ฉลามที่มันได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว มันไม่ปล่อยเหยื่อไปง่าย ๆ หรอกนะ ?
01
ผู้เขียนไม่มีเจตนาสนับสนุนการบูลลี่ หรือสิ่งที่ไม่ดีนะคะ
และตัวละครของบีที่นำเสนอเป็นเพียง ตัวเอก บุคคลคนหนึ่งที่มีดี ไม่ดี บ้งบ้าง
อยากให้อ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ
อะไรดีที่ก็นำไปปรับใช้ อะไรที่ไม่ดีโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แยกแยะนะคะ
ใครที่ไม่ชอบการนำเสนอแนวนี้ สามารถกดออกได้ค่ะ
หากไม่ชอบ กด X ไม่ดราม่านะคะ ขอร้อง แง
“เย้ ในที่สุดไลก็จะได้เข้ากรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุทธยามหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์อุดมราชนิเวศมหาสถานอมรพิมานอวตารสถิตสักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์สักที!” ผมกระโดดโหยง ๆ เมื่อรู้ว่าผมสอบติดทุนโรงเรียน R โรงเรียนชื่อดังมหาศาล ดังจนป้าข้างบ้านต้องกรีดร้องน้ำลายฟูมปากว่าติดได้ยังง๊ายยย แถมยังได้ทุนอีก ถ้าหากไปเรียนเฉย ๆ ไม่ได้ทุนคงไม่มีทางเพราะบ้านผมจนฉิบหาย
พ่อขายของเก่า รับจ้างทั่วไป ส่วนแม่รับตัดผ้า อยู่ที่จังหวัดตราด
“เห็นว่าไอ้กวางมันก็ติดมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นะ”
“เออแม่มึง แต่จะไปฝากไอ้ไฉไลกับกวางมันไม่ได้หรอก เกรงใจมัน มันอยู่กับแฟนมันนู่น”
“ไอ้นุไหม มันเอ็นดูไอ้ไลลูกเราจะตายไป เห็นมันจะเอาไอ้ไลไปอยู่ด้วยตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว”
พ่อกับแม่ผมอาบน้ำปะแป้งแล้วมานั่งคุยกับเรื่องที่อยู่ผมในกรุงเทพฯ ตอนแรกไม่คิดว่าผมจะติดไง คิดว่าไอ้เด็กเอ๋อแบบผมจะติดไหม เลยบอกว่าลองสมัครสอบดูแล้วผมมันดันเป็นเด็กฉลาดเป็นด่างเลยสอบติดได้ ความฝันอีกอย่างคือผมจะสอบให้ติดมหาวิทยาลัย CU คณะแพทย์ศาสตร์ด้วย ทีนี้ป้าข้างบ้านก็จะเอาลูกมาอวดพ่อแม่ผมไม่ได้อีกต่อไป โฮ่ ๆ ฮี่ ๆ คุกคิก คุกค๊าก
ว่าแต่จะให้ไปอยู่กับลุงนุเหรอ “ลุงนุที่ชอบซื้อของเล่นให้ไลอะเหรอพ่อ”
“ใช่”
ลุงนุที่ให้เงินแต๊ะเอียผมสองพันสามตลอดทุกปีแล้วโดนแม่ยึด จากนั้นลุงก็แอบเอาเงินมายัดมือผมแบบไม่ให้พ่อแม่รู้ ลุงนุที่สุดของความใจดี
“ไป!” จะรออะไร ก็ไปอยู่กับลุงนุเลยสิครับ
“ไอ้นุกูฝากลูกกูด้วยนะ”
“ฝากเมียด้วยไหม”
“ไอ้เหี้ยนุ”
“หยอกเอิน” ลุงนุทำมือแบบ หยอก ๆ น้าใส่พ่อ “กูแค่เล่นมุข ฝากลูกเมียข้าด้วยอะเฮื่ออ ไง” ผมชอบลุงนุมาก ลุงนุตลอด ตลกฉิบหายใจดีด้วย แถมบ้านลุงนุก็ใหญ่ หรูหรา รถเยอะแยะ หลากหลาย คือลุงนุเป็นเพื่อนพ่อที่ค่อนข้างรวยไปทางรวยมาก ผมไม่เคยมาบ้านลุงนุหรอก มีแต่ลุงลงไปหาพ่อที่ตราดแล้วก็พากันไปเที่ยวเกาะ พวกเกาะกูด เกาะหมากอะไรแบบนั้น
“เออ มันทำอะไรไม่ดี มึงโทรมาหากูได้เลยนะ กูจะสวดอภิธรรมศพให้มันเอง สวดจนมันตายแล้วเกิดใหม่ก็จะสวดวนไป”
พ่อผมก็ไม่เป็นรองลุงนุหรอกเอาจริง ๆ
“โห่พ่อเห็นไลเป็นคนยังไง”
“เป็นเด็กเหี้ยไงลูก”
พ่อ นี่ลูกเอง ลูกไง จำกันได้ไหม แฮลโหล๋
“เออ กูจะดูแลอย่างดี มึงอยู่กินข้าวเย็นกับกูไหม เดี๋ยวไอ้วาฬกับไอ้ฉลามก็จะกลับมาแล้ว”
“ไม่ได้จริง ๆ มึง เดี๋ยวดึก”
“เออ ๆ งั้นไม่เป็นไร เดินทางดี ๆ” พ่อผมมาส่งผมแค่คนเดียวส่วนแม่อยู่รอรับลูกค้าตัดผ้าที่บ้าน พ่อสวดอภิธรรมเตรียมฌาปนกิจผมเล็กน้อย จากนั้นก็กลับบ้านไป
“หนูไฉไลอยู่ห้องข้าง ๆ ไอ้ฉลามแล้วกันนะลูก”
“ขอบคุณครับลุง”
“ส่วนเรื่องไปโรงเรียน ขับรถเป็นไหม เอารถลุงไปใช้ได้”
“ไม่เป็นครับลุง”
“งั้น...อืม...” ลุงนุทำท่าคิดขณะที่ให้แม่บ้านช่วยขนของผมขึ้นไปชั้นบน บ้านลุงนุใหญ่มาก มีแม่บ้านสองคน ลุงคนสวนอีกหนึ่ง บอกตามตรงนะ ที่นี่อย่างกับคฤหาสน์ที่ผมเห็นในละครหลังข่าวจากทีวีลักษณะคล้ายตู้ปลาที่บ้านผมเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้มีบุญมาอยู่ที่นี่ “ให้ไอ้ฉลามไปส่งแล้วกัน โรงเรียนหนูอยู่ก่อนถึงมหา’ ลัยเจ้านั่น”
“อ๋อ ได้ครับ”
“เอ้า ชอบห้องไหม” ลุงนุถาม ส่วนผมก็มองไปรอบ ๆ ห้อง มันเป็นห้องสีขาวสะอาดสะอ้าน ใหญ่กว่าห้องนอนผมที่บ้านสองเท่าได้ ชุดเฟอร์นิเจอร์หรูหราหมายังไม่กล้าเห่า ที่พื้นมีพรมสีขาวนุ่ม ๆ เวลาเหยียบ แถมมีระเบียงด้วย เตียงใหญ่ท่าทางนุ่ม ห้องน้ำในตัว มีอ่างแบบกลม ๆ อันใหญ่ เรียกได้ว่าที่นี่แม่งคือสวรรค์
“ชอบมากเลยครับลุง ห้องสวยมาก”
“เดี๋ยวหกโมงลงมากินข้าวข้างล่างนะ ทำความรู้จักพี่ ๆ เขา เจ้าวาฬทำงานเป็นสถาปนิก พี่เขาเรียนจบแล้ว ส่วนเจ้าฉลามเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ คณะสถาปัตยกรรมออกแบบภายใน ลูกลุงเท่ไหม เท่ที่สุดเลย” ว่าแล้วลุงแกก็เล่าถึงลูกชายสองคนที่ผมไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ชื่อลูกลุงโคตรเท่เลย เอาไปสิบเอ็ดเต็มสิบ “เจ้าวาฬใจดีมาก ส่วนฉลาม อย่าไปยุ่งกับมันเยอะนะ เจ้านั่นมันดุ ดุอย่างหมาแม่ลูกอ่อน แต่ลูกลุงหล่อเหมือนลุง ให้อภัยมันเถอะ ความหล่อชนะทุกอย่าง”
มาอยู่ได้ไม่ถึงวันก็รับรู้ได้ถึงความเหนื่อย เหนื่อยใจนี่แหละ
ลุงนุปล่อยให้ผมจัดของ พอถึงเวลาข้าวผมก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วลงไป แต่ลงเลทนิดหน่อยเพราะติดสายคุยกับพ่ออยู่ พ่อเพิ่งถึงบ้าน
ที่ห้องอาหารมีคนอยู่แล้ว ได้แก่ลุงนุ พี่ผู้ชายใส่แว่นหน้าหล่อ ท่าทางใจดี รับรู้ได้ถึงความไมโคเวฟตอนที่พี่เขามองมาพร้อมรอยยิ้มที่ถอดแบบลุงนุมา ส่วนอีกคนมองหน้าผมด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ เขาเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้วเคาะนิ้วกับโต๊ะหินอ่อนแผ่นยาว คนนี้มองตาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นพลังงานความร้อนตอนออสเตรเลียเข้าหน้าร้านจนถนนละลาย
ให้เดาจากเซ้นอันแสนชาญฉลาดของผม คนที่ใส่แว่นใจดี สปอร์ต กทม. ชื่อพี่วาฬ
ส่วนคนที่หน้าโหดเหมือนจะกระโดดถีบกันตั้งแต่แรกพบคือพี่ฉลาม
“สะ...สวัสดีครับพี่ ๆ”
“น้องไฉไลใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“พี่ชื่อวาฬนะ”
“สวัสดีครับพี่วาฬ” ผมยกมือไหว้พี่วาฬ ผมเดาถูกว่ะ พี่แว่นคือพี่วาฬ ที่เดาถูกอีกอย่างเพราะพี่เขาใส่แว่น ว. แหวนเหมือนกัน แว่น วาฬ
ไอ้เหี้ยคิดได้ไงวะ กูนี่อย่างเท่ ต๊าซสุดในสามโลกา
“ฉลาม” คนที่ดุ ๆ บอกห้วน ๆ ที่เขาพูดเพราะลุงนุจ้องหน้า ผมเลยยกมือไหว้อีกรอบ
“ไหว้หมาเถอะลูก” อันนี้ลุงนุพูดตอนที่ผมยกมือไหว้พี่ฉลาม ทำเอาพี่วาฬหลุดยิ้มออกมา ส่วนผมก็ต้องทำปากอรุ่มเจ๊าะเพราะไม่กล้ายิ้ม ทั้งที่ข้างในคือกูดิ้นเป็นไส้เดือนแล้ว ขำ
“มึงไม่ลงมาพรุ่งนี้เลยล่ะ เป็นผู้อาศัยทำเจ้าของบ้านรอแดก...กินข้าว” คำว่าแดกถูกแปรผันเป็น กิน เมื่อลุงนุกระแอมไอคนเส้นเลือดคอแทบจะโป่งพอง
“ขอโทษครับ มัวแต่คุยกับที่บ้าน จริง ๆ ถ้าหิวกินกันก่อนเลยก็ได้นะ”
“บ้านเรากินข้าวพร้อมกัน เสร่อไม่รู้?”
แรงมากพ่อ เจอกันวันแรกก็ด่ากูเสร่อเลย หน้าหล่อแต่ไม่มีผลกับมารยาททางสังคมสินะ “ใส่แว่นแล้วไม่ฉลาดเลยเนอะ”
โอโห... แว่นมันวัดความฉลาดคนที่ไหนวะ แว่นมันเกิดจากการวัดสายตาเว้ย
“กระทบกูไอ้หลาม” พี่วาฬว่าพลางเอามือขยับแว่น เออใช่ ผมใส่แว่น พี่วาฬก็ใส่
“ฟันเหล็กคิดว่าเท่เหรอ”
ลามมาเรื่องเหล็กจัดฟันผมที่ชาติหนึ่งจะได้ไปดึงฟันครั้งเพราะที่บ้านไม่มีเงิน คือที่ผมต้องจัดทั้งที่บ้านแทบไม่มีเงินเพราะมันมีผลต่อการกินของผม การสบของฟัน เรียกว่าจัดเพื่อการรักษาและใช้ชีวิตจริง ๆ แถมค่าจัดลุงนุก็ช่วย ๆ มาด้วยแหละ
“ฟันเหล็กก็เท่กว่าพี่ฉลามแล้วกัน”
“ตัวก็เตี้ยอย่างกับตอม่อ” เกิดมาไม่สูงกูผิดอะไร “หน้าก็อย่างกับด็อบบี้ เอาถุงเท้าไหม จะได้เป็นอิสระ”
กูไม่ได้หน้าเหี้ยเว้ย กูแค่หน้าง่วง
“พี่ฉลามรู้ปะ ว่าสมัยนี้เขาจริงจังเรื่องต่อต้านการบูลลี่นะ เดี๋ยวผมเอาไปลงทวิตให้เฟมทวิตมารุมแหกพี่ขึ้นเทรนอันดับหนึ่งไปเลย”
“อย่ามาทำเป็นเก่งกับกูไอ้เด็กหะ...เตี้ย”
เขาพูดเสียงเบาลง จากคำว่า ‘เหี้ย’ เป็น เด็ก ‘เตี้ย’ แทนเพราะลุงนุกระแอมอีกครั้ง
“แกเลิกว่าน้องได้ยัง น้องก็ตัวเท่านี้ เป็นเจ้ามู้จู้ คิดซะว่าไฉไลเป็นน้องชายอีกคนไม่ได้เรอะไอ้ฉลาม ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นฉลามเท่ คูล ๆ ไม่ได้เลี้ยงมาให้เป็นหมาพิทบูลบ้าดีเดือด”
เออ พี่ฉลามเหมือนหมา
ไอ้หมา
“ชื่อไฉไลเหรอมึง”
“ทำไม”
ชื่อไฉไลแล้วมันทำไม ไฉไล เท่ เลิศ สแมนแตนอะ
“ชื่อตลกเหมือนหน้ามึงเลย”
พี่มึง จะบู้บี้กูเกินไปแล้วนะเว้ยยยยยยย!
100%
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"