ดันมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักทาย พูดคุย ไม่ว่าจะไปไหนเธอก็จะเดินตามไปทุกที่
ช่วงชีวิตมัธยมหลายคนมักจะมีเพื่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวันตลอด แต่ซึฮากิเป็นคนที่แปลกประหลาดเพราะมักจะทำตัวเหินห่างจากผู้คนแต่ก็ดันมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักทาย พูดคุย ไม่ว่าจะไปไหนเธอก็จะเดินตามไปทุกที่
ภาคที่1 HIN ตอนที่1 ความเคยชิน
21สิงหาคม พ.ศ. 2416
ตึก…ตึก…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของเด็กตัวน้อย ๆ ที่เดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ไปตามท้องถนนลูกรังในช่วงยามวิกาลไร้ซึ่งผู้คนและการสัญจรอีกทั้งฟ้าก็มืดสนิทมีแต่แสงจันทร์ที่ส่องสว่างให้เห็นทางแต่ก็ถูกเมฆบังจนแทบจะไม่สามารถส่องแสงลงมาที่พื้นได้มากนัก ข้างทางก็เห็นแต่เงาของต้นไม้และเสียงจากใบไม้ที่ถูกลมพัดไปมาตลอดเวลา
เมื่อกวาดสายตามองไปมาก็มีแต่ความมืดอยู่รอบตัว ทุกครั้งที่ลมพัดมาถูกตัวประกอบกับอากาศตอนกลางคืนที่หนาวเย็นทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที พื้นถนนขรุขระเต็มไปด้วยหินก้อนเล็ก ๆ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าแล้วเหยียบลงพื้นจะต้องค่อย ๆ วางเท้าอย่างช้า ๆ ฝ่าเท้าทั้งเล็กและหยาบที่เต็มไปด้วยรอยแผลขีดข่วนและรอยช้ำมากมาย
รวมไปถึงร่างกายที่ผอมโซเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูกไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้ ชุดที่ใส่ก็ขาดลุ่ยจนไม่อาจให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ได้แต่กอดตัวเองด้วยมือและแขนเพื่อให้ตัวเองอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ถึงกระนั้นความหนาวก็เริ่มรุนแรงขึ้น
ตัวที่สั่นเป็นเจ้าเข้า แผลสด ๆ มากมายตามตัวกับเท้าเริ่มแห้งและแข็งตัวจนการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งทำให้มันฉีกออกและสร้างความเจ็บปวดทรมาน
อ๊าก เสียงร้องแหบ ๆ เบา ๆ เมื่อยกฝ่าเท้าข้างขวาขึ้นมาเล็กน้อยและพยายามใช้มือลูบคลำเพื่อหาอะไรบางอย่างที่ทิ่มอยู่ และเมื่อมือของเขาคลำเจอก็ได้ดึงมันออกมา ถึงแม้จะทิ่มไม่ลึกมากแต่มันก็เจ็บมากพอสำหรับเด็กตัวแค่นี้ ด้วยแสงจันทร์ที่พอจะให้เห็นราง ๆ มันเหมือนกับเหล็กเส้นเล็กโดยมีเส้นที่แยกออกมาหลายเส้นซึ่งปลายของแต่ละเส้นก็มีความคมให้ความรู้สึกเหมือนกับหนาม ถึงแม้มือจะชาแต่พอได้สัมผัสก็รู้ได้ว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นสนิมไปแล้ว
เขายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งเวลาผ่านไปความเหนื่อยล้าเริ่มทวีคูณ บวกกับความหิวกระหายจนทำให้เขาเริ่มเดินช้าลงกว่าเดิมและยังคงช้าลงเรื่อย ๆ พึบ! เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็หายไปมีแต่เสียงสุดท้ายที่ร่างกายทิ้งตัวลงนอนกับพื้น หน้าที่แนบติดกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นมากมาย
“ขอสาปแช่งพวกแก…ไอ้พวกเฮงซวย…ขอให้ครอบครัวของพวกแก…เป็นเหมือนกับฉัน…ไม่ว่าจะกี่ร้อยปี…พวกแกจะต้อง…ทุกข์ทรมานเหมือน…กับ…ฉัน…..” เสียงแหบ ๆ ที่เหมือนจะพึมพำแต่ก็ยังคงได้ยินชัด เสียงหอบหายใจ พูดติด ๆ ขัด ๆ แต่ก็ยังคงฝืนจนคำสุดท้าย และเสียงทั้งหมดก็ได้เงียบหายไปเหลือแต่เสียงลมและเสียงใบไม้ ทิ้งไว้แค่ร่างกายที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางป่าที่มืดมิดแห่งนี้
27พฤษภาคม พ.ศ. 2575
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนในนโยบายระบบการศึกษาแบบใหม่สำหรับระดับมัธยมศึกษา โดยที่การเรียนในช่วงเช้าจะเป็นภาควิชาบังคับหรือ 9 วิชาสามัญ ส่วนในช่วงบ่ายนั้นจะเป็นการเลือกเรียนตามใจชอบของผู้เรียน ด้วยความว่าเป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะมาเป็นกำลังของประเทศชาติ จึงมีการทดลองก่อนหนึ่งโรงเรียนซึ่งก็คือโรงเรียนแห่งนี้ กฎเกณฑ์ข้อบังคับไม่เหมือนกับที่อื่นและที่สำคัญคือไม่มีค่าเทอมทำให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้ามาเรียนได้และยังมีพวกลูกคนใหญ่คนโตที่ส่งลูก ๆ มาเรียนเพื่อทดลองนโยบายใหม่ด้วย ตอนนี้ทดลองมาแล้วถึงสามปีซึ่งก็ประสบผลสำเร็จและกำลังจะประกาศใช้ระบบนี้กับทุกโรงเรียนในระดับมัธยม
เสียงสัญญาณออดดังขึ้น เวลา 14.20 น. เหล่าเด็กนักเรียนต่างพากันเดินไปเรียนวิชาต่อไปมีทั้งที่เดินกันเป็นแก๊ง เป็นกลุ่มหรือจะแค่สองสามคนซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีกลุ่มเพื่อนเป็นของตัวเองกันหมดแต่ก็มีพ่อหนุ่มที่มีหน้าตาเฉยชาไม่สนโลกอยู่คนหนึ่ง ที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวชื่อของเขาคือ ซึฮากิ ฮาฟกลาด เขานั้นไม่มีพ่อแม่หรือญาติเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นพวกที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
ขณะที่กำลังเดินอยู่ ผู้หญิงผมสั้นหน้าดูซื่อ ๆ ไม่น่าทันคนที่เดินสวนทางกันมาชนเข้ากับซึฮากิ ทำให้น้ำผลไม้ที่เธอถืออยู่นั้นหกใส่เสื้อของเขาบริเวณช่วงหน้าท้องเอนไปทางขวามือ รวมทั้งหัวไหล่และบริเวณใกล้เคียงด้วย
“อ-อา ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีว่าฉันเหม่อนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบเช็ดให้-” เธอตกใจเอามาก ๆ ทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยกมือไหว้ซ้ำ ๆ กันหลายครั้งขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะเช็ดน้ำผลไม้ที่เปื้อนอยู่
“ไม่จำเป็นหรอก” ซึฮากิพูดแทรกทันทีเมื่อเห็นเธอที่กำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำผลไม้ที่เปื้อน
ถึงจะเอาผ้ามาเช็ดก็ไม่ออกหรอกเพราะมันเลอะไปถึงข้างใน ยังไงซะก็ต้องไปล้างตัวอยู่ดี จะมาเช็ดให้เสียเวลาทำไม
“ต-แต่ว่า” เธอรู้สึกไม่สบายใจและยังคงดึงดันที่จะเช็ดให้ แต่ซึฮากิก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจเธอ เธอได้แต่มองตามหลังซึฮากิที่ไม่แม้แต่จะหันหลังมาดูเธอ
เมื่อเดินไปถึงที่ห้องน้ำเขาก็ตรงดิ่งไปที่ห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ถอดเสื้อออกและล้างคราบน้ำผลไม้ ทั้งกางเกงไปจนถึงรองเท้าก็เปียกน้ำไปหมด เมื่อล้างจนคิดว่าน่าจะหมดแล้วเขาก็ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยและรีบออกจากห้องน้ำเพื่อไปเข้าเรียนวิชาต่อไปก่อนที่จะสาย
แต่ในขณะที่กำลังก้าวเท้าออกจากห้องน้ำก็ได้มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอยู่ทั่วบริเวณห้องน้ำและหนึ่งในนั้นก็เอาเท้ายันกำแพงทางออกของห้องน้ำไว้และจ้องมองมาที่ซึฮากิ เขานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลูกชายคนเล็กของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มีชื่อว่า นัตโตะ
นัตโตะกับซึฮากิไม่ถูกกันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดเรียน พวกเขาทั้งสองได้อยู่ห้องเดียวกัน เรื่องมันเริ่มจากที่นัตโตะมีนิสัยที่เย่อหยิ่ง อะไรไม่พอใจก็ใช้กำลัง และก็ได้มีคนดวงซวยที่ดันไปทำให้คุณนัตโตะเนี่ยไม่พอใจก็เลยโดนรุมกระทืบอยู่หลังห้องน้ำ
แต่ซึฮากิก็ดันไปเห็นเข้า แต่ก็แกล้งเดินผ่านไปใกล้ ๆ และพูดขึ้นมาลอย ๆ “ขยะ” แล้วก็เดินผ่านไปหน้าตาเฉย และเพียงคำพูดสั้น ๆ นั้นก็ทำให้พวกนัตโตะไม่พอใจเอามาก ๆ จึงได้เดินตามหลังซึฮากิมาและทีบไปที่กลางหลังของซึฮากิ จนถึงกับทรงตัวไม่อยู่จากมือทั้งสองข้างที่ล้วงกระเป๋าอยู่นั้นก็ต้องชักออกมาเพื่อยันตัวไว้เพื่อไม่ให้หน้าจูบกับพื้น เขาก็รีบลุกขึ้นทันทีและจ้องมองไปที่นัตโตะ ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง
นัตโตะทนไม่ไหวพุ่งเข้าต่อยซึฮากิด้วยความโมโห ซึฮากิไม่แม้แต่จะขยับขาหนีแต่เขากลับยืนรับหมัดขวานั้นแต่โดยดี ในขณะที่หมัดกำลังจะเข้าถึงหน้าของเขา เขาก็หันหน้าหลบตามทิศของแรงหมัดลดความรุนแรงและก็ทำหน้าให้เหมือนกับโดนต่อย จากนั้นก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้นทันทีและก็นอนนิ่งไปเหมือนกับสลบ หลังจากนั้นพวกนัตโตะก็กูกันเข้ามารุมกระทืบต่อก่อนที่ออดจะดัง ทำให้พวกมันแยกย้ายกันไปเรียน ซึฮากิลุกขึ้นหลังจากที่ไม่มีใครแล้ว
“สัปดาห์แรกก็โดนซะแล้วสิ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ ทั้งตัวที่เต็มไปด้วยรอยเท้ามากมาย แต่น้ำเสียงและสีหน้าของเขากลับดูเฉื่อยชาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเดินตรงไปที่ผู้โชคร้ายคนนั้นและอุ้มเขาขึ้นมาแล้วพาไปที่ห้องพยาบาลพร้อมทั้งทำแผลให้ทั้งเขาและตัวเองด้วย พ่อหนุ่มโชคร้ายคนนั้นยังคงนอนสลบอยู่ แต่ซึฮากิกลับเดินไปเรียนหน้าตาเฉยทั้งที่เนื้อตัวมอมแมมถึงจะพยายามเช็ดรอยเท้าออกไปแล้วก็เถอะ พอเข้าห้องไป
ถึงทุกคนจะเห็นกันหมดแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาถามหรือพูดคุยด้วยเลยแม้แต่คนเดียวและนั้นแหละคือสาเหตุที่ไม่ถูกกันหลังจากนั้น ซึฮากิก็โดนกระทืบอยู่หลายครั้ง ล่าสุดซึฮากิก็ได้เรียกนัตโตะด้วยฉายาที่ตั้งให้เอง “ถั่วเน่า” กลับมาปัจจุบันกันดีกว่า หลังจากที่เขาทั้งสองต่างมองหน้ากันตาไม่กะพริบ
“ไงถั่วเน่า” แค่คำพูดสั้นออกมาจากปากซึฮากิทำให้นัตโตะสีหน้าเปลี่ยนทันทีดูได้จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“พูดว่าไงนะ! ไอ้กิ” ฟันทั้งบนและล่างขบกันทั้งก่อนและหลังจากที่พูดแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่มี
สงสัยวันนี้จะโดนอีกแล้วซินะ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพูดอะไรไม่เข้าหูก็จะโดน แต่…มันหยุดปากไม่ได้น่ะซิ ไอ้ปากที่ชอบพาความซวยมาหาเนี่ย
นัตโตะต่อยไปที่หน้าของซึฮากิทันที แต่ซึฮากิก็หันหน้าหลบเหมือนกับที่เคยทำมาก่อน หลังจากที่นัตโตะปล่อยหมัดมาแล้วซึฮากิใช้จังหวะนี้วิ่งผ่านตัวของนัตโตะและผลักเขาออกเพื่อออกจากห้องน้ำแต่พอออกมาได้ก็โดนพวกของนัตโตะล้อมไว้แล้ว
“เจาจัดการมันเลย!” เสียงจากนัตโตะที่ตะโกนมาจากด้านหลังของเขาและตรงหน้าเขาก็มีพวกของนัตโตะคนหนึ่งที่สัดส่วนพอ ๆ กับพวกนักกล้ามก้าวเท้าออกมาหาซึฮากิพร้อมการกำหมัดและดัดนิ้วของมือทั้งสองข้าง เสร็จแล้วก็เริ่มง้างหมัดขวาแบบเต็มที่
ในระหว่างนั้นก็มีพรรคพวกคนอื่นที่กรูกันเข้ามาจับตัวไว้แน่น ซึฮากิโดนต่อยเข้าที่แก้มซ้ายเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงกับทำให้เลือดกำเดาไหลทันทีและทรุดตัวลงโดยที่เข่ายันกับพื้นอยู่ เจาไม่รอช้าคว้าคอเสื้อของซึฮากิและดึงตัวเขาขึ้นมาและต่อยซ้ำอีกหลายที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตะโกนมาอย่างสุดเสียง
เธอมีชื่อว่า ฟราน เป็นคนที่คิดว่าน่าจะสนิทที่สุดในโรงเรียนของซึฮากิ ทุกคนต่างหันหลังมองไปที่ฟราน เธอก็เดินตรงเข้ามาท่ามกลางพวกนักเลงโดยที่ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ไม่นานนักก็มีพวกเพื่อน ๆ ของฟรานที่ตามมาทีหลัง
“พวกนายทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวเสียงใสแต่กลับมีความหนักแน่นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเพื่อน
เดินเข้ามาและพูดกับทุกคนตรงหน้า เธอคือ สูรเนตร (สู-ระ-เนด) หรือที่รู้จักกันว่า ซันนี่ เป็นประธานนักเรียนคนปัจจุบันและยังเป็นลูกสาวคนที่สองของผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้อีกด้วยซึ่งแน่นอนถ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทเธอจะต้องเข้าไปห้ามปรามทันที
“ไปเว้ย!!” นัตโตะสั่งพรรคพวกของเขาทุกคนและเดินผ่านซึฮากิ กับคนอื่น ๆ ไป
มีคนมาเห็นเยอะคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าทั้งดาวและเดือนโรงเรียนจะอยู่ด้วยกันรวมทั้งนักกีฬาตัวท็อป สมองของโรงเรียน ไหนจะประธานนักเรียนอีก เฮ้อ เป็นกลุ่มคุณภาพจริง ๆ เลย นัตโตะก็ได้เดินผ่านพวกฟรานออกไป พวกฟรานต่างก็หันไปมองตามหลังเหมือนกันเพื่อดูท่าที
“กิจัง ๆ” เธอพยายามเรียกในขณะที่ใช้มือของเธอเขย่าตัวผมที่นอนไม่ได้สติอยู่ จริง ๆ ก็แกล้งสลบรอพวกมันไป แล้วมีผู้ชายหนึ่งในเพื่อนของฟราน เดินตรงเข้ามาหาผม
เขามีชื่อว่า ชาญวัฒน์ (ชา-ยะ-วัด) หรือที่เรียกกันว่า ชาญ (ชาน) ชาญเป็นทั้งนักกีฬาและนักกรีฑาของโรงเรียนมีความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง กระโดดไกล ขว้างจักร และยังมีอย่างอื่นอีก แต่คงสงสัยใช่ไหมว่าเอาเวลาที่ไหนซ้อมในเมื่อมีความสามารถมากมายขนาดนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาแบ่งเวลาซ้อมอย่างละครึ่งชั่วโมงแต่มันก็คงไม่พอสำหรับการแข่งที่รอเขาอยู่ และสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จก็คือโรงเรียนแห่งนี้สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ซึ่งเขาแทบจะไม่ได้เรียนในห้องเรียนเลย ซึ่งถ้าร่างกายคนทั่วไปคงจะรับภาระหนักมากแน่ ๆ แต่เขาชินกับมันทำให้ได้ร่างกายที่โคตรจะอึดถึกทนมาก สามารถซ้อมได้โดยไม่ต้องพักเลย
“ฟรานช่วยพยุงอีกฝั่งที” ชาญย่อตัวลงมาและจับแขนซ้ายของผมไปวางไว้บนท้ายคอของเขาและใช้มือซ้ายจับแขนของผมไว้โดยที่มือขวาค่อย ๆ พยุงตัวผมขึ้นมาและฟรานก็เข้ามาพยุงทางด้านขวา ทั้งสองคนพาผมไปที่ห้องพยาบาล
ความสงบสุขคงจะไม่มีอีกแล้วมั้งเนี่ย คนที่ไม่ควรมาเห็นที่สุดก็ดันมาเห็นอีก ถ้าพวกเธอไปบอกครูมีหวังได้เกิดเรื่องวุ่นวายแน่ ๆ เลยตาย ๆ จบสิ้นแล้วชีวิตในโรงเรียน อุตส่าห์ทนมาหลายปีจะจบอยู่แล้วแท้ ๆ ความพยายามทั้งหมดคงจะสลายหายไป ไม่ ๆ ถ้าเราบอกว่าเป็นแค่การเข้าใจผิดล่ะ จะบ้าตายอยู่แล้วทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย! ซึฮากิกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจตลอดทางไปห้องพยาบาล
“ฟู่~ตัวหนักใช่เล่นเลยนะเนี่ย” ชาญวางผมลงบนเตียงและจัดท่าให้นอน
“ฟรานเอาผ้ากับน้ำสะอาดมา เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้ซึฮากิเอง” ฟรานเดินไปตรงหัวมุมห้องซึ่งมีอ่างล้างมือและใช้กะละมังที่วางอยู่ใกล้ ๆ นั้นมาใส่น้ำ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ตู้ที่อยู่ถัดไปและหยิบผ้าสีขาวออกมา ในขณะเดียวกันชาญก็ได้เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลและเดินกลับมา
“เอาละ เรามาเริ่มจากล้างแผลที่ถลอกกันก่อน ฟรานเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตรงแผลให้สะอาดนะ” ฟรานหยิบผ้าที่เตรียมมาชุบน้ำและเช็ดตรงหัวเข่าซึ่งน่าจะได้แผลนี้มาตอนล้มลงไป ใบหน้าของซึฮากิที่มีรอยช้ำหลายจุดฝุ่นเกาะเต็มไปหมด และชาญก็นำเจลประคบเย็นจากในกล่องปฐมพยาบาลออกมาและใช้ประคบไปที่ตาซ้ายของซึฮากิ ส่วนแผลที่หัวเข่าชาญก็ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำยาฆ่าเชื้อ เมื่อฆ่าเชื้อเสร็จ ก็ใช้ผ้าก๊อซหุ้มสำลีแล้วก็ปิดพลาสเตอร์ไว้ทั้งสองข้าง
“เท่านี้ก็เรียบร้อย ที่เหลือก็ปล่อยเขานอนไปนั่นแหละ” ชาญกับฟรานกำลังจะออกไป แต่ในขณะที่ฟรานกำลังลุกขึ้นนั้นผมก็ได้ดึงมือเธอไว้
“ฟ-ฟรานเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่การเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่หรอก” เธอหันมามองและนั่งลงอีกครั้งพร้อมกับจับมือของซึฮากิและกุมมือนั้นไว้ ความอบอุ่นจากมือของฟรานที่ทำให้ซึฮากิรู้สึกผ่อนคลายลงได้ถึงจะเล็กน้อยก็ตาม
“กิจังไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะเดี๋ยวพวกเราจะจัดการให้เอง” เธอวางมือของซึฮากิไว้ที่เดิม
เธอพูดเหมือนกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่แต่สิ่งที่เธอพูดมันไม่มีทางหรอก พวกเธอทำอะไรมันไม่ได้หรอกอย่างมากก็แค่ตักเตือน แทนที่จะปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ พวกเธอจะทำให้มันแย่ลงอีก แต่ช่างเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และ ฟรานก็เดินออกจากห้องไปปล่อย ซึฮากิไว้คนเดียว
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนเสียงออดสุดท้ายดังขึ้นพวกนักเรียนต่างก็เริ่มทยอยกลับบ้านกัน พอได้ยินเสียงซึฮากิก็เลยลุกขึ้นจากเตียงวางเจล ประคบเย็นไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ แล้วเดินกลับบ้าน ที่ที่เขาอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลยไม่จำเป็นต้องนั่งรถรับส่งจะได้ประหยัดเงินไปในตัว
“สวัสดีครับคุณอายะ” เมื่อมาถึงบ้านหลังใหญ่ของพวกซึฮากิ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับคุณอายะซึ่งเป็นคนดูแลที่นี่จึงรีบยกมือไหว้ทันที
“กิ! หน้าเธอไปโดนอะไรมา ไหนจะหัวเข่านั่นอีก” เธอตกใจทันทีเมื่อเห็นสภาพของซึฮากิและมือของเธอจับไหล่ทั้งสองข้างพยายามถามผมในขณะที่เธอก็มองไปรอบ ๆ ตัวผมเพื่อหาจุดอื่น
“แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะครั–” เขาพยายามที่ไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่
“นี้เรียกว่านิดหน่อยเหรอ” เธอรีบพูดแทรกขึ้นมาทันทีในขณะที่ผมยังพูดไม่จบ เธอจ้องตาเขม่งเหมือนจะโมโหหนัก
“อะ! นั่นพี่กินี่” เอหนึ่งในเด็กกำพร้าที่พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ คุณอายะจึงได้รับมาดูแลเพราะเขาไม่มีญาติคนอื่นเลย ผมค่อนข้างที่จะสนิทกับพวกเด็ก ๆ แล้วก็เป็นพี่เลี้ยงคนหนึ่งที่คอยดูแลพวกเขา
เอวิ่งตรงเข้ามาพยายามดึงมือผมให้ไปเล่นด้วยกัน
ขอบใจมากเลยเอ น้องรัก ซึฮากิคิดในใจและมองไปที่เอ
ได้เสมอพี่ชาย เอคิดในใจขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนโทรจิตกันได้ [ทั้งสองคนยิ้มชั่วร้ายอยู่ในใจ]
“พวกเรากำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่ พี่กิก็มาเล่นด้วยกันสิ” เอลากผมไปหาเด็กคนอื่นๆ ซึ่งผมก็ตามไปโดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด อย่างน้อยก็หลบมาจากคุณอายะได้ พวกเราเล่นซ่อนแอบกันอยู่สักพักก็ได้เวลาข้าวเย็น อาหารส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการบริจาคแล้วยังมีข้าวก้นบาตรจากวัดใกล้ ๆ อีกด้วย
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้ไม่ใช้ของรัฐจึงไม่มีงบมากพอและมีเด็กกำพร้าอยู่ถึงสิบเจ็ดคน ส่วนใหญ่อายุจะอยู่ประมาณห้าถึงสิบขวบ หลังจากทานอาหารกันจนอิ่มพวกเด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันไปนอน เหลือผมที่จะคอยทำความสะอาดล้างจานก่อนที่จะไปทำการบ้านถึงจะได้นอน
28พฤษภาคม พ.ศ. 2575
เช้าวันต่อมาผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาช่วยคุณอายะทำอาหารสำหรับมื้อเช้า และยังมีลูกสาวของคุณอายะ เธอทำงานรับข้าราชการเป็นคุณครูสอนภาษา ซึ่งเธอก็มาช่วยดูแลเหมือนกัน บางครั้งเธอก็สอนหนังสือพวกเด็ก ๆ
“ถ้าเธอไม่อยากบอก ฉันก็จะไม่ถามแต่เธอก็ควรรู้ขีดจำกัดของตัวเองบ้างนะ” คุณอายะหันมาพูดกับซึฮากิโดยที่เธอก็กำลังคนข้าวที่อยู่ในหม้อสำหรับข้าวต้มในมื้อเช้านี้ น้ำเสียงของเธอพยายามจะสื่อว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่สัปดาห์แรกเธอก็สังเกตเห็นรอยช้ำหลายแห่งแต่เธอก็รู้ดีว่าซึฮากิเป็นคนอย่างไรจึงพยายามที่จะไม่ไปยุ่ง
“ครับ” ผมตอบกลับด้วยคำสั้น ๆ และไปเตรียมชามสำหรับใส่ข้าวต้ม หลังจากพวกเราทานมื้อเช้าเสร็จแล้วผมก็เดินมาโรงเรียนเหมือนเดิม
“ไง ซึฮากิ” ซันนี่ที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนหันมาเห็นเลยโบกมือทักทายผม ผมก็โบกมือทักทายกลับเช่นกัน
ผมที่กำลังจะเข้าโรงเรียนโดยที่ซันนี่ก็ยืนรอผมอยู่หน้าโรงเรียนแต่ก็รู้สึกเหมือนมีใครตามหลังผมมา ถึงมันจะเป็นแค่ความรู้สึกแต่ก็ต้องหันไปดู
“อ๊ะ! ส-สวัสดี” พีชหญิงสาวผมสั้นพร้อมด้วยแว่นตาคู่ใจผู้เป็นสมองของโรงเรียน เธอตกใจสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผมหันไปมอง ตาของเธอก็ล่อกแล่กไปมาแต่พอทักทายเสร็จ เธอก็รีบวิ่งนำผมไปหาซันนี่ทันที
พวกผมสามคนก็เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกัน ระหว่างทางที่เดินอยู่บนฟุตบาทผมก็เหลือบสายตาไปรอบข้างซึ่งเป็นสนามกีฬา ที่นั่นก็มีพวกที่เล่นฟุตบอลกันอยู่ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีชาญอยู่ด้วย เขามักจะชอบเล่นฟุตบอลกันตอนเช้า เมื่อเดินเข้ามาถึงตัวอาคารแล้วผมมักจะไปนอนที่โต๊ะใต้ถุนตึก ผมจึงแยกกับพวกซันนี่ตรงนั้น ส่วนเธอสองคนก็คงจะไปทานข้าวเช้าที่โรงอาหาร
“กิ…จัง ๆ” ผมได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากที่ก้มหน้าหลับอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองหาที่มาของเสียง ตาก็ยังพร่ามัวอยู่เล็กน้อย คนที่เรียกก็คือ ฟราน
“แผลดีขึ้นหรือยังจ๊ะ” เสียงของเธอที่ถามผมด้วยความเป็นห่วงและยิ้มให้ด้วย รอยยิ้มนั้นทำให้ผมตาสว่างขึ้นมาทันที โดยที่ข้าง ๆ เธอนั้นก็มีผู้ชายอีกคนอยู่
เขามีชื่อว่า ซากิ หนุ่มหล่อสุดฮอตประจำโรงเรียนนี้ โคตรพ่อโคตรแม่หล่อกันเลยทีเดียว ฐานะทางบ้านก็ดี เรียนก็เก่ง ช่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ เลย
“อืม ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวมันก็หาย” ท่าทางของเธอที่ดูเป็นห่วงก็ลดลง
“รีบไปกันเถอะฟราน เดี๋ยวสาย” ซากิจับมือฟรานและพาเธอออกไป
“อ๊ะ ไว้เจอกันนะกิจัง” เธอพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป
เห้อ…ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันซะจริง ๆ เลย เขาได้แต่มองตามหลังของทั้งคู่ที่เดินจับมือกันไป
เสียงออดแรกของวันดังขึ้น พวกนักเรียนต่างก็เดินกันวุ่นวาย ดังนั้นซึฮากิจึงนั่งรอต่อไป รอคนน้อยลงก่อนค่อยไปเรียน ถึงแม้มันจะต้องเข้าสายนิดหนึ่งก็ตาม
“นักเรียนเคารพ สวัสดีครับ / ค่ะ คุณครู” ยังดีที่ผมเข้าห้องทันก่อนที่ครูจะมาถึง หัวหน้าห้องนี้คือซันนี่เอง พวกฟรานก็อยู่ห้องเดียวกันกับเราหมดรวมทั้งถั่วเน่าก็เช่นกัน
“ก่อนที่เราจะเรียนครูจะทบทวนเรื่องพื้นฐานให้ก่อนนะ การกำเนิดเอกภพนั้นมีทฤษฎีที่มีการยอมรับมากที่สุดคือ บิกแบง...บรา บา บรา บา” วิชาแรกของวันนี้คือดาราศาสตร์ เมื่ออธิบายครูก็เริ่มเขียนบนกระดานเป็นเหมือนสรุปมายด์แม็ปให้
“เอาละที่นี้เราก็จะมาเรียนต่อกัน”
เรียนไปเรียนมาชักเริ่มง่วงคงเป็นเพราะต้องตื่นแต่เช้าแน่เลย ในขณะที่ผมสัปหงกอยู่นั้นเสียงของครูก็เริ่มไม่ค่อยได้ยิน ตาที่เริ่มเบลอลงเรื่อย ๆ แต่แล้วก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นที่กลางห้องเรียนและมันก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนแสบตาไม่สามารถมองได้ ผมได้แต่หลับตาไว้ แต่สุดท้ายผมก็เผลอหลับไปจริง ๆ
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าที่ที่ผมอยู่ไม่ใช่ในห้องเรียนแต่กลับนอนอยู่กับพื้นดินโดยที่ถูกมัดมือ มัดขา มีเทปกาวปิดปาก รวมแม้กระทั่งตาที่ถูกผ้าปิดไว้ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ จนคิดว่าอาจจะฝันแต่ก็ไม่ใช่เพราะความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งคัน ทั้งหยาบ กลิ่นของดินทุกอย่างมันคือของจริง เห็นได้ชัดว่ามันคือการลักพาตัวอย่างแน่นอน
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : บิกแบง หรือ BigBang คือ ทฤษฎีการกำเนิดเอกภพที่ว่าด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเอกภพโดยเริ่มจากอนุภาคพื้นฐานจนเป็นกาแล็กซีในปัจจุบัน]
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
แต่งงานซ่อนเงากับหลี่ เจวี๋เฉินมาได้สามปี เจียงวานเคยคิดว่าความรักของเธอจะทำให้หัวใจเขาอุ่นขึ้นได้ แต่สิ่งที่รอเธออยู่ กลับเป็นวันที่จู่ ๆ รักแรกของเขากลับมาจากต่างประเทศ แล้วเขาก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า “พวกเราหย่ากันเถอะ” เจียงวานรู้ดีว่าคนที่หลี่ เจวี๋เฉินรักไม่ใช่เธอ เธอจึงกลบเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ หยิบกระเป๋าแล้วเดินจากไปอย่างเด็ดขาด หลังหย่า ชีวิตของเจียงหว่านกลับพุ่งแรงราวติดปีก ทั้งงานทั้งโชคลาภหลั่งไหลไม่หยุด กลายเป็นสไตลิสต์ระดับท็อปของโลก ทั้งการงานและความรักล้วนรุ่งโรจน์ ส่วนอดีตสามีผู้มีตำแหน่ง บางคน นั้นวัน ๆ เอาแต่จ้องหน้าจอ คิดทุกวิถีทางว่าจะทำยังไงให้ได้แต่งงานกับเธออีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเจียงวานตอนยังเด็กกลับมาอีกครั้งหลี่ เจวี๋เฉินถึงกับอยู่เฉยไม่ไหวอีก “วานวาน แต่งงานกันอีกครั้งเถอะนะ ได้โปรด!” เจียงวานเพียงยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ“ไม่มีเวลาหรอก ไปหารักแรกของคุณเถอะ!” หลี่ เจวี๋เฉินควักแหวนออกมา คุกเข่าข้างเดียวแล้วเอ่ยว่า “ฉันไม่มีใครคนอื่นในใจ มีเพียงเธอเท่านั้น เธอคือคนที่ฉันรักมาตลอด ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเธอ!” ตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น ทำให้ทั้งคู่ค่อย ๆ เกิดความรักและผูกพันต่อกัน เธอเข้าใจว่าเขายังรักแฟนเก่าอย่างสุดหัวใจ แต่เขากลับคิดว่าในใจเธอมีใครอีกคนอยู่แล้ว คนดื้อสองคนที่แอบรักกันอยู่ฝ่ายละมุม แต่กลับเข้าใจผิดเพราะมีคนอื่นเข้ามาอยู่รอบตัวจนคิดไปต่าง ๆ นานา ความรักครั้งนี้จะฝ่าหมอกแห่งความเข้าใจผิดไปจนถึงตอนจบที่งดงามได้หรือไม่?
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ความทะเยอทะยานผลักดันให้นางปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาทว่ายังมิทันจะได้เสวยสุข กลับถูกฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีสวมข้อหากบฏวางลงบนศีรษะนาง เกิดใหม่คราวนี้นางไม่ขอเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้สารเลวผู้นั้น ชีวิตนี้ที่ได้มาใหม่อีกครั้ง นางจะลิขิตเอง
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY