"อยากรู้ไหมว่าไฟรักอย่างผมมันรุนแรงยังไง ก็ลองหนีจากผมไปให้ได้สิ" -ไฟซัล- [นิยายรักโรมานซ์ 18+] คำโปรย ‘มนุษย์ทุกคนล้วนมีความลับ…’ “ผมขาดคุณไม่ได้” “คุณขาดฉันไม่ได้หรือเพราะฉันเป็นคนเดียวที่คุณกอดได้กันแน่คะ?”ดวงตาหวานช้อนมองอย่างซื่อตรง เธอไม่ได้ถามเพราะประชดประชัน แต่ถามเพราะอยากฟังคำตอบจากปากเขาจริงๆ “คุณคิดว่าสำหรับผม ‘เซ็กส์’ คือทุกอย่างงั้นเหรอ”ไฟซัลตัดพ้อ เขาหลุบตามองคนตัวเล็กในอ้อมกอด นับวันเขาก็ยิ่งคลั่งไลลานามากขึ้น… มากขึ้น “ถ้าอย่างนั้น… อะไรคือทุกอย่างสำหรับคุณคะ” “คุณไง… ไลลา คุณคือทุกอย่างของผม” รสจูบแสนหวานตอกย้ำความรู้สึกมหาศาลของเขา มือหนากดเธอไว้ใต้ร่าง ริมฝีปากร้อนระดมจูบแก้มนวลลากไล้ไปตามลำคอระหง รักจนอยากจะกลืนกินเธอทั้งตัวขนาดนี้ยังดูไม่ออกอีกเหรอ… หรือต้องให้เขาคลั่งรักเธอยิ่งกว่านี้? ฮึ… ถ้าจะคลั่งรักมากกว่านี้ก็เหลือแค่จับเธอล่ามโซ่ไว้บนเตียงแล้วล่ะ!
๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
[ตอนนี้นายอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปหา]
“…”
[ไฟซัล อย่าเป็นแบบนี้ พ่อนายเป็นห่วงมากนะ ตอบฉัน นายอยู่ที่ไหน?]
ติ้ด…
น่ารำคาญ… ไม่ว่าใครก็น่ารำคาญไปหมด
อึก…
กระป๋องเบียร์ถูกยกดื่มจนหมด ก่อนโยนมันทิ้งแล้วหยิบกระป๋องสุดท้ายขึ้นมาเปิดใหม่ ร่างสูงซวนเซเล็กน้อยตามความแรงของแอลกฮอล์ในเลือด เขานั่งดื่มอยู่ตรงนี้มาเกือบชั่วโมงกว่าแล้ว ความจริงเขาอยากจะไปดื่มในผับให้หนักกว่านี้ แต่เพราะ ‘โรคบ้าๆ’ ทำให้เขาไม่สามารถไปในที่ที่ ผู้คนพลุ่กพล่านและแออัดได้ เขาจึงต้องมานั่งดื่มเงียบๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทน
‘ไฟซัล’ หนุ่มหล่อโปรไฟล์ดีทายาทนักธุรกิจพันล้านวัยยี่สิบสองปี เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ใบหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนปรากฏเข้ามาในหัว ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาเหลือเกิน
“…แม่ฮะ” เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาแผ่วเบา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในอก เขาเพิ่งสูญเสียมารดาผู้เป็นที่รักไปเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยโรคมะเร็ง แม่ของเขารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปี แม้จะทุ่มเงินไม่อั้นในการรักษาสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อความตายเอาไว้ได้ แม่จากเขาไปอย่างสงบในวันที่เขากำลังเข้ารับปริญญาบัตร มันเป็นเรื่องน่าเศร้าแสนสะเทือนใจสำหรับชายหนุ่มอย่างมาก
นับตั้งแต่วันที่ไฟซัลสูญเสียแม่ไป หลังจบงานศพเขาไม่ได้กลับบ้านอีกเลย ทำให้พ่อของเขาเป็นห่วงมาก รวมถึงเพื่อนสนิทของเขาด้วย
“อะไรน่ะ” ดวงตาคมแสนโศกเศร้าหยุดชะงักบนสะพานข้ามแม่น้ำ เขามองเห็นร่างเล็กๆ ของใครคนหนึ่งกำลังยืนชะโงกหน้ามองแม่น้ำอยู่บนนั้น แวบแรกที่ไฟซัลคิดคือคนคนนั้นกำลังจะฆ่าตัวตาย…
ร่างสูงลุกขึ้นยืนเดินขึ้นบันไดมาบนสะพานโดยถือกระป๋องเบียร์ติดมือมาด้วย เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเพราะตัวเองอยู่ในอาการมึนเมาพอสมควร สายตาจ้องมองร่างเล็กบางตรงปลายสายตานิ่ง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอคนนั้นเป็น ‘ผู้หญิง’ เขาจึงหยุดยืนห่างจากเธอประมาณหนึ่งเมตร เพื่อเว้นระยะห่างเหมือนอย่างทุกที เขาหันหน้าเข้าหาราวสะพานก้มมองแม่น้ำเบื้องล่างตามสายตาของเธอ
“จะโดดเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม สายตาคมหันมองเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมของโรงเรียนนานาชาติที่ไหนสักแห่ง เธอละสายตาจากผืนน้ำกลับมาสบตากับเขานิ่ง วินาทีนั้นหัวใจแกร่งกระตุกไหวเล็กน้อย
เด็กคนนี้สวยมาก…
ไฟซัลคลี่ยิ้มบาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขากำลังเมาหรือเปล่าถึงได้มองเด็กสาวตรงหน้าว่าสวย ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่เคยแยแสผู้หญิงคนไหนมาก่อน สำหรับเขาผู้หญิงก็เหมือนๆ กันหมด ทั้งเหม็น ทั้งน่ารำคาญ ไม่ควรเข้าใกล้เลยสักนิด
สายลมพัดเรือนผมสีดำของเด็กสาวพลิ้วไหว เขาจับจ้องภาพนั้นนิ่งงัน กลิ่นหอมอ่อนๆ พัดมาตามสายลมกระทบโสตประสาทการรับกลิ่นของเขา
หอม…
ดวงตาคมหลับตาลงเพื่อสูดดมกลิ่นที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะเขาเป็น ‘โรคประหลาด’ มาตั้งแต่จำความได้ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนได้ นอกจากมารดาของเขา
วงการแพทย์เรียกโรคของไฟซัลว่า Gynophobia หรือโรคกลัวผู้หญิง โดยโรคนี้เกิดจากการหลั่งสารเคมีในสมองไม่สมดุล ทำให้เกิดความคิดวิตกกังวลที่มากเกินคนปกติ ซึ่งความวิตกกังวลเหล่านี้จะกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไวเกินปกติ ทำให้เกิดอาการแปรปรวนด้านร่างกายตามมา เช่น ใจสั่น ตื่นเต้น ประหม่า เหงื่อแตก หายใจไม่อิ่ม ชาแขนขา ควบคุมตนเองไม่ได้ แม้จะรับรู้ว่าสิ่งเร้าที่ทำให้กลัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอันตราย แต่มีความรู้สึกหวาดกลัวและต้องหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่กลัวนั้นจนทำให้อาการหวาดกลัวส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งสำหรับไฟซัลค่อนข้างจะแสดงออกได้รุนแรงและแปลกประหลาดกว่าเคสปกตินั่นก็คือเมื่อเขาเข้าใกล้ผู้หญิง เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่จะรู้สึกเหม็นและมีอาการอยากอาเจียนแทบทุกครั้ง ทางการแพทย์จึงถือว่าเคสของเขาเป็นเคส Gynophobia หายากและยังไม่มีทางรักษา
ไฟซัลเติบโตมาด้วยการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือเข้าใกล้ผู้หญิงมาตลอด หลายครั้งที่เขาหลีกเลี่ยงไม่พ้นทำให้อาเจียนออกมาเลยก็มี ซึ่งผู้หญิงคนเดียวที่เขาเข้าใกล้ได้ก็คือแม่ของเขาเท่านั้น และตอนนี้เธอได้จากเขาไปตลอดกาลแล้ว บนโลกใบนี้จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจะเข้าใกล้ได้อีก
ทว่า… เด็กสาวคนนี้กลับทำให้เขาไม่รู้สึกเหม็นหรืออยากจะอาเจียนเลยสักนิด
“คุณเมาเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถามขณะละสายตาไปจากเขา ไฟซัลค่อยๆ ขยับเข้ามายืนใกล้เด็กสาวมากขึ้นเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ระยะห่างระหว่างทั้งสองจึงค่อยๆ ลดลงทีละนิด
“นิดหน่อย เธออยากดื่มด้วยไหมล่ะ?” เขายื่นกระป๋องเบียร์ในมือให้ เด็กสาวไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ ดวงตาหวานเหม่อมองผืนน้ำเบื้องล่างราวกับว่ามันน่าสนใจนักหนา
“หนูเพิ่งสิบห้าเองนะคะ คุณไม่ควรชวนเด็กดื่มเหล้านะ มันผิดกฎหมายค่ะ”
ไฟซัลชักมือกลับมา ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะวางมันลงบนราวสะพาน เธอพูดถูก เขาคงเมามากจนเสียสติไปแล้วจริงๆ
“เธอจะกระโดดลงไปไหม?”
“…” คำถามของเขาเรียกสายตาจากร่างบางให้หันมาสนใจ เธอเลิกคิ้วน้อยๆ มองชายแปลกหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ
“ถ้าเธอโดด ฉันก็จะโดดเป็นเพื่อน ดีไหม?” เขาสบตาเด็กสาว ริมฝีปากหนาขยับยิ้มบาง แววตาคมฉายความเศร้าออกมา ไร้แววล้อเล่น เขาคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ
“ไม่ค่ะ หนูไม่คิดจะกระโดดหรอก คุณก็ห้ามทำแบบนั้นนะคะ” เด็กสาวปฏิเสธเสียงหนักแน่น มองเขาด้วยแววตาตักเตือน
“ทำไมล่ะ? ก็เห็นเธอมองเหมือนอยากกระโดดลงไป” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างฟังยากพอสมควร เด็กสาวจึงขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลดลงเหลือเพียงศอกเดียว
น่าแปลก… ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอยากจะอาเจียนเลยล่ะ?
ไฟซัลขมวดคิ้วก้มมองใบหน้าสวยของเด็กสาว เธอกำลังมองเขาตอบเช่นกัน ดวงตากลมโต ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้ม คิ้วเรียวสวย ช่างเป็นใบหน้าที่น่าทะนุถนอมจริงๆ
“หนูไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ทั้งเปราะบาง ทั้งอ่อนแอ หนูยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำ หนูจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและมีความสุขมากที่สุด เพื่อให้คนบนฟ้ามองลงมาด้วยรอยยิ้มค่ะ เพราะฉะนั้นหนูจะไม่มีวันทำร้ายตัวเองเด็ดขาดค่ะ”
ภาพรอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มคล้ายตกอยู่ในภวังค์ เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอใครสักคนที่มีพลังบวกมหาศาลขนาดนี้ เธอทำให้เขาอบอุ่นหัวใจอย่างน่าประหลาด ราวกับแสงไฟเพียงหนึ่งเดียวสาดส่องเข้ามาในความมืดมิดของจิตใจเขายามนี้
“คุณก็เหมือนกันนะคะ ชีวิตของคุณมีค่ามาก คุณพ่อคุณแม่สร้างชีวิตคุณขึ้นมาอย่างยากลำบาก อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มหนักขนาดนี้อีกนะคะ มันไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ” เด็กสาววัยสิบห้าหันมาพูดเชิงสอนเขาซึ่งอายุยี่สิบสองปี
ไฟซัลหลุบตามองกระป๋องเบียร์บนราวสะพาน ขยับยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง “แต่มันเป็นทางออกเดียวที่จะช่วยให้ฉันลืมความเจ็บปวดนี้ไปได้”
“คุณกำลังเจ็บปวดหรือคะ?” เธอเอียงคอถาม
“ใช่… ฉันกำลังเจ็บปวดมากๆ เจ็บจนอยากจะตาย”
ชายหนุ่มเหม่อมองผืนน้ำเบื้องล่างโดยไม่รู้เลยว่าเด็กสาวข้างกายขยับเข้ามาจนชิดกับตัวเขาแล้ว เขาไม่ได้กลิ่นน่าอาเจียนจากกายเธอเลยสักนิด กลับกัน… กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเธอนั้นกลับทำให้เขารู้สึกจิตใจสงบมากขึ้น
“คุณต้องการให้กอดไหมคะ?” เธอถามเขาอีกครั้ง คราวนี้ไฟซัลหันมองเด็กสาวด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย สีหน้าของเธอใสซื่อ ไร้พิษภัย แววตาห่วงใยเต็มไปด้วยความหวังดี
“กะ กอดเหรอ? กอดแบบไหน?” เขาไม่ได้จิตอกุศลหรอกนะ แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างเมามาก แค่ยืนยังจะยืนไม่ตรงเลยด้วยซ้ำ จะให้ตีความคำว่ากอดของเด็กสาวไปในทางที่ดีมันก็คงจะยาก
“กอดก็คือกอดไงคะ? กอดมีแบบอื่นด้วยเหรอ หนูไม่เข้าใจ” เด็กสาวเอียงคอ เลิกคิ้วน้อยๆ ทำหน้าครุ่นคิด “คุณแม่เคยสอนหนูว่า ‘อ้อมกอดรักษาความเจ็บปวดได้’ หนูเห็นคุณเจ็บปวด หนูอยากช่วยคุณค่ะ”
อ้อ… คำว่ากอดของเธอคือความหมายนี้สินะ
ไฟซัลเพิ่งจะสังเกตว่าเขายืนชิดกับเด็กสาวมาก แถมตัวเองยังไม่มีอาการตอบสนองต่อกลิ่นอย่างรุนแรงเหมือนที่ควรจะเป็น หรือเพราะว่าเขาเมามากเกินไป ไอ้โรคประหลาดนั่นเลยพังชั่วคราว?
“มาสิคะ”
เด็กสาวหันตัวเข้าหาร่างสูงกว่าพร้อมกางสองแขนออกกว้าง เชิงเรียกให้เขาเข้ามากอดเธอ ไฟซัลยืนนิ่งงันไม่กล้าขยับแม้เพียงปลายนิ้ว ตั้งแต่เกิดมานอกจากมารดาเขาไม่เคยกอดผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะโรคประหลาดของเขาทำให้เขาไม่สามารถทนรับกลิ่นน่าอาเจียนจากผู้หญิงได้ เขาจึงเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงทุกคนมาโดยตลอด
ทว่าครั้งนี้… เขากลับรู้สึกอยากจะโผเข้าหาอ้อมกอดเล็กๆ นี้ ราวกับว่าเขาต้องการอ้อมกอดปลอบโยนของใครสักคนในยามที่เขากำลังเจ็บปวดเจียนตาย
หมับ
เพราะเห็นว่าร่างสูงยืนนิ่งไปนาน ร่างบางตัวเล็กจึงเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาแทน เธอสวมกอดเขาหลวมๆ ซบใบหน้าลงบนแผงอกของเขา มือข้างหนึ่งตบแผ่นหลังกว้างเบาๆ อย่างปลอบประโลมเหมือนที่แม่ของเธอเคยทำเสมอในยามเธอเจ็บปวด
“ไม่เป็นไรแล้วน้า… อย่าเจ็บปวดอีกเลยนะคะ” เสียงหวานพึมพำเบาๆ ปลอบโยนเขา ไฟซัลหลับตาลง สองมือยกขึ้นโอบกอดเด็กสาวแผ่วเบา กลิ่นหอมของเธอช่วยทำให้ความรู้สึกสงบใจค่อยๆ แทรกเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดในหัวใจ
นี่คือ… อ้อมกอดที่เขาต้องการมากที่สุดในโลก
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอนมืดสลัว ร่างสูงบนเตียงพลิกตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว เขามองไปรอบห้องนอนตัวเอง ดวงตาคมหม่นแสงลง
ฝันเหรอ…
ไฟซัลยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงด้วยอาการปวดหัวขั้นสุด เมื่อคืนเข้าดื่มไปเยอะมาก เขาจำเรื่องเมื่อคืนแทบไม่ได้เลย มีเพียงความทรงจำเลือนรางราวกับความฝันเท่านั้นที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา มือหนายกขึ้นขยี้ผมสีดำสนิทของตัวเองแรงๆ เตรียมจะก้าวขาลงจากเตียง แต่กลับต้องชะงักไป
นั่นมัน…
ผ้าพันคอคุ้นตาผืนหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากโต๊ะหัวเตียง กลิ่นหอมอ่อนๆ ยังคงติดตรึงอยู่บนผ้าผืนนั้น เขาจำกลิ่นหอมนี้ได้ดี… มันคือกลิ่นของเด็กสาวคนนั้น!
ถ้าอย่างนั้น… เรื่องเมื่อคืนก็ไม่ใช่ความฝันน่ะสิ!
“ตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวหรือเปล่า” ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อมร่างสูงของเพื่อนสนิทเดินเข้ามา เขารีบหันไปถามในสิ่งที่คาใจทันที
“เจ้าของผ้าผืนนี้อยู่ที่ไหน?”
“อะไรของนาย” ‘อลัน’ เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันเลิกคิ้วมองผ้าพันคอในมือไฟซัลอย่างฉงน เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องอาการป่วยของทายาทนักธุรกิจพันล้านคนนี้
“เจ้าของผ้าไง ผ้าผืนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“มันอยู่ที่คอนายตอนฉันไปรับน่ะสิ” อลันวางเครื่องดื่มแก้แฮงค์ให้เพื่อน เขาไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีแปลกไปของไฟซัลสักเท่าไหร่
“หมายความว่ายังไง? เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ถ้าจำไม่ผิดฉันยืนอยู่บนสะพานกับเด็กคนนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“เด็ก?” อลันขมวดคิ้ว “อ้อ หมายถึงเด็กผู้หญิงที่รับสายคนนั้นหรือเปล่า”
“ใช่! นายเจอเธอใช่ไหม? แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” ไฟซัลทำหน้าดีใจ เพราะเมื่อคืนเขาเมามากทำให้จำหน้าเด็กคนนั้นแทบไม่ได้ สิ่งที่พอจะจำได้มีแค่เสียงหวานๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอ และชุดนักเรียนนานาชาตินั่นเท่านั้น
“ไม่เจอ ตอนฉันโทรหานาย มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย เธอบอกว่านายเมาหลับอยู่บนสะพานให้ฉันรีบไปรับ ตอนฉันไปถึงก็ไม่เจอเธอแล้ว เจอแต่นายนั่งหลับพิงราวสะพานโดยมีผ้าพันคอผืนนี้พันคออยู่” อลันเล่าอย่างละเอียดพลางสังเกตสีหน้าของไฟซัลไปด้วย เมื่อเห็นแววตาผิดหวังของเพื่อนก็อดถามต่อไม่ได้ “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วทำไมนายถึงไปเมาหลับบนนั้นได้ นี่นายคงไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ หรอกใช่ไหม?”
เพราะเรื่องของมารดาทำให้ไฟซัลซึมเศร้ามานับสัปดาห์จนคนรอบตัวพากันกังวลไปหมด เมื่อรู้ว่าเขาขึ้นไปบนสะพานแบบนั้นอลันอดร้อนใจไม่ได้จริงๆ กลัวว่าเขาคิดจะทำร้ายตัวเอง
“…” ไฟซัลลุกขึ้นยืน ในมือกำผ้าพันคอแน่น เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาได้
“นายจะไปไหน?” อลันมองตามร่างสูงที่เดินหยิบผ้าขนหนูเตรียมจะเข้าห้องน้ำ ไฟซัลชะงักฝีเท้าหันกลับมามองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม มันไม่ใช่แววตาว่างเปล่าเหมือนหลายวันที่ผ่านมา แต่เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นบางอย่าง
“ไปตามหาเด็กคนนั้น”
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"