เขาอยากมีลูก แต่ไม่อยากมีเมีย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเขาก็ไม่ต่างจากคุกที่ไม่อยากเข้า งานนี้จึงมีการตามหาแม่อุ้มบุญ โดยมีกติกาว่า... ผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกจะต้องบริสุทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เห็นหน้าเขา และข้อสำคัญคือ...ห้ามหลงรักเขาเด็ดขาด !
ในยามบ่ายโมงกว่าๆ แดดแรงร้อนของกลางเดือนเมษายน ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเซซังอยู่ริมถนน และเธอคงล้มถ้าร่างของเธอไม่ไปปะทะกับเสาไฟ ใบหน้าเรียวรูปไข่เซียวซีด ริมฝีปากแห้งแตกระแหง ผมยาวมัดเป็นหางม้ายุ่งเหยิง เธอกอดเสาต้นนั้นไว้แน่นไม่นึกกลัวว่าจะมีไฟฟ้ารั่ว ถ้าเธอไม่เกาะมีหวังร่างที่ขาดอาหารมาหลายมื้อคงล้มกองอยู่ตรงนี้
“อ่า” หญิงสาวครางเบาๆ ดาวระยิบระยับ จึงหลับตาลงพยายามหายใจยาวเพื่อผ่อนคลายอาการวิงเวียนและอยากอาเจียนขึ้นมา
“หนูๆ หนูเป็นอะไรหรือจ๊ะ”
เสียงผู้หญิงร้องถามไกลออกไปจากความรู้สึก หญิงสาวขมุบขมิบปากตอบ
“เอม หิว ข้าว” เสียงของเธอตะกุกตะกักแทบฟังไม่ออกว่าพูดอะไร
“หิวเหรอ มานี่ๆ” ระย้า หญิงวัยห้าสิบปลายตรงเข้ามากอดเอวรั้งร่างผอมบางให้เดินเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล คนในร้านพากันหันมามองแต่ไม่มีใครคิดจะสนใจไตร่ถาม “นั่งตรงนี้นะ แอร์เย็นๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ” เอมวิกาพึมพำขอบคุณ เธอซบหน้าลงบนท่อนแขนที่วางบนโต๊ะ
ระย้าเหลียวหาเด็กเสิร์ฟ ที่เมียงมองอยู่ไม่ไกล “น้องๆ สั่งอาหารหน่อยจ้ะ”
“ลูกค้าจะรับอะไรดีคะ”
“ขอเป็นน้ำหวานแก้วหนึ่ง น้ำเปล่าสองขวด แล้วเอาข้าวผัดอะไรก็ได้มาสองจาน”
เด็กเสิร์ฟรับออเดอร์เดินห่างไปแล้ว คุณระย้าก็หันมากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งอย่างพินิจ
“ขอบคุณมากนะคะคุณน้าที่ช่วยเอม”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เพื่อนร่วมโลกกันก็ต้องช่วยกัน เอ่อ แล้วหนูมาจากไหนหรือ ทำไมมาเป็นลมอยู่ที่นี่”
“เอมมาจากต่างจังหวัดค่ะ” เอมวิกาหยิบแก้วน้ำหวานที่เด็กเสิร์ฟนำมาวางขึ้นดื่ม ด้วยความรีบร้อนเธอเกือบสำลัก
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ จิบสิจ๊ะ”
“ค่ะ เอมขอโทษค่ะตะกรุมตะกรามไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรจ้า ดื่มน้ำชื่นใจแล้วก็กินข้าวเลยสิ กำลังร้อนๆ”
“คุณน้าไม่กินด้วยกันหรือคะ” เธอมองข้าวสองจานที่วางตรงหน้าแล้วหันไปถามหญิงสูงวัย
“ไม่จ้ะ น้ากินอิ่มแล้ว กินเสร็จออกจากร้านจะไปขึ้นรถก็เจอหนูก่อน หนูกินเลยจ้ะ”
เอมวิกาไม่รอให้ต้องบอกซ้ำเธอหยิบช้อนขึ้นมาถือ แล้วลงมือตักข้าวใส่ปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ชั่วพริบตาเดียวข้าวก็หมดจาน ระย้าเลื่อนอีกจานไปตรงหน้า หญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบจัดการต่อทันที
“ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้ว”
“สองวันค่ะ” เธอตอบพลางหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก “เอมหิวมากค่ะ เมื่อครู่ถ้าไม่ได้คุณน้าช่วยไว้เอมคงแย่”
“หนูมาหางานทำหรือมาทำอะไร”
“มาหางานทำค่ะ แต่ลงรถที่หมอชิตเอมก็เสียท่าถูกกระชากกระเป๋า ทั้งเงินทั้งบัตรอยู่ในนั้นหมดเลยค่ะ เดินออกหางานทำหวังจะมีค่ารถกลับบ้านก็ไม่มีใครรับ เอกสารอะไรไม่มีให้ เขากลัวว่าเอมเป็นพวกหนีกฎหมาย”
“สมัยนี้มันอันตรายทุกย่างก้าว ดีแล้วที่มันได้ไปแค่กระเป๋า ไม่ได้หลอกพาหนูไปขายซ่องด้วย และคนที่เขาไม่รับหนูเข้าทำงานก็อย่าไปโทษเขาเลย เขาไม่รู้จักเราก็ต้องระแวงเป็นธรรมดา”
“เอมไม่ว่าไม่โทษใครหรอกค่ะ ในทางกลับกันถ้าเป็นเอมก็ยังต้องคิดนานเลยค่ะว่าจะรับเขาไว้ทำงานด้วยไหม”
คุณระย้ากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าตลอดร่าง สังเกตกระทั่งเล็บมือ “ดีแล้ว อกเขาอกเรา แล้วนี่ชื่อเอมอะไร”
“เอมวิกาค่ะ”
“ชื่อเพราะ รูปก็งาม น้าชื่อระย้านะ อืม..สนใจไปทำงานกับน้าไหม น้ากำลังหาคนไปทำงาน”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากสีซีดเปิดเป็นรอยยิ้มกว้าง “สนใจค่ะคุณน้า งานอะไรหรือคะ”
“ก่อนที่จะบอกว่างานอะไร น้าถามหน่อย” แทนคำตอบ ระย้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้เอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบ “หนูยังบริสุทธิ์อยู่ใช่ไหม”
เอมวิกาตกใจกับคำถามของหญิงวัยกลางคน “คุณน้า! คุณน้าถามทำไมคะ”
“เอาเถอะน่า ตอบมาตรงๆ หนูยังเวอร์จิ้นอยู่หรือเปล่า”
“ก็ๆ ยังเวอร์จิ้นอยู่ค่ะ เอมไม่เคยมีแฟน” เธอตอบอายๆ
“หน้าตาของหนูสะสวย น้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะยังไม่เคยมีแฟน โกหกหรือเปล่า”
“คนมาจีบมีเยอะค่ะ แต่พอเห็นฐานะทางบ้าน ทุกคนก็รังเกียจแม่กับน้องๆ เขารักแค่ตัวเอม เอมเลยขอไม่มีแฟนดีกว่าค่ะ”
“รักแม่ก็ประเสริฐมากแล้วหนู”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า” เอมวิกายกมือไหว้อีกฝ่าย “ว่าแต่เรื่องงาน”
“อ๋อ เรื่องงานเราไปคุยกันที่รถเถอะ คุยที่นี่ไม่สะดวกคนพลุกพล่านมากเกินไป” คุณระย้าบอกพลางกดมือถือไปด้วย
“ค่ะ”
มาถึงขั้นนี้แล้วเอมวิกาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด ถ้าคนตรงหน้าจะหลอก เธอก็จะถือว่าตอบแทนบุญคุณข้าวสองจานกับน้ำที่หญิงสูงวัยซื้อเลี้ยง
และอีกไม่กี่นาทีต่อมาสองสาวต่างวัยก็เดินออกจากร้านอาหารมาถึงรถของคุณระย้าที่จอดอยู่ไม่ไกล และเมื่อได้ขึ้นไปนั่งคู่กันบนรถแล้ว คุณระย้าก็หันมาทางหญิงสาว
“น้าขอถ่ายรูปหนูเอมหน่อยนะ จะส่งให้นายจ้างเขาดู”
“ได้ค่ะ” เอมวิกาจัดท่านั่งเรียบร้อยให้อีกฝ่ายถ่าย คุณระย้าถึงกับอมยิ้ม
“นั่งแบบตามสบายเถอะหนู ไม่ต้องเกร็ง”
“หนูก็ไม่เคย รู้สึกเขิน” หญิงสาวพูดแล้วหัวเราะ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงกลางคนกดชัตเตอร์ “อุ๊ย เอมยังไม่ได้ตั้งท่าเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่นี้ก็สวยแล้ว เดี๋ยวน้าส่งรูปให้เจ้านายดูแป๊บนะ” ระย้ากดโทรศัพท์พิมพ์ไลน์ สักครู่ก็หันมาทางหญิงสาว “เจ้านายน้าเขาสนใจหนูจ้ะ ทีนี้ก็อยู่ที่หนูแหละสนใจจะทำไหม”
“ก็สนใจค่ะ อยากทำงานมีรายได้ส่งให้น้องเรียน แม่ก็จะได้ไม่ต้องอดนอนไปขายของดึกๆ ดื่นๆ มีเวลาดูแลน้องได้เต็มที่”
คุณระย้ามองคนพูดด้วยความเห็นใจ “น้าเห็นใจหนูนะ และคิดๆ ดูแล้วน้าก็ชักไม่อยากให้หนูทำงานนี้แล้วสิ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
คุณระย้าถอนใจยาว มองหญิงสาวคราวลูกด้วยความเห็นใจ “งานนี้มันเป็นงาน เอ่อ อุ้มบุญจ้ะ” เธอตัดสินใจพูดโพล่งออกไป
เธอแต่งงานกับสามีที่เย็นชา หน้าดุ และไม่เคยบอกเธอว่ารักสักคำ เธอจะอบอุ่นแค่ตอนเขาร่วมรักด้วย จากนั้นเธอจะรู้สึกเหน็บหนาวกับความเฉยชาที่เขามีให้ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีกำลังใจคือการตั้งครรภ์ลูกแฝด เธอไปจากเขาโดยไม่ล่ำลา 4 ปีต่อมา เธอและเขาได้พบกันอีกครั้ง พร้อมเด็กฝาแฝดวัย 3 ขวบที่เรียกเขาว่า ‘พ่อ’
เพราะน้ำเมาในคืนนั้น เธอจึงพลาดท่า ‘ท้องไม่มีพ่อ’ เธอจำผู้ชายคนนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาคือใคร สิ่งที่จำได้ดีคือเสียงของเขาเท่านั้น วันเวลาผ่านไป เธอคลอดลูกชายฝาแฝด มีคนแปลกหน้ามาจับตัวเธอและลูกๆไป…คฤหาสน์หลังใหญ่ราวกับวังคือสถานที่เธอและลูกถูกพาตัวมา เธอได้พบใครคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร แต่ทว่าแววตากลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ “ในที่สุด ผมก็ตามหาคุณเจอเสียทีนะ” เธอจำได้…เสียงทุ้มทรงอำนาจที่ไม่เคยลืมเลย เขาคือผู้ชายในคืนนั้น ! “คุณตามหาฉันเจอได้ยังไง” “ไม่มีอะไรที่ผมต้องการแล้วจะไม่ได้หรอกนะ ถึงแม้จะใช้เวลานานไปหน่อยก็เถอะ” หญิงสาวนั่งคุกเข่ากอดลูกๆแนบอก เนื้อตัวสั่นระริก ถามด้วยเสียงที่สั่นจนควบคุมไม่อยู่ “คุณต้องการอะไร” “ตอนแรกแค่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนกันที่มาเสียตัวให้ผมแล้วก็ชิ่งหนีไป แต่พอรู้ว่าคุณมีลูก ผมก็ต้องการลูก” “ไม่ได้นะ” เธอกอดลูกชายทั้งสองแน่นกว่าเดิม “เด็กๆเป็นลูกของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ” ร่างสูงขยับมายืนใกล้ๆ หรี่ตามองเธอและเด็กๆ ก่อนยกมุมปากเป็นรอยยิ้มหยัน “มีแค่มดลูก คุณจะท้องได้เองหรือไง ถ้าไม่ได้สเปิร์มจากผมไปน่ะ” หญิงสาวหน้าร้อนวูบ… เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่า พ่อของลูกเธอนั้นไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา แต่เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ร่ำรวยมหาศาล ที่สำคัญเขาต้องการลูกๆ เธอจะต้องหนีจากเงื้อมมือของเขาให้ได้ อุตส่าห์อุ้มท้องมาตั้ง 9 เดือน จะยอมให้เขามาพรากลูกไปจากอกไม่ได้เด็ดขาด แม้จะตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องหนีให้ได้ แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว…นอกจากจะหนีไม่พ้นแล้ว อย่าว่าแต่ลูกเลย แม้แต่หัวใจของเธอก็ตกเป็นของเขา !
ปภาวีหลงรักนัธทวัฒน์ข้างเดียวมานานแล้ว ในวันที่เขาหมั้นหมายกับผู้หญิงคนอื่น เป็นวันที่เธอพลาดพลั้งมีอะไรกับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อพ่อขายเธอให้เป็นเมียเก็บของเขาในราคา 3 ล้าน ตอนกลางวันเธอเป็นคนรับใช้ที่โดนทุกคนในบ้านกดขี่รังแก ส่วนค่ำคืน เธอคือนางบำเรอของท่านประธานที่มองว่าเธอเป็นเพียงของเล่นเท่านั้น เมื่อเธอเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาและอยู่ในความเสี่ยง ‘แท้งคุกคาม’ หนทางเดียวที่จะปกป้องลูกฝาแฝดชายหญิงในท้องไว้ได้คือเธอต้องหนีไปจากเขา...!!
เธอเป็นเลขาของเขา ส่วนเขาก็เป็นเจ้านายของเธอ.... อัมพิกาตกหลุมรักนิโคลัสตั้งแต่แรกเห็น ทว่า...สถานะระหว่างเลขากับท่านประธานช่างต่างกันจนเธอไม่อาจคาดหวังเกินตัว 1 ปีผ่านไป จากการได้ทำงานใกล้ชิด เธอยิ่งหวั่นไหวจนยากจะถอนหัวใจ ได้แต่เก็บงำความรักไว้เป็นความลับในใจ ไม่สามารถเอ่ยปากไปได้ จนวันหนึ่ง เธอและเขาต่างเมาด้วยกันทั้งคู่จนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เธอยินยอมเพราะรัก แต่เขามีเพียงความใคร่ ในวันที่เสียตัวให้เขาแล้ว เขาพาเธอไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน...ที่นั่น ก็มีสาวสวยอยู่แล้วคนหนึ่ง เขาตั้งกติกาว่า ระหว่างเธอกับผู้หญิงคนนั้น...หากใครมีทายาทให้เขาได้ก่อน เขาจะยอมจดทะเบียนสมรสด้วย เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ความรัก แต่เป็นทายาทสืบสกุล ! ผู้ชายเลือดเย็นคนนี้น่ะหรือที่เธอรัก...ต่อให้เธอเกิดตั้งท้องขึ้นมาก็อย่าฝันเลยว่าเธอจะยอมให้เห็นหน้าลูก !!
สรวิชญ์คือรักแรกของฝากขวัญ... เธอเป็นลูกสาวหัวหน้าคนงาน ส่วนเขาคือลูกชายเจ้าของไร่สิงห์คำรามที่อายุมากกว่าเธอ 5 ปี ความใกล้ชิดก่อเกิดความสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เธอในวัยเยาว์ ไร้เดียงสา เรียนยังไม่จบมัธยมปลายก็เสียตัวให้เขา เธอวาดฝันถึงอนาคตที่ดี ความรักที่สวยงาม แต่แล้ว...ในวันที่เธอจบการศึกษาชั้น ม.6 คือวันเดียวกับที่ถูกเขาทอดทิ้ง พ่อพาเธอไปอยู่กรุงเทพเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ ในขณะที่ท้องของเธอเริ่มโตขึ้นทุกวัน โดยที่สรวิชญ์ไม่เคยรู้เลยว่าเธออุ้มท้องสายเลือดของเขาอยู่ เวลาผ่านไป 6 ปี ลูกสาวของเธออายุ 5 ขวบ เธอได้เดินทางกลับมาที่ไร่สิงห์คำรามเพื่อดูแลสรัณซึ่งเป็นเจ้านายเก่าของพ่อ เธอและเขาได้พบกันอีกครั้ง...เขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จากหนุ่มหน้าใส กลายเป็นผู้ชายดุดัน ไว้หนวดเครา ตัวโตร่างใหญ่ ที่สำคัญ...เขามีคู่หมั้นแล้ว แต่เธอไม่มีทางให้เขาสมหวังหรอกนะ เธอเคยเสียใจมากแค่ไหน เขาต้องได้รับความเสียใจมากกว่าเธอ ฝากขวัญไม่รู้เลยว่า...ความอยากเอาคืนในวันนั้น จะทำให้เธอตกหลุมรักอดีตสามีเป็นครั้งที่สอง ทว่าเธอไม่ใช่เด็กสาวม.ปลายผู้ไร้เดียงสาอีกแล้ว เธอไม่มีวันทำผิดพลาดเหมือนเมื่อก่อนแน่ๆ !
เธอเคยคิดว่าเขา รัก’จึงยอมยกให้ทั้งตัวและหัวใจ ทว่าในความจริง เธอเป็นได้แค่ ‘เมียในความลับ’ ที่ทำได้เพียงรอเวลาให้เขามานอนด้วย เจ้าสาวที่เขาจะแต่งงานด้วย ไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้หญิงคนอื่น และฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของเธอขาดลงก็คือการที่เธอตั้งครรภ์ แต่เขากลับแนะนำให้ไปทำแท้ง พอที...เธอไม่สามารถคบกับผู้ชายใจร้ายเช่นเขาได้อีก พรอุษาตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีแต่ความเจ็บปวด อุ้มท้องลูกน้อยหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ 4 ปีผ่านไป บาดแผลในใจเริ่มจางหาย พร้อมลูกสาวที่เติบโตมาอย่างน่ารัก แล้วในวันหนึ่ง...โชคชะตาก็ทำให้เธอบังเอิญพบเจอกับสามีเก่าอีกครั้ง ถ่านไฟที่ยังไม่ทันได้ดับสนิทเริ่มติดไฟขึ้นมาอีกครั้ง...แต่ทว่าเธอจะไม่มีวันยอมผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สองแน่ๆ ...................... “นี่มัน” ชายหนุ่มย่นหัวคิ้ว ดึงแผ่นทดสอบมาดู... ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าที่ถืออยู่นี้คืออะไร แล้วความหมายของสองขีดแดงคืออะไร...สายตาคู่คมจ้องหน้าเธออย่างเดือดดาล “เธอท้องเหรอ” “คือ...มัน...เอ่อ” เธออึกอัก “เธอท้อง...” เขากดเสียงให้ต่ำลงไปอีก ส่งผลให้เธอตัวลีบเล็ก อึกอัก “พิมลองตรวจดู ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะขึ้นสองขีด” “ไม่คิดงั้นเหรอ” ชายหนุ่มแค่นเสียง แสยะมุมปาก ปล่อยมือจากเธอพร้อมขยำแผ่นทดสอบปาลงพื้น “ฉันจะถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไปเอาเด็กออกซะ”
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"