เหตุของความแค้น เป็นผลให้เขาทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น! “ว้าว... มีสาวสวยแล่นมานอนให้ทับถึงที่เลยวุ้ย” หยอกกระเซ้าอีกฝ่ายที่หน้าแดงแป๊ด ดวงตาเขียวปั้ดด้วยความโกรธและแค้น “แหม...อยากมีอะไรกับฉันมากจนรอไม่ไหวเลยหรือกระต่าย ถึงได้แล่นมาหากันแบบนี้เลยน่ะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์เลย ถ้าอยากให้ฉันบำบัดความต้องการให้ เธอคงจะต้องยั่วยวนฉันมากๆ หน่อยละยาหยี” เพราะต้องการปกป้องพี่สาวและช่วยเหลือผู้มีพระคุณทำให้เธอยอมตกอยู่ในเงื้อมือศัตรู จะเจ็บปวดอับอายแค่ไหนไม่หวั่น เมื่อถึงวันจะเอาคืนให้สาสม! “อะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่เก็บเอามาใส่ใจให้หงุดหงิดรำคาญ ไม่อยากจะชายตาเหลียวแล แล้วยิ่งผู้ชายอย่างคุณ...” กวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “หลงตัวเองก็เท่านั้น ปากก็จัดยังกับอมสุนัขเน่าเข้าไป ให้พร้อมแถมขาวสารสักสิบกระสอบ ฉันยังไม่เอาเลยค่ะ ไม่รู้จะเอาไปทำไมให้มันเกะกะสายตา”
“พ่อล่ะครับแม่”
ไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาใกล้กับมารดา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังโตไม่เต็มวัยแต่สัดส่วนความสูงก็ปาไปถึง 160 ซม. อกไหล่กว้างผึ่งผายและมีเค้าว่าหากโตเต็มวัยจะสูงและใหญ่กว่านี้อีก เค้าหน้าตาคมสันด้วยคิ้วหนาเป็นปื้นเส้นขนเรียงกันอย่างสวยงามตวัดโค้งขึ้นด้านบนเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมคมกริบเหมือนกับพญาเหยี่ยวรับกับจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากหนาหยักเอ่ยถาม เมื่อกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นบิดาที่นัดกับเขาไว้ว่าวันนี้จะพาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับหัดยิงปืน ตวัดสายตามองไปยังนาฬิกาผนังแบบโบราณด้วยลูกตุ้มห้อยแกว่งไปมาบอกเวลายามบ่ายย่ำเกือบจะเย็นแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาดูไม่สู้ดีนัก หน้านวลแม้จะล่วงเลยวัยห้าสิบปีไปแล้วแต่ยังสวยเปล่งปลั่งเหมือนยังมีวัยเพียงแค่สามสิบปลายๆ เท่านั้น ในวันนี้มีริ้วรอยของความกังวลและขลาดกลัว ข้างขมับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา แม้จะแอบยกมือขึ้นซับแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เขาทันจับพิรุธได้ แต่มันกลับผุดขึ้นมามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ดูเหมือนว่ามารดาจะเคร่งเครียดวิตกกังวลจนไม่อาจปกปิดเขาได้ ท่าทางการนั่งที่ลุกลี้ลุกลนหันรีหันขวางพลางแอบปรายสายตาไปมองห้องทำงานของบิดาซึ่งอยู่มุมขวาของบ้านที่ตอนนี้มีเสียงทะเลาะของผู้ชายสองคนดังออกมาให้คนนอกห้องได้ยินยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสนใจมากขึ้น
เกิดอะไรขึ้น…ในใจเด็กหนุ่มเกิดคำถาม ทั้งที่ห้องทำงานของบิดานั้นปิดสนิท แต่คงจะเป็นเพราะคนที่อยู่ภายในห้องนั้นกำลังโกรธอย่างรุนแรง จนถึงกับระเบิดอารมณ์เอากับข้าวของในห้องอยู่บ่อยครั้งทำให้เสียงเล็ดลอดออกมาจนคนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน
รอฟังคำตอบอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ยินเสียงจากปากคนเป็นแม่ ชินกฤตลุกขึ้นจากจุดเดิมที่นั่งอยู่ไปหย่อนสะโพกลงใกล้ๆ เอื้อมไปจับมือเล็ก พอสัมผัสก็รับรู้ถึงความเย็นจนเหมือนกับจับก้อนน้ำแข็ง
“แม่ครับ…มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชินกฤตถามเสียงอบอุ่น บีบกระชับมือมารดาเบาๆ ก่อนวงแขนแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโอบรอบกายเล็ก หันหน้าไปยังห้องทำงานของบิดาที่ยังคงมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาด แต่จับคำพูดให้ปะติดปะต่อเป็นประโยคไม่ได้
“แม่ครับ” ชินกฤตเอ่ยเรียกชื่อมารดาดังๆ เพราะแม้เขาจะใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสียงหรือปฏิกิริยาตอบรับจากคนเป็นแม่ ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี หลายครั้งหลายคราในช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นในบ้าน แต่แม่และพ่อพยายามปกปิดเขา พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต่อหน้าเขา ชวนพูดชวนคุยทำอะไรให้เป็นปกติ แต่ยามเผลอจะหลุดสีหน้าทุกข์ระทม ในดวงตาเหมือนกำลังหนักอกหนักใจอะไรสักอย่าง ตามรอบดวงตาดำคล้ำเหมือนกับคนอดหลับอดนอน บางครั้งบางคราวยังจะมีเสียงพูดงึมงำหลุดออกมาจากปากบ่อยครั้ง
พ่อกับแม่มีอะไรปิดบังเขาอยู่ใช่ไหม?
แล้วตอนนี้แม่ก็ยังพยายามหลบสายตาเขาด้วย แต่เพราะเป็นห่วงบิดาที่อยู่ในห้องทำงาน แม่เลยเผลอเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง
มีใครอยู่ในนั้นกับบิดา เป็นคนที่แม่ไม่อยากให้มาเยี่ยมบ้านใช่ไหม?
ในสมองเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยคำถามแต่หาทางออกไม่ได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้เขาไปยุ่ง
“แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชินกฤตถามซ้ำอีกครั้งและเขย่าร่างบอบบาง พอให้แม่รับรู้ว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย
“ปะ...เปล่าลูก ไม่มีอะไร” เอรียาสะดุ้งรีบตอบปฏิเสธอย่างคนมีอาการลุกลี้ลุกลน หลบหน้าหลบตาลูกชายที่มองมาอย่างคาดคั้นเหมือนจะรับรู้สึกสิ่งผิดปรกติ
“หนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” คนเป็นมารดาเอ่ยปากถามไปโดยใบหน้ายังก้มมองพื้น มีเพียงสายตาแอบเหลือบขึ้นมองชินกฤตและประตูห้องทำงานสามีด้วยสีหน้าหม่นหมองเศร้าเป็นระยะ
“ไม่จริง...แม่ต้องมีอะไรปิดผมแน่เลย” ชินกฤตตอบกลับอย่างไม่เชื่อ เพราะความที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับบิดามาก แล้วยังถูกสอนให้เป็นคนช่างสังเกต ละเอียดถี่ถ้วนในทุกเรื่องที่ทำและมีความรับผิดชอบ แม้จะยังเป็นเด็กแต่ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดที่มีทำให้หนุ่มน้อยสามารถมองออกได้ว่าสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ไม่สู้จะปกติสุขนัก ยิ่งได้เห็นใบหน้ามารดาที่ซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ก็ยิ่งให้เกิดความอยากรู้ระคนกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับแม่ ทำไมมีอะไร ทำไมถึงไม่บอกให้รู้บ้าง จะได้ช่วยๆ กันแก้ไข” เขารับรู้สิ่งผิดปรกตินี้มาตั้งแต่วันที่บิดาเริ่มจะมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะแล้วล่ะ พยายามจับพิรุธ คอยเลียบเลียงเคียงถามก็ตั้งหลายครั้งหลายหนแต่บิดาและมารดาก็ปิดปากเงียบสนิท
น้ำเสียงนุ่มทุ้มและอบอุ่นเอ่ยออกจากปากเขามันคงจะซึมเข้าไปถึงหัวใจของแม่ ใบหน้าซีดเหมือนกระดาษถึงได้ดูใสขึ้นแม้จะไม่มากก็ตาม รอยยิ้มละมุนละไมอบอุ่นเคลือบบนริมฝีปากสีชมพูจางๆ ระเรื่อ สัมผัสจากมือและแขนลำสั่นโอบรัดรอบกายอรชร เรียกน้ำตาอุ่นๆ เอ่อล้นคลอเบ้าและหยดลงมาจากสองเบ้าตาของแม่
สิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกในตอนนี้คือ แม่พยายามอดทนเก็บกลั้นเก็บงำอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ภายใน ไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน แม่และพ่อไม่เคยให้ลูกคนนี้ได้ล่วงรู้
เอรียาละสายตาจากบานประตูห้องทำงานสามีมาคลี่ยิ้มหวานๆ เห็นเขี้ยวทั้งสองฝั่งของมุมปาก ประกายในดวงตายังคงอ่อนโยนและเย็นใจอยู่เป็นเนืองนิตย์ให้ลูกชาย
“ไม่มีอะไรจริงๆ ลูก” คนเป็นแม่ตอบปฏิเสธเสียงนุ่ม บีบกระชับตอบกลับมือใหญ่เบาๆ
“พ่อของลูกเก่ง แม่เชื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะต้องจัดการและพาเราสองคนแม่ลูกผ่านพ้นวิกฤติไปได้จ้ะ” เอรียาบอกออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคงด้วยความมั่นใจในความสามารถของสามีผู้อันเป็นที่รัก แต่พูดยังไม่ทันจะขาดคำดี…
ปัง!!!
สองแม่ลูกสะดุ้งรีบหันไปมองประตูห้องทำงานของผู้เป็นประมุขของบ้านที่เปิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับเสียงที่ดังลั่นสนั่นสะเทือนไปทั้งบ้าน
“ผมให้โอกาสพี่แล้วนะ แต่พี่เลือกที่จะปิดทางนั้นเอง ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้พี่ก็เตรียมตัวรับให้ดีแล้วกัน แล้วจะมาโทษว่าผมใจจืดใจดำไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทสากลมาดเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะ แม้พายุลมจะแรงแต่ผมบนศีรษะทุยก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก เสื้อผ้าเรียบและหรูถ้าไปยืนใกล้ๆ คงจะถูกกลีบของผ้าบาดเข้าไปในเนื้อให้เป็นแผลเลือดไหล หันไปตวาดเสียงแข็งกร้าวและดุร้ายใส่คนยืนนิ่งเฉยเหมือนกับไม่ยินดียินร้ายอะไรเลย ด้วยความโกรธกรุ่นระคนหงุดหงิด ช่วยคิดหาทางออกให้ทุกทางแล้ว แต่คนที่เขานับถือเสมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ยังดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับรู้อะไรเลยสักนิด
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"