เธอเป็นนางเอกขวัญใจวัยรุ่นในเกือบทุกปีที่ผ่านมา แต่ชื่อเสียงของเธอ ก็ดันย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อถูกคนสารเลวในวงการบันเทิงด้วยกันกลั่นแกล้ง ให้เธอกลายเป็นนางเอกสาวดาวยั่วในคลิปวิดีโอโป๊ ลงข่าวหน้าหนึ่งดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ เมื่อดาราสาวกลับมาที่บ้านเกิดอีกครั้ง พร้อมกับชีวิตล้มละลายที่ไม่กล้าสู้หน้าใคร แต่เธอกลับได้พบหน้าเขาในฐานะที่ไม่กล้าอาจเอื้อม ทว่าเจอกันครั้งแรกเขาและเธอก็ ‘ตบจูบ’ กันเสียแล้ว และยังมีเหตุให้เธอต้องตกไปอยู่ในบ่วงพิศวาสของชายหนุ่มในฐานะ ‘นางบำเรอ’ จำยอมอีกด้วย “ทำอย่างกับไม่เคยเห็น เอามือออกมองผัวให้เต็มตา และเตรียมใจไว้เลย คืนนี้พี่หมดแรงเมื่อไหร่ เธอก็จะได้นอนเมื่อนั้นแหละ” เขาดึงมือที่ปิดตาเธอออก หญิงสาวหลับตาปี๋ เพราะไม่อยากเห็นภาพอุจาดตาตรงหน้า
“แม่ขาพลอยไม่เหลืออะไรแล้ว พลอย...ไม่เหลืออนาคตการเป็นนางเอกอีกต่อไปแล้ว” ร่างบอบบางสะอึกสะอื้นเบาๆ ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดาอยู่นานหลายนาที
พรพรรณได้แต่เอามือลูบศีรษะทุยสวยของบุตรสาวไปมาอย่างปลอบโยน นางรู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ ที่ถูกเพื่อนดาราด้วยกันกลั่นแกล้งทำลายชื่อเสียงของพลอยไพลินจนป่นปี้ไม่มีเหลือ
สาเหตุเพราะมีภาพหลุดของนางเอกสาวดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างพลอยไพลินกับหนุ่มไฮโซชื่อดังกำลังเริงรักกัน ทั้งที่ความจริงมันเป็นเพียงภาพตัดต่อ สองแม่ลูกต่างก็รู้ดี แต่จะมีใครบ้างที่เข้าใจ ที่คิดว่าข่าวนั้นมันไม่เป็นความจริง
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นสื่อการบันเทิงต่างๆ เทคะแนนและโหวตให้เธอเป็นนางเอกสาวที่สวยเซ็กซี่มากที่สุดและเป็นนางเอกขวัญใจวัยรุ่นในเกือบทุกปีที่ผ่านมา แต่ทว่าตอนนี้ชื่อเสียงของนางเอกสาวคนดังดั่งกับเศษของบ้องไฟที่หักมุมดิ่งลงเหว
หลายเดือนแล้วที่พลอยไพลินอดทนรอ หวังว่าข่าวไม่ดีต่างๆ จะจางหายไป และคงจะมีงานเข้ามาบ้าง แต่นับวัน ข่าวเสียๆ หายๆ ของเธอก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และถูกวิพากษ์วิจารณ์หนาหูจนบางครั้งหญิงสาวสาวแทบจะไม่กล้าออกไปสู้หน้าใคร งานถ่ายละคร งานถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร หรือแม้แต่งานพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ แทบไม่มีติดต่อเข้ามาเลย และที่ติดต่อมาก่อนหน้านั้นต่างก็พากันยกเลิกทั้งหมด ทำให้สองแม่ลูกอยู่กันอย่างลำบากด้วยความขัดสน
รถที่เพิ่งถอยออกมา พร้อมกับบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งทำสัญญาซื้อและเพิ่งผ่อนได้ไม่นานก็คงจะถูกยึดไปเร็วๆ นี้ เพราะไม่มีเงินจะไปผ่อน เงินเก็บที่มีอยู่ก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกวัน จะหันหน้าไปพึ่งใครยามนี้ก็แสนลำบาก
“แต่พลอยยังมีแม่อยู่นะลูก เรากลับบ้านนอกกันก่อนดีมั้ยลูก ฝืนอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีความสุข กลับบ้านเราเถอะนะ คุณยายกับป้าภาของเรายังรอเราสองคนอยู่ที่นั่น เชื่อแม่นะลูก” นางพรพรรณปลอบลูกสาวเสียงเครือ
“แต่ว่าบ้านกับรถของเรากำลังจะถูกยึดนะคะแม่” สายตาที่ทอดมองมาของหญิงสาวมีแววเสียดายอย่างสุดซึ้ง เธออุตส่าห์เก็บเงินตั้งนานกว่าจะเก็บหอมรอมริบเอามาดาวน์บ้านกับรถได้ และยังเพิ่งผ่อนได้ไม่ถึงปี กลับมีอันจะต้องถูกเขายึดไป เธอก็ยากที่จะทำใจ
“แต่เรายังมีเวลาเหลืออีกตั้งเดือนกว่านะลูก ที่จะหาเงินมาผ่อนเขา บางทีถ้าเรากลับไปบ้าน ยายกับป้าภาของลูกอาจจะช่วยได้นะ” แววตาของนางพรพรรณส่องประกายอย่างมีความหวังขึ้นมาเมื่อนึกถึงแม่และพี่สาวที่แสนใจดีของตนที่บ้านนอก
ร่างบอบบางถอนหายใจยาวออกมา แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของมารดาเธอนัก เพราะยังอายที่จะกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก เพราะแม้แต่จะโผล่หน้าออกไปทานข้าวนอกบ้านก็ยังไม่กล้า ไปไหนมาไหนก็ต้องสวมแว่นตาสีดำอันใหญ่อำพรางใบหน้าไว้ตลอดเวลา
“จะดีเหรอคะแม่” เสียงหวานใสที่เบาลงถามมารดาอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจนัก
ใบหน้าที่แสนอ่อนโยนและยังคงมีสง่าราศีพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มอบอุ่นมองเรียวหน้ารูปไข่ด้วยความรักและห่วงใยความรู้สึกของลูกสาวอย่างเหลือล้น เพราะรู้ว่าพลอยไพลินต้องต่อสู้กับความรู้สึกต่างๆ ในทางลบตอนนี้มากแค่ไหน
พลอยไพลินมองหน้าบุพการีอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะสวมกอดและอิงใบหน้าอ่อนเยาว์ลงซบกับอกนุ่มของร่างท่วมเล็กน้อยที่อบอุ่นเสมอนั่นอีกครั้ง เธอตัดสินใจแล้วที่จะทำตามที่แม่ของเธอแนะนำ บางทีการกลับไปบ้านเกิดคราวนี้มันอาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่เธอคิดไว้ก็ได้
เมื่อคิดว่าจะต้องกลับบ้านต่างจังหวัด ภาพของเด็กชายตัวมอมแมมคนหนึ่ง ก็ปรากฏแวบขึ้นมาในมโนภาพอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันนานกี่ปีมาแล้วที่ภาพนั้นยังคงแจ่มชัดในสมองน้อยๆ ของเธอ ตั้งแต่ที่หล่อนยังเป็นเด็กหญิงพลอยไพลินที่แสนเอาแต่ใจ และหยิ่งผยองจองหองเป็นที่สุด เป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยน่าคบเท่าไหร่นัก ก็เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กนี่นา แต่หญิงสาวก็ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีทีเดียว
วันนั้นที่บ้านหลังหนึ่งกำลังเพิ่งก่อสร้างได้ไม่กี่วันยังไม่เสร็จ ขณะที่ช่างก่อสร้างแต่ละคนกำลังตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนเอง เด็กวัยรุ่นชายตัวผอมๆ แต่งตัวก็แสนจะมอมแมมคนหนึ่งกำลังก่ออิฐบล็อกตรงฝาบ้าน ท่าทางของเขายังไม่คล่องนัก ซึ่งมันช่างขัดหูขัดตาเด็กสาวคนหนึ่งมากเหลือเกิน เพราะทั้งคู่ไม่ถูกชะตากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“นี่ นายเสาโทรเลข ก่ออิฐให้มันเนียนๆ หน่อยสิ เห็นมั้ย...ช่องไฟตรงนี้ที่นายก่อไม่น่าดูสักนิด ยังมีรูโหว่อยู่เลย ฝีมือแบบนี้พ่อนายปล่อยให้มาทำงานแทนได้ยังไงเนี่ย ชุ่ยที่สุด!” เด็กหญิงเชิดหน้าพ่นวาจาดูถูกฝีมือคนตรงหน้าอย่างหมิ่นๆ สีหน้าท่าทางของเด็กหญิงตัวเล็กดูจะพอใจยิ่งนักที่ยั่วโมโหคู่อริของตนได้สำเร็จ
แววตาไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้าคมคร้ามสีแทนนั้น เขามองเด็กหญิงที่อายุอ่อนกว่าเขาหลายปีอย่างข่มโทสะสุดๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเธอก็ตามราวีเขาได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่โรงเรียน ที่วัด ตลาดนัด หรือที่ไหนก็ตามที่บังเอิญต้องเจอกัน ยัยตัวแสบนี่ต้องหาเรื่องเขาก่อนทุกครั้ง นี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าหรอกนะ เขาถึงได้ยอมอ่อนข้อให้ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายด้วยกันคงไม่ปล่อยให้มายืนด่าทอต่อว่าเขาปาวๆ แบบนี้หรอก ร่างผอมสูงกัดฟันกรอดก่อนจะตอบโต้กลับไปด้วยวาจาแสบๆ คันๆ ไม่แพ้กัน
“ยัยหลักกิโลเมตร คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นตรงไหนฮะ ถึงได้มาพูดจาหมาไม่แดกแบบนี้ หัดลองส่งกระจกมองดูตัวเองเสียบ้างสิ เตี้ยก็เตี้ย ฟันก็เหยิน ขาอย่างกับตะเกียบ เก้งก้างอย่างกับตั๊กแตนตำข้าว ปากก็เน่าอย่างกับปลาร้า นิสัยก็แย่ทั้งที่มีพ่อแม่สั่งสอน มิน่าถึงไม่มีใครอยากคบเป็นเพื่อน”
เด็กหญิงตัวเล็กเต้นเร่าๆ เจ็บใจที่สุดก็ตรงประโยคท้ายๆ นี่แหละ แม้ว่ามันจะจริงอย่างที่เขาว่าที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่ค่อยมีใครคบกับเธอ แต่ว่ามันหนักหัวใครไม่ทราบ เขาบังอาจนักที่มาตอกย้ำปมด้อยของเธอแบบนี้ นิ้วเรียวจึงชี้ไปที่หน้าคมคร้ามออกมอมแมมนั้นอย่างโกรธแค้นสุดขีด
“นาย! นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันแบบนี้ ทั้งที่นายมันก็แค่ลูกกรรมกรจนๆ นายมันก็แค่ไอ้ลูกกำพร้าไม่มีแม่ นายมันก็แค่เด็กวัดที่ต่ำต้อยที่ขอข้าววัดมากินไปวันๆ” เด็กสาวพูดเสียงดังโดยไม่คิดสนใจคนรอบข้างว่าจะมองเธอด้วยสายตาตำหนิเช่นไร หวังเพียงแค่จะเถียงให้ชนะเขาเท่านั้น แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ใบหน้าที่บัดนี้เครียดขรึม ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว เขาแทบจะกระโจนไปบีบคอเล็กของเธอให้ขาดใจตายคามือ เด็กอะไรปากร้ายไม่มีอะไรเปรียบ
สายตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่มองเด็กสาวที่มีฐานะดีกว่าเขาในยามนี้ ทำให้เด็กหญิงที่กำลังตั้งท่าจะอ้าปากต่อว่าอีกระลอกต้องหยุดชะงักลงกลางคัน แววตาที่เจ็บปวดเต็มไปด้วยเพลิงนรกขนาดย่อมที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคมวาวคู่นั้น มองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแทบจะแผดเผาร่างเล็กของเธอให้มอดไหม้เป็นจุณ มันดูน่ากลัวจนร่างผอมบางต้องถ่อยร่นไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะหันหลังรีบเดินหนีไปไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาอีก
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทะเลาะกับเขา มันนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำที่เขากับเธอด่าทอกันด้วยวาจารุนแรงแบบนั้น แต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอกับเขามีปากเสียงกัน หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ไม่ได้พบกับเขาอีกเลย จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว
และในวันนี้เป็นวันที่พลอยไพลินกลายเป็นเด็กกำพร้าอย่างที่เขาเคยเป็น กำลังแย่ยิ่งกว่าที่เขาเคยแย่ กำลังจะจนอย่างที่เขาเคยจน แทบจะไม่กล้าเอาหน้าไปสู้ใครด้วยซ้ำ ถ้าหากเขาเห็นสภาพของเธอตอนนี้ เขาอาจจะหัวเราะเยาะเธอก็เป็นได้
แต่ว่ามันก็ผ่านมานานสิบกว่าปีแล้ว สิบสองปีได้แล้วมั้ง เพราะครอบครัวของเธอย้ายออกจากบ้านตั้งแต่เธอยังเด็ก เด็กผู้ชายสายตาเย็นชาแข็งกร้าวคนนั้นก็อาจจะแต่งงานมีเมียมีลูกไปแล้วก็ได้และอาจจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้ว
หากต้องบังเอิญเจอกันอีกครั้งเธอเองก็อาจจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่แววตาแข็งกระด้างเต็มไปด้วยไฟโทสะและโกรธแค้นคู่นั้น เธอยังจำมันได้ดี แต่รูปร่างหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเธอเองก็ไม่อาจรู้ได้
ที่ไร่ส้มแสงตะวัน
“พ่อเลี้ยงทินคะ พรุ่งนี้ป้าขอหยุดงานหนึ่งวันนะคะ บังเอิญว่าพรุ่งนี้น้องสาวกับหลานสาวของป้าจะมาหาค่ะ” นางนิภาซึ่งเป็นลูกจ้างในไร่แสงตะวันมานานเอ่ยขออนุญาตลางานกับเจ้านายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของนางด้วยความเกรงใจ
“น้องสาวกับหลานสาวของป้าจะมาหางั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ไม่มั่นใจว่าที่เขาได้ยินป้าภาพูดถึงน้องสาวกับหลานสาวของนางมันเรื่องจริงหรือเปล่า
‘แม่ดารานางเอกชื่อดังกับแม่ของหล่อนนะเหรอจะกล้ากลับมาบ้านนอก ไม่อยากจะเชื่อ’ แต่คนที่กำลังคิดสงสัยก็ชักอยากจะเห็นหน้านางเอกสาวฉาวโฉ่ชื่อดังตัวเป็นๆ นั่นแล้วสิ ไม่รู้ว่าตัวจริงกับในโทรทัศน์จะสวยเหมือนกันหรือเปล่า และหล่อนจะยังจำเขาได้อยู่ไหม ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายปีนี่ แต่สำหรับเขา...ยังจำเธอได้ไม่เคยลืม
“ใช่จ้ะ ป้าว่าจะไปรอรับสองคนนั่นที่สถานีขนส่ง ถ้าจะปล่อยให้มาที่นี่เอง กลัวว่าจะจำทางเข้าหมู่บ้านไม่ได้ เพราะสองคนนั้นออกจากบ้านไปก็หลายปีแล้ว”
“แล้วทำไมหลานสาวของป้าไม่ขับรถมาเองล่ะครับ”
“คือว่าทางขึ้นเขามันอันตราย แม่ของเขาเลยห้ามไม่ให้ลูกสาวของเขาขับมาเอง จึงพากันนั่งรถทัวร์ปรับอากาศมาแทนเพื่อความปลอดภัย” นางนิภาตอบตามที่น้องสาวของเธอโทรบอกเมื่อวานนี้
“อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ และเขาก็เห็นด้วยตามที่ผู้อาวุโสบอก เพราะตอนนี้ก็อยู่ในช่วงหน้าฝนพอดี ถึงจะเป็นช่วงปลายฤดูแต่ฝนก็ยังตกอยู่บ่อยๆ ยิ่งทำให้การสัญจรไปมาบนเนินเขาที่ลาดชันยากลำบากหลายเท่า หากคนขับรถไม่ระมัดระวังและมีความประมาทก็พลาดขับรถตกเนินเขาหรือตกเหวลึกได้
“ถ้าอย่างนั้น ให้ผมไปรับให้ดีมั้ยครับ ผมมีรถ เดี๋ยวผมไปรับน้องสาวกับหลานสาวของป้าให้เอง และพรุ่งนี้ผมให้ป้าหยุดงานได้หนึ่งวัน ตกลงนะครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มขันอาสา เพราะอยากจะเห็นหน้านางเอกสาวตกกระป๋องไวๆ อยากจะรู้ว่าถ้าหล่อนเจอหน้าเขาครั้งแรก ยัยหลักกิโลเมตรนั่นจะยังจำเขาได้หรือเปล่า และยังจะพูดจาดูถูกกันอีกมั้ย
“จะดีเหรอคะ ป้าเกรงใจคุณทินจัง” ผู้สูงวัยกว่ามองหน้าคมคร้ามนั่นด้วยความรู้สึกขอบคุณ ที่ชายหนุ่มใจดีกับครอบครัวของนางมาโดยตลอด แต่ก็ยังอดเกรงใจไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ธุระหน้าที่ของเขาที่จะต้องไปรับสองแม่ลูกนั่นแทนนาง
“ป้าจะมาเกรงอกเกรงใจผมทำไมครับ ผมนับถือป้าเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ป้าเป็นเหมือนแม่คนที่สองของผมเลยก็ว่าได้ ไอ้ครลูกชายป้าก็เป็นเพื่อนรักของผม วางใจได้ครับ พรุ่งนี้ผมไปรับป้าพรรณกับน้องพลอยเอง”
เมื่อทินกรพูดแบบนี้นางนิภาก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของพ่อเลี้ยงหนุ่มได้ ได้แต่ยิ้มรับขอบคุณ และพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่าตกลง
แต่พอคล้อยหลังร่างค่อนข้างท้วมที่เดินลับหายเข้าไปในไร่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น สายตาที่แสนจะอ่อนโยนเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนไป
‘พลอยไพลิน นางเอกชื่อดังตกกระป๋อง พรุ่งนี้ฉันจะไปรับเธอเอง’ ร่างสูงพูดกับตัวเองในใจด้วยแววตาแข็งกร้าวดุจสายตาของพญาอินทรีย์ในวันนั้น วันที่ผ่านมาแล้วกว่าสิบสองปี
แต่ชายหนุ่มไม่มีวันลืมความรู้สึกโกรธแค้นในวันนั้นได้ และยังคิดอยากจะเอาคืนแม่ดาราคนสวยตัวแสบคนนั้นบ้าง แต่เขาก็คงไม่แค้นถึงขนาดจะต้องบังคับขืนใจให้หล่อนมาเป็นเมียทาสเหมือนในละครหรอก ก็แค่อยากจะสั่งสอนยัยหลักกิโลเมตรนิสัยเสียนั่นให้รู้จักสำนึกเสียบ้างก็เท่านั้นเอง
บ้านอิงตะวัน
“ฮึ...เปลี่ยนชื่อแล้ว นึกว่าฉันจะจำเธอไม่ได้งั้นเหรอ” ร่างสูงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับหนึ่ง ที่ยังคงลงภาพกอดรัดฟัดเหวี่ยงของนางเอกสาวสวยกับไฮโซหนุ่มรูปหล่อ ดูแล้วช่างน่าสมเพชนัก
“เธอนี่มันนอกจากจะปากเน่าแล้ว เนื้อตัวของเธอก็คงจะเน่าเฟะจนไม่เหลืออะไรดีแล้วสินะ”
ทินกรพึมพำคนเดียวขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าแบบคร่าวๆ ชายหนุ่มไม่เชื่อหรอกว่าข่าวนั้นมันจะไม่มีมูล ภาพชัดเจนขนาดนั้น และเจ้าหล่อนก็ไม่ได้ปฏิเสธความสัมพันธ์กับหนุ่มไฮโซคนนั้นว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เพียงแค่บอกปัดว่าภาพนั้นไม่ใช่ภาพของเธอกับแฟนหนุ่ม แล้วใครเขาจะโง่เชื่อตามนั้นล่ะ
“ก็แค่ของเล่นไฮโซ” ร่างหนาพึมพำออกมาอีกครั้งก่อนจะเก็บพับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้ที่เดิมและเดินเข้าไปในห้องนอน
แต่ยังไม่ทันที่จะเอนตัวลงนอนบนเตียง เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าจากมือถือเครื่องเล็กก็ดังขึ้น แค่รู้ว่าใครโทรมา ใบหน้าคมเข้มนั้นก็ทำสีหน้าเบื่อหน่าย แล้วกดสายทิ้งอย่างไม่ใยดี แต่มีหรือที่คนโทรมาจะหยุดโทรหาเขาง่ายๆ
ตู๊ด! ตู๊ด! ตู๊ด!
มือเรียวยาวที่หยาบกร้านกดวางหลายครั้ง แต่ก็ต้องกดรับด้วยความหงุดหงิดใจก่อนที่จะกรอกเสียงไปตามสายด้วยความรำคาญ
“มีอะไรนุช นี่มันดึกแล้วนะครับ พี่จะนอน” ชายหนุ่มพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติให้มากที่สุด แต่คนฟังกังรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจที่เธอโทรไปรบกวน
อรนุชนั่นเองที่โทรมา ไม่รู้ว่าหล่อนมีความจำเป็น หรือมีเรื่องอะไรสำคัญนักหนา ถึงได้โทรมาหาเขาในช่วงเวลาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ หรือคิดว่าตัวเองเป็นลูกสาวกำนันหรือไง ถึงได้ไม่มีความเกรงอกเกรงใจชาวบ้านเขาเลย
“ก็นุชคิดถึงพี่ทิน”
“กรุณาคิดถึงพี่ในเวลาที่เหมาะสมหน่อยได้มั้ยคร้าบ วันนี้พี่เหนื่อยมาก อยากจะนอน” ชายหนุ่มจงใจลากเสียงยาว เพื่อให้อรนุชเข้าใจแจ่มแจ้งว่าหล่อนโทรมารบกวนเวลานอนของเขา
“นุชขอโทษค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้นุชมีธุระจะออกไปในเมืองแต่เช้า ได้ข่าวว่าพี่ทินจะออกไปในเมืองเหมือนกัน เลยจะขอติดรถไปด้วยคนค่ะ” ปลายสายตอบเสียงอ่อยๆ
ที่จริงอรนุชรู้จากคนงานในไร่แสงตะวันแล้วว่า ทินกรจะออกไปรับพลอยไพลิน หรือยัยเพลินใจจอมหยิ่งนั่น และที่รู้ว่ายัยนางเอก พลอยไพลิน คือคนๆ เดียวกับยัย เพลินใจ ศัตรูคู่อาฆาตของเธอเมื่อครั้งยังเด็ก ก็เพราะเธอไปถามไถ่ข่าวคราวจากสาครอีกทีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง
สมัยก่อนพลอยไพลินเหนือกว่าเธอทุกอย่างทั้งรูปร่าง ฐานะ และผลการเรียน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็จะทะเลาะกันตลอด ถึงขนาดยกพวกตีกัน จนหัวร้างข้างแตกกันไปข้าง ครั้งหนึ่งที่อรนุชจำได้แม่นที่สุด ยัยเพลินใจตัวแสบเอาลูกหินปาหน้าผากเธอจนกลายมาเป็นแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้
“พรุ่งนี้พี่เอารถกระบะออกไป ไม่มีที่นั่งว่าง เพราะสาครมันจะติดรถไปด้วย อีกอย่างข้าวของก็เต็มรถ ให้คนอื่นไปส่งเถอะ” ชายหนุ่มรีบตัดรำคาญเสียงห้วน
“แต่ว่าก้นนุชนิดเดียวเองนะคะ ให้นุชเบียดกับพี่ครข้างหน้าก็ได้ นะๆ” หล่อนยังคงออดอ้อนไม่เลิก
“ไม่ได้! แค่นี้นะ” ทินกรตวาดเสียงดังมากขึ้น มือเรียวรีบกดวางสายไป และรีบปิดมือถือทันที เพราะกลัวว่าอรนุชจะตื๊อไม่เลิก จึงไม่ทันได้ยินเสียงปลายสายร้องโวยวายลั่นบ้าน
ทินกรรู้ว่าอรนุชมีใจให้กับเขามานานแล้ว แต่เขาก็ให้เธอได้แค่คำว่า ‘น้องสาว’ แต่ที่ยังไม่ตัดรอนเสียทีเดียวก็เพราะเกรงใจลุงกำนันซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของสองครอบครัวก็สนิทสนมกันมานมนาน และลุงกำนันแกก็เป็นคนดีมีน้ำใจ อีกอย่างลุงแกก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวที่รักและหวงมาก แต่ก็ไม่เคยว่าอะไรสักครั้งถ้าลูกสาวจะแวะเวียนมาที่บ้านพ่อเลี้ยงหนุ่มแห่งไร่ส้มแสงตะวันบ่อยๆ
ท่ามกลางผู้โดยสารมากมายที่เดินสวนกันไปมาด้านนอกประตูทางเข้าของห้องพักผู้โดยสาร ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นผู้หญิงรูปร่างผิวพรรณดีสวมแว่นตาดำอำพรางดวงตาสวยซึ้ง กำลังหันซ้ายแลขวาเพื่อสอดส่องสายตามองหาใครบางคนที่นัดเอาไว้ว่าจะมารับเธอในช่วงเวลาดังกล่าว
“แม่คะ ทำไมยังไม่เห็นป้าภามารับพลอยสักทีล่ะคะ” ใบหน้าเนียนใสที่โผล่พ้นแว่นอันเบ้อเริ่มออกมา ยืนคุยโทรศัพท์ถามมารดาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเธอเริ่มหงุดหงิดเต็มทีแล้ว เมื่อต้องรอคนมารับตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของร่างอวบๆ ที่สวมเสื้อสีม่วงลายดอกพลับพลึง กางเกงขายาวสามส่วนสีดำ ผมยาวรวบมัดไว้กลางหลัง ตามที่คนนัดได้บอกเอาไว้
“บางทีรถอาจจะติดก็ได้นะลูก” นางพรพรรณพยายามบอกเหตุผลให้ลูกสาวใจเย็นๆ
ทีแรกก่อนมาคนเป็นแม่ตั้งใจจะเดินทางมาพร้อมกับบุตรสาวด้วย แต่พอคิดไปคิดมา บ้านก็ห่วงรถก็ห่วง เธอจึงบอกให้ลูกสาวกลับไปบ้านหลบหน้านักข่าวที่บ้านนอกคนเดียวเพียงลำพัง หากข่าวฉาวโฉ่ของพลอยไพลินซาลงเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ
“แต่นี่มันต่างจังหวัดไม่ใช่กรุงเทพฯ นะคะแม่ อะไรมันจะติดนานขนาดนั้น” พลอยไพลินเริ่มบ่น โชคดีที่อากาศทางเหนือไม่ร้อนมากเหมือนภาคกลาง ไม่อย่างนั้นเธอต้องหงุดหงิดมากกว่านี้แน่
“รออีกหน่อยแล้วกันนะพลอย อีกประเดี๋ยวป้าภาก็คงจะมารับลูกเอง” นางพรพรรณกล่าวเพื่อกล่อมให้ลูกสาวใจเย็นลงอีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป
หลังจากวางสายจากมารดาร่างระหงก็เดินตรงไปยังที่นั่งว่างที่ติดอยู่กับผู้โดยสารท่านอื่นที่เหมือนจะมานั่งรอญาติมารับเช่นกันกับเธอ สายตาคู่สวยก็คอยกวาดมองไปโดยรอบตามทางเดินที่คิดว่าป้านิภาของเธอน่าจะเดินมารับ
นางเอกสาวในตอนนี้คงไม่มีใครจำเธอได้ เพราะสวมแว่นตาสีดำอันใหญ่อำพรางใบหน้าอยู่ตลอดเวลา มองใกล้ๆ อาจจะดูคุ้นๆ แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะเป็นนางเอกสาวชื่อดังที่ชื่อว่า ‘พลอยไพลิน’ เป็นแน่
หญิงสาวนั่งหน้ามุ่ย สายตายังมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีไม่หยุดหย่อน พร้อมกับปล่อยเสียงพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาเป็นระยะๆ ด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องมารอคอยคนอื่นนานมากขนาดนี้ เพราะปกติก็มีแต่คนอื่นเท่านั้นแหละที่เป็นฝ่ายรอเธอ
เวลาผ่านไปอีกสิบห้านาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมารอรับ พลอยไพลินจึงเดินไปซื้อของกินรองท้อง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถขายขนมจีบซาลาเปากำลังจะจอดอยู่ตรงข้างหน้าบนทางเดินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจากจุดที่พักผู้โดยสารด้านนอก
ขณะที่นางเอกสาวเดินไปถึงรถขายซาลาเปา ก็มีลูกค้ายืนรอซื้อสองสามคน แต่จู่ๆ ก็มีผู้ชายตัวโตๆ แต่งตัวด้วยชุดยีนสีซีดทั้งชุด สวมรองเท้าหนังเก่าๆ สีน้ำตาลเข้ม สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาเรียกชื่อพ่อค้าซื้อซาลาเปาตัดหน้าไปโดยที่ไม่คิดจะต่อคิว
‘แบบนี้มันต้องสั่งสอนให้รู้สำนึก และให้ได้อายกันไปข้าง’ นางเอกสาวที่กำลังยืนต่อคิวซื้อขนมคิดอย่างคาดโทษ ชำเลืองมองไปทางผู้ชายที่เสียมารยาทข้างๆ ด้วยสายตามันวับอย่างเอาเรื่อง
“นี่คุณ เป็นพวกไร้วัฒนธรรมหรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่ต่อคิวเหมือนคนอื่นเขา เส้นใหญ่นักหรือไง ถึงได้ไม่รู้จักเกรงใจคนที่เขายืนรอซื้อก่อนตัวเอง รู้จักมั้ยคำว่าระเบียบวินัย” ร่างบางหันไปตะคอกใส่ผู้ชายตัวโตๆ ข้างๆ โดยไม่เกรงใจ
เฮอะ...จะให้หล่อนเกรงใจคนนิสัยไม่ดีแบบนี้น่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก หางตาหล่อนก็ไม่อยากจะแลเสียด้วยซ้ำ หน้าตาก็ดูดีใช้ได้อยู่หรอกแต่นิสัยแย่ไร้ระเบียบวินัยแบบนี้ น่าจะโดนสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง
ไอ้เรื่องแซงคิวนี่พลอยไพลินรับไม่ได้จริงๆ เพราะที่ผ่านมาเธอเคยชินกับการมีระเบียบวินัยในตัวเอง และตรงต่อเวลาเสมอ แต่วันนี้นอกจากป้านิภาจะมาไม่ตรงเวลาให้เธอต้องนั่งแกร่วรอตั้งนานสองนานแล้ว หล่อนยังมาโดนผู้ชายนิสัยแย่ ไร้ระเบียบวินัยมาแซงคิวตัดหน้าเธออีก หญิงสาวจึงรู้สึกโมโหสุดๆ และระเบิดอารมณ์ใส่เขาเป็นชุดๆ
ชายหนุ่มนิรนามที่เธอเองก็ยังไม่เคยรู้จักมองหน้าหล่อนตาปริบๆ ไม่คิดว่าจะโดนว่าแรงขนาดนี้
“เอ่อ ผมขอโทษครับคุณผู้หญิง ลุงมิ่งครับจัดขนมให้คุณผู้หญิงคนนี้ก่อนก็ได้ครับ สงสัยเธอจะมาก่อน ผมไม่ทันมองจริงๆ”
ทินกรรีบขอโทษสาวสวยแถมหุ่นดีที่ด่าเขาฉอดๆ ด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ชายหนุ่มไม่เห็นจริงๆ ว่าเธอมายืนรอซื้อขนมก่อนเขา เพราะมัวแต่เหม่อมองไปทางประตูทางเข้าห้องพักผู้โดยสาร จึงไม่ทันได้เหลียวมามองคนข้างๆ ว่าหล่อนมายืนรอก่อนเขานานแล้ว
“เฮอะ ไม่ทันมอง ตั้งใจล่ะสิไม่ว่า” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะชายหนุ่มอีกครั้งอย่างหมั่นไส้ ที่เขาช่างตีหน้าตายได้เนียนจริงๆ
“เอ่อ จะรับอะไรดีครับ” พ่อค้าชิงถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนที่หล่อนจะตวาดแว้ดๆ ใส่คนตัวใหญ่ข้างๆ อีกรอบ
ใจจริงพลอยไพลินก็อยากจะต่อว่าพ่อค้าคนนี้ต่อเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงไม่หันมองดูเสียบ้างว่าลูกค้าคนไหนมาก่อนมาหลัง แต่ก็รีบยั้งปากไว้ทันเพราะเกรงใจคนอื่นที่ทยอยมายืนรอซื้อขนมเหมือนกัน จึงรีบตอบห้วนๆ กลับไป
“ซาลาเปาไส้หวานสองเค็มสอง แล้วก็ขนมจีบสองถุง” ไม่รู้หรอกว่าพ่อค้าเขาขายเท่าไหร่ยังไง แต่ก็เดาเอาว่ามันคงไม่ถึงร้อยหรอก ก่อนที่มือเรียวจะหยิบแบงค์สีแดงยื่นให้พ่อค้า
“ไม่ต้องทอน” ร่างเพรียวระหงรีบพูดเสียงห้วน และยัดเงินใส่มือพ่อค้าเพราะขี้เกียจยืนรอนานๆ ยิ่งต้องมายืนอยู่ข้างผู้ชายที่ไม่ค่อยมีมารยาทคนนี้แล้วด้วย เธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเป็นเท่าทวีคูณ
“หึ อวดรวยซะด้วย”
เสียงทุ้มลอยมาเข้าหูดาราสาวพอดี ขณะที่หล่อนกำลังจะก้าวขาออกไปก็ต้องหยุดชะงัก เธอไม่ใช่คนหูหนวกและไม่ใช่คนโง่นะ ที่จะไม่ได้ยินว่า ‘เขา’ พูดแดกดันเธออยู่
“นายว่าอะไรนะ!” ร่างบางหันขวับกลับมามองหน้าเขาทันควัน มองร่างสูงใหญ่ตาขวางอย่างเอาเรื่อง นอกจากจะไร้ระเบียบวินัยแล้ว เขายังจะมีนิสัยชอบนินทาคนอื่นลับหลังอีกต่างหาก ผู้ชายนิสัยแย่ๆ แบบนี้เธอรับไม่ได้จริงๆ
‘หูดีจริงจริ้ง แม่คุ้ณ’ ทินกรแอบบริภาษหญิงสาวในใจขำๆ แต่ก็หันหน้าไปมองหน้าเธอนิ่ง เมื่อใบหน้าสวยใสใต้แว่นสีดำนั้นมองมา
“ผมเปล่าว่าอะไรคุณนี่ครับ ใครจะกล้าว่าคนสวยๆ อย่างคุณ” ใช่หล่อนสวยจริงๆ นั่นแหละ โดดเด่นอีกต่างหาก และเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ สายตาที่เขามองเธอก็เปลี่ยนไปเป็นพิจารณามองหญิงสาวอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘มันดูคุ้นๆ แฮะ’ ชายหนุ่มคิด พลางเพ่งพิศเค้าโครงหน้ารูปไข่นั้นอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง
รูปร่างและทรงผมของหล่อน มันดูคล้ายๆ ดารานางเอกสาวที่ชื่อพลอยไพลินมากเหลือเกิน นี่ถ้าหล่อนถอดแว่นตาอันใหญ่นั่นออก เขาคงจะหายสงสัยว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร
พลอยไพลินจ้องหน้าผู้ชายไร้มารยาทอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่อยากจะเสียเวลากับคนอย่างเขาอีก จึงรีบเดินไปนั่งที่เดิม แต่ร่างสูงเกินสันทัดก็เดินตามมา และมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้สายตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นตาอันใหญ่ ต้องเลิกคิ้วขึ้นมามองชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจระคนไม่พอใจ ที่เขาจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับเอื้อนเอ่ยออกมา
“คุณใช่ลูกสาวของป้าพรพรรณหรือเปล่า” ชายหนุ่มไม่อยากถามไปตรงๆ ว่าเธอใช่ดารานางเอกสาวที่ชื่อพลอยไพลินใช่หรือไม่ เพราะกลัวว่าเธอจะอายเพราะข่าวที่ยังคงอื้อฉาวไม่ซาลง อาจทำให้บางคนแถวๆ นี้เบี่ยงเบนความสนใจมาที่เธอ ซึ่งมันคงไม่เป็นที่ปรารถนาของนางเอกสาวตกกระป๋องอย่างพลอยไพลินนัก
พลอยไพลินรู้สึกอึ้งมากเมื่อถูกชายหนุ่มแปลกหน้า เอ่ยชื่อมารดาของเธอออกมาอย่างสนิทสนม แล้วเขาเป็นใครกันทำไมถึงได้รู้จักชื่อแม่ของเธอ แต่พอมองๆ ไป โครงหน้าของเขาก็คุ้นๆ เหมือนกันนะ และพอดีกับที่ทินกรถอดแว่นตาดำออกพอดี หญิงสาวจึงมีโอกาสสำรวจใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
แล้วสายตาสวยซึ้งก็ไปสะดุดเข้ากับสายตาที่เธอคุ้นเคยมานานแสนนาน สายตาคมกล้าดุจพญาเหยี่ยว ที่ยังคงความเข้มคมกริบเมื่อมองสบตา หากใบหน้าเรียบตึงนั้นแย้มยิ้มออกมาสักนิด เขาคงจะดูดีมีเสน่ห์มากขึ้นไม่น้อย แต่เคราเขียวครึ้มที่ไม่ได้โกนมาหลายวัน กลับทำให้ใบหน้าคมคร้ามนั้นดูเถื่อนหน่อยๆ
“นายนั่นเอง ทินกร” หญิงสาวครางเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วอย่างตกตะลึง รู้สึกว่าหล่อนเพิ่งจะหาเสียงของตัวเองเจอเดี๋ยวนี้เอง หลังจากสำรวจใบหน้าหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่มอยู่นานสองนาน แล้วแก้มนวลสองข้างก็แดงระเรื่อขึ้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องเขานานเกินไปแล้ว
1 พ่ายปรารถนาเจ้ารัตติกาล 2 กระหายรักใต้เงาจันทร์ 3 พิศวาสหวามข้ามกาลเวลา(ภาคจบ) ร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ชิดรวดเร็ว จับบ่าบอบบางสองข้างเอาไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ทั้งกล้าหาญและหวาดหวั่น “คุณเลือกทางของคุณเองนะ ณิชา เกิดอะไรขึ้นอย่ามาโทษผม” “ฉะ...ฉันไม่กลัว” “คุณกำลังกลัวมากที่สุดต่างหากล่ะณิชา” ร่างเล็กถูกกระชากเข้ามาบดจูบด้วยความกระหาย ‘ณิชา ยอดรักของข้า’ เขาไม่พูดคำว่ารักออกมาให้เธอได้ยิน แต่ส่งผ่านความรู้สึกนั้นด้วยเซ็กส์ที่ทรงพลัง... เขาทะยานไปข้างหน้ารุนแรง ตอกย้ำกายใหญ่เข้าหาราวกับจะแทงทะลุให้ถึงจิตวิญญาณ ราตรีนี้ความต้องการทางกายของแวมไพร์หนุ่มจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เขาหลอกล่อเธอด้วยไฟพิศวาสร้อนแรง เพื่อจะดับไฟแค้นในหัวใจ ส่วนเธอทั้งรักทั้งหลงเขา ไม่อาจห้ามใจสักครั้งเมื่อได้ชิดใกล้ แต่เมื่อรู้ความจริงว่าเขาคือใคร ดวงตะวันจะเลือนหายไปจากเธอและเขาหรือเปล่า วันเวลาหมุนเวียน ทุกสิ่งรอบกายเปลี่ยนผัน มีเพียงดวงจิตที่ผูกพัน ร้อยปีผันผ่านยังเฝ้าคอย ‘เชอร์ลีน ยอดรักของข้า “ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่เชอร์ลีน ฉันชื่อกิรณา และฉันไม่เคยไปทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เคยรู้จักคุณ แล้วคุณจับฉันมาทำไม”
‘ทั้งๆ ที่รักแต่ไม่อาจครอบครอง ของของเขา เธอจะแย่งมาได้อย่างไร’ “เลิกคิดเถอะ คุณไม่เหมาะสมกับผมสักนิด และสเปคผู้หญิงของผมก็คงไม่ใช่เด็กสาวกะโปโลอย่างคุณ กลับไปเรียนหนังสือให้จบแล้วมีคนอื่นไปซะ ไม่ต้องมายั่วผมอีก เข้าใจที่ผมพูดมั้ย” เธอเข้าใจ... จึงเดินวกกลับมาจูบเขาอย่างยั่วยวนอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มหวาน “ถ้าเรียนจบแล้ว แพรจะกลับมา อย่าเพิ่งแต่งงานนะคะ...” ทว่าเมื่อเรียนจบกลับมาหาเขาอีกครั้ง ได้ใกล้ชิดชายหนุ่มอีกหน ครานี้เธอ ‘ยั่ว’ เขาหนักขึ้น แต่... เธอก็ต้องมาพบกับความร้ายกาจของผู้หญิงของเขา ที่ต้องการจะ ‘เอาเธอให้ถึงตาย!’ ลูกแพรจึงต้อง ‘ร้าย’ กลับบ้าง ‘ร้ายเพราะรัก มันต้องร้ายให้ลึกที่สุด!’
“ผมจะยอมแต่งงานกับคุณก็ได้ แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยนสามข้อ คุณจะยอมรับได้ไหมแต่คุณต้องผ่านการทดสอบของผมในคืนนี้ให้ได้ก่อนนะ แล้วเราค่อยมาตกลงกัน” ความเป็นชายของเขาก็กำลังร้อนเป็นไฟ เธอมองเขาด้วยสายตาวิงวอน เธอกำลังกลัว กลัวมากที่สุด! “อย่ากลัวผมเลยนะ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ารักไปทั้งตัว คุณสวยจนผมอดใจไม่ไหว แล้วก็หอมหวานจนผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว” กฤตภพเก่งกาจเกินกว่าที่เธอจะต้านทานไหว เขาใช้ประสบการณ์อันช่ำชองพาให้เธอเคลิบเคลิ้ม และคล้อยตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเขาจะดึงขึ้นสวรรค์หรือดิ่งลงนรก เธอก็โบยบินตามเขาไปทุกที่ ตามที่เขาปรารถนา อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากเรียวขาเมื่อไหร่ไม่ทันได้รู้สึกตัว แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเห็นร่างกายกำยำของเขายืนตรงปลายเตียง
ฟรานซิส ฟาร์นองเดซ เจ้าพ่อธุรกิจไวน์รายใหญ่ที่สุดแห่งอัลซาส ประเทศฝรั่งเศส เขาไม่ต่างกับอสูรร้ายที่ร้ายกาจ ป่าเถื่อน เพียงเพื่อจะกำจัด ‘ผู้หญิงที่หวังรวยทางลัด’ อัญญาลิน ทายาทสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทไวน์เนอรี่ชั้นแนวหน้าของไทย เธอตั้งใจไปเที่ยวฝรั่งเศส เพียงเพื่อจะหาความรู้เรื่องการผลิตไวน์มาบริหารงานช่วยผู้เป็นพ่อเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอ ‘น้องชายของเขา’ “คุณกำลังเข้าใจผิด” “เปล่า ผมกำลังเข้าใจถูกต่างหาก และผมก็รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณเองก็คงแอบมีใจให้ผมไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคุณจะยั่วผมท้าทายผม ด้วยการขัดคำสั่งผมเหรอ เพราะคุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าเวลาที่คุณขัดคำสั่งผมแล้ว ผมจะลงโทษคุณอย่างไรบ้าง ต้องการแบบนี้ใช่มั้ย ได้...ผมจะจัดให้” ศีรษะดกดำโน้มต่ำลงมาทันที อัญญาลินคิดเสมอว่าฟรานซิสรังเกียจเธอ หญิงสาวอยากจะรู้จังว่า ในสมองของเขาเคยคิดถึงเธอในแง่ดีบ้างหรือเปล่า หรือคิดแต่จะหาเรื่องทำให้เธอเป็นคนผิดที่คิดขัดคำสั่งเขาแล้วหาทางลงโทษเธอตามอำเภอใจ ‘ผู้ชายไม่มีหัวใจ’ อัญญาลินคิดได้แค่นี้ แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงทันที “ก็ได้! ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นผมเป็นคนดีในสายตา ผมก็จะขอเป็นคนเลวอย่างที่คุณประณามก็แล้วกัน” ฟรานซิสสะกดเสียงต่ำลอดไรฟัน มองหน้าคนดื้อรั้นไม่ยอมฟังเหตุผลด้วยประกายตาแข็งกร้าววาววับ ด้วยอารมรณ์คุกรุ่นผสมผสานกับอารมณ์ปรารถนาของร่างกายที่อัดแน่นมานานแล้ว เขาผลักร่างบอบบางที่มีเพียงผ้าแพรปกปิดร่างกายให้นอนราบลงไปกับที่นอน ก่อนที่จะคร่อมทับร่างของเธอเอาไว้ สวมบทอสูรร้ายบ้ากามทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องอ้อนวอนใดๆ จากหญิงสาวอีกต่อไป
ด้วยอำนาจแห่งมนตรา หรือเพราะพรหมลิขิต ชักนำเธอเข้าสู่อ้อมกอดแห่งรัตติกาล ที่ทั้ง ‘เร่าร้อน’ และ ‘เหน็บหนาว’ ในคราวเดียวกัน ครั้งแรกที่สบตากับเขา ‘รุ้งราตรี’ ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทันทีที่ได้ใกล้ชิด โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะหยุดหมุน และแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส เธอก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง แต่ทำไมถึงได้หวั่นไหวนัก แค่เพียงจุมพิตแรก หัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็งมานานของ ‘แดเนียล’ ก็เริ่มสั่นคลอน แค่จูบเดียวก็เหมาเอาว่า เธอเป็น ‘เนื้อคู่’ ของเขา แล้วใครจะเชื่อ เธอไม่อยากเข้าใกล้เขานัก แต่ความจำเป็นบางอย่าง เธอจึงพาตัวองเข้าสู่ ‘คฤหาสน์ที่น่าสะพรึงกลัว’ เป็นหนที่สอง
“คุณพลประภัทร คุณมันเป็นเจ้าหนี้ที่เผด็จการมากที่สุด ทำไมจะต้องให้ฉันไปถ่ายโฆษณากับหมอนั่นด้วย” ...นายอลัน...นายเป็นญาติฝ่ายไหนของคุณพลประภัทร... แล้วเธอจะรู้หรือเปล่า...ว่าความจริงแล้วสองคนนี้เป็นคนๆ เดียวกัน “คงถึงเวลาที่ฉันจะเริ่มคิดดอกเบี้ยเธอแล้วนะสาวน้อย” “ฉันเกลียดคุณ เกลียดที่สุด คุณมันไม่เป็นสุภาพบุรุษ ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ!” อลันรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาทันที และรู้สึกโมโหคนใต้ร่างมากขึ้น จึงใช้กำลังข่มเหงรุกรานหญิงสาวอีกครั้ง เขาบดขยี้เรียวปากอิ่มสีกุลาบอย่างไม่ปรานี... แล้วเมื่อความจริงปรากฏ สมองของดุจดาวก็พร่าเลือนไปหมด แต่ไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนท่วมร่างแกร่งกำยำของเขา มันกำลังพร้อมที่จะแผดเผาร่างของเธอให้หลอมละลาย อะไรก็หยุดเขาไม่ได้! “คุณพลประภัทร อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันกลัว” “ผมกำลังจะมอบความสุขให้กับคุณ จะกลัวทำไม” แต่คุณกำลังจะข่มขืนฉันอยู่นะ” คนไม่มีทางสู้เริ่มขึ้นเสียง “ผมไม่ได้ข่มขืนคุณสักหน่อย เขาเรียกว่าเรียกร้องสิทธิ์ต่างหาก อย่าลืมสิว่าคุณเป็นลูกหนี้ผม และคุณทำผิดสัญญา คุณก็ต้องชดใช้”
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"