“ฉันลืมไปได้ยังไงกันนี่ เป็นเพราะคุณอยากเป็นเมียพี่กลางจนตัวสั่นนะเอง แต่เห็นทีจะยากนะคะ เพราะผู้ชายดีๆ อย่างพี่กลาง ฉันไม่ยกให้ใครง่ายๆ หรอกค่ะ” บุษกรโต้ตอบทั้งที่หวั่นๆ กับสายตาที่เป็นเหมือนกับมีปลายแหลมทิ่มแทงเข้าไปในเรือนกายอยู่ไม่น้อย เธอไม่ได้อยากสร้างศัตรู แต่เมื่อรับงานมาแล้ว ก็ต้องทำให้สุดความสามารถ “บัวทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อยเลยคะพี่กลาง” บุษกรจับเอามือพีรายุมาวางบนบ่า “ตะกี้ตอนขับรถมาพี่กลางบอกจะนวดให้...ไม่หลอกบัวนะคะ” หญิงสาวทำหน้าเหนื่อยและเพลียขึ้นมองพีรายุ “อ๋อ...อีกเรื่องหนึ่ง ที่บอกจะจดทะเบียนกับบัว...ไม่หลอกให้บัวดีใจเล่นนะคะ”
ตอนที่ 1
“แน่ใจนะพี่บัว จะเอาอย่างนี้จริงๆ น่ะ” หนึ่งในสองร่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ถามขึ้นเสียงสั่น
“ฮื่อ...แกจะถามอะไรนักหนาวะไอ้เก่ง ถามมาหลายรอบแล้วนะ”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่บัวตอบกลับไปอย่างรำคาญขณะสอดส่ายสายตามองไปท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดของราตรีกาล ที่ทำให้เห็นตัวบ้านเป็นเงาสลัวๆ เหมือนกับมีชีวิต อันเป็นผลมาจากต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่รายรอบปลิวไสวไปกับสายลมที่พัดแรง
“ก็ฉันกลัวนี่พี่ ถ้าเราถูกจับได้ขึ้นมา...แม่ตีฉันหลังลายแน่”
“ไม่มีใครอยู่สักคน แล้วหมาตัวไหนมันจะมาจับเรากันฮึ! ใครใช้ให้แกพูดอะไรเป็นลางไม่ดีแบบนี้ ประเดี๋ยวก็ป้าดเข้าให้หรอก”
“ฉันกลัวนี่พี่ ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาละก็...” เจ้าตัวปัญหายังคงพูดต่อ จนบัวหรือบุษกรจำต้องหันไปตักเตือน
“อย่าป๊อดไปหน่อยเลยไอ้เก่ง ไม่มีใครอยู่สักหน่อย ไม่มีใครจะมาจับฉันกับแกแน่”
บุษกรพูดออกไปทั้งที่ตนเองก็กลัวมิใช่น้อย หากแต่จะให้ความกลัวทำให้สิ่งที่คิดไว้หยุดชะงักไป ก็เห็นจะทำไม่ได้ มีคนข้างหลังรอความหวังจากเธออยู่ วินาทีนี้เงินคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอ เพราะจะเอาไปช่วยคนที่รักที่สุด
หญิงสาวยื่นมือที่เย็นจัดไปจับราวรั้วเหล็กเอาไว้จนแน่น พยายามห้อยโหนร่างกายเล็กบางเข้าไปภายในบ้านด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ก็เกือบจะทำให้เธอพลัดตกลงไป
“จะเอาแบบนี้จริงเหรอพี่บัว ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา...คุกนะพี่” เก่งยังคงถามด้วยความหวาดกลัว มือเล็กกระด่างกระดำยื่นไปดึงรั้งเสื้อตัวโคร่งของบุษกร ถึงแม้จะเป็นคนมือเร็ว แต่เขาก็หยิบฉวยเฉพาะของพ่อกับแม่เท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะไปขโมยของที่บ้านของคนอื่นอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
บุษกรอารมณ์เสีย เกือบจะหันไปด่าอยู่แล้ว แต่ก็เผอิญนึกได้ว่าอยู่ที่ไหน ก็เลยทำเพียงแค่หันไปตีหน้ายักษ์ใส่เก่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบา คนยิ่งรีบๆ อยู่ เก่งก็ยิ่งจะทำให้ชักช้า ดีไม่ดีมีคนมาเห็นเข้า เดี๋ยวก็ได้เข้าซังเตเอาเข้าจริง ๆ นะสิ
“เออซิวะ แกก็รู้ พี่จำเป็นต้องใช้เงินด่วน ต้องทำแบบนี้แหละถึงจะได้เงินเร็ว ๆ อย่างที่ต้องการ” บุษกรตอบกลับและดึงเอามือเล็กของเก่งออกจากตัวเสื้อ
“ไม่ต้องกลัว พี่ดูลู่ทางมาดีแล้ว ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย หรือถ้าจะมากันจริง ก็คงไม่ใช่ตอนนี้...หรอก”
บุษกรเอ่ยเสียงเบาก่อนจะรีบพาตัวเองไปซ่อนที่หลังต้นไม้ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอริอ่านทำเรื่องผิดกฎหมาย ด้วยต้องการสิ่งของที่ไม่ว่าจะอะไรก็ได้ สิ่งที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินเพื่อนำไปยื้อชีวิตของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้อยู่ด้วยให้นานที่สุด
“เออ...ถ้าแกกลัวมากนัก ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ แกก็รีบหนีไปเลย ไม่ต้องรอ ฉันเอาตัวรอดได้”
บุษกรให้สั่งความเด็กชายที่คลานตามมาหลบด้วย ร่างบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตลายหมากรุกตัวใหญ่และกางเกงยีนเก่า ๆ ขาดกะรุ่งกะริ่ง สวมหมวกแก๊ปสีดำสนิทดึงมาปกปิดใบหน้าที่ทาด้วยขี้เถ้าผสมดินให้ยิ่งขะมุกขะมอมมากยิ่งกว่าที่เคยเป็น ถ้ามองเผิน ๆ แล้วคนอื่นจะคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มที่ แต่คนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งนี้คือหญิงสาววัยสะคราญ
บุษกรจะอายุครบยี่สิบปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว แต่เธอไม่สนใจงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอะไรเลย สนใจเพียงว่าจะทำยังไง ถึงจะดึงเอาชีวิตแม่พรพรรณ ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดเพียงคนเดียวให้มีชีวิตอยู่กับเธอให้นานที่สุด
‘แม่จ๋า...อดทนรอบัวหน่อยนะ บัวจะหาเงินไปรักษาแม่ให้หายให้เร็วที่สุด’
บุษกรบอกกับใจตนเอง นับตั้งแต่จำความได้ เธอมีแต่แม่พรพรรณที่คอยเฝ้าดู อบรมและสอนสั่ง ส่วนพ่อแท้ ๆ บุษกรยิ้มหยัน พ่อที่เธอไม่เคยจะเห็นหน้า นำพาแต่ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก คนที่ทำให้เธอถูกล้อ ถูกเรียกว่าเด็กไม่มีพ่อ ต้องแอบร้องไห้ตั้งหลายครั้งเพราะผู้ชายไร้ความรับผิดชอบคนนั้น
บุษกรยอมรับว่าทุกครั้งที่มีใครเอ่ยถึงพ่อ ใจของเธอเหมือนกับมีถูกบีบคั้นจนอึดอัดและเจ็บปวด แม้ปากจะตอบไปว่าไม่...ไม่ได้อยากพบเจอผู้ชายใจร้ายคนนั้น แต่ก็รู้ดีว่าในส่วนลึกของหัวใจ ยังไงก็ยังโหยหาและต้องการอ้อมอกของผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
“คิดเรื่องพ่ออยู่อีกแล้วใช่ไหมบัว”
“เปล่านี่คะ บัวไม่คิดถึงคนใจดำแบบนั้นหรอก”
“พูดอย่างนี้อีกแล้วนะบัว แม่บอกแล้วใช่ไหม พ่อจะต้องมีเหตุผลของพ่อ หนูเป็นลูกไม่ควรคิดไม่ดีกับพ่อ มันไม่ดี รู้ไหม”
“แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่ค่ะ ผู้ชายคนนั้นใจร้ายมาก ทอดทิ้งไม่ดูดำดูดี ปล่อยให้แม่ถูกรังแก ทำให้อับอายจนแทบไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวสายตาคนรอบข้างที่มองมาอย่างสมเพศและดูถูกเหยียดหยาม” บุษกรพูดด้วยความอึดอัดคับแค้นใจ เพราะยังทำใจไม่ได้กับความใจร้ายของพ่อที่มีต่อแม่แท้ ๆ ของเธอ
“ไม่พูดแบบนั้นนะบัว พ่อต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น”
“เหตุผลของคนเห็นแก่ตัวนะสิคะ” บุษกรยังเถียงไปด้วยความเจ็บใจ ได้ฟังเรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิดทีไร ใจเธอก็ร้อนรุ่มและเคียดแค้น เจ็บปวดแทนแม่ผู้ให้กำเนิด ยังดีว่ามีอ้อมแขนของผู้หญิงอีกคน ถึงจะไม่ใช่คนร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่ก็รักและเป็นห่วงเธอมากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อเสียอีก
“ผู้ชายคนนั้นทำให้แม่เจ็บปวด บัวไม่มีวันยอมรับเขาเด็ดขาด”
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของแม่ที่พรั่งพรูยามเมื่อถูกเธอรบเร้าถามถึงผู้เป็นพ่อ ทำให้ลูกคนนี้รู้สึกผิดเสมอมา ไหนจะถ้อยคำจากปากแม่พรพรรณซึ่งเป็นเพื่อนกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ คนที่รับรู้และคอยฟังปัญหา อยู่เคียงข้างยามทุกข์ใจ คอยเอาใจช่วยคนที่ถูกบีบคั้นจนแปรเปลี่ยนความรักที่เคยมีกลับกลายเป็นความเฉยชาและเจ็บปวด
“ถ้าเขายังมีความเป็นลูกผู้ชายพอ ดูแลเมียตัวเองไม่ให้มารังควานคนอื่น แม่คงยังมีชีวิตอยู่”
น้ำตาบุษกรเอ่อล้นคลอเบ้าเมื่อนึกถึงผู้เป็นมารดาที่ได้สามีที่ทำตัวเหมือนไม้หลักปักขี้เลนโอนเอนไปมา ตอนอยู่กับแม่ของเธอก็บอกว่ารักและจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ผู้เป็นแม่หาให้ แต่พอเจอตัวจริงกับคำพูดหวานหูก็ผิดคำสัญญาโดยทันที แถมยังเป็นคนเห็นแก่ตัว ยังมาขอร้องให้แม่อยู่ในบ้าน...มองดูสามียกย่องเชิดชูผู้หญิงคนอื่น แต่ตัวเองคือผู้อาศัยที่ถูกขับไล่ไม่เว้นแต่ละวัน
“บัว!”
“ยังไงบัวก็ไม่ให้อภัยผู้ชายคนนั้นแน่ค่ะแม่พรพรรณ” บุษกรพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
พรพรรณได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอาใจกับคำพูดของบุตรสาวบุญธรรม ก่อนจะหนักใจเมื่อได้ยินอีกคำที่ดังมาจากปากสาวน้อย
“ถ้ามีโอกาส บัวจะเอาคืนผู้ชายใจร้ายและยายหมาบ้าที่มาอาละวาดทำให้แม่อยู่ไม่เป็นสุข” แค่ผู้ชายคนเดียว ถึงกับตามราวีผู้หญิงอีกคนแทบจะทุกวัน เรียกตัวเองว่าผู้ดี แต่คำพูดเหมือนกับไพร่กลางถนน ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งแทบจะหนีตายเพราะทนอับอายไม่ไหว
แม่พาร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง น้ำตาไหลนองหน้ามาขอความช่วยเหลือจากแม่พรพรรณที่ไม่อยากรับภาระสักเท่าไหร่เพราะตัวเองกำลังจะแต่งงานกับข้าราชการหนุ่มอนาคตไกล แต่พอได้ฟังเหตุผลว่าถูกแม่สามีรังเกียจ สามีก็อ่อนแอไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง อะไร ๆ ก็แล้วแต่แม่...แม่ตลอด ที่สำคัญคือรู้ว่าเพื่อนท้องอยู่ ก็เลยสงสารให้ที่อยู่ที่กิน คอยดูแลและปลอบใจ รับฟังปัญหาที่มีอย่างเข้าอกเข้าใจ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"