“ฉันรักนายนะ” “ผมก็รักคุณคีครับ” ชนนหันกลับมาบอกแล้วดึงหล่อนมากอดแนบแน่น “ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอบคุณที่ให้โอกาสผมแก้ตัวอีกครั้ง ผมไม่สัญญาว่าจะรักและดูแลคุณตลอดไปแต่ผมจะทำให้เห็นว่าผมรักคุณมากแค่ไหน รักที่เป็นคุณคีคนนี้ไม่ใช่รักเพราะคุณเป็นแม่ของลูกผม จริงๆ แล้วตั้งแต่วันนั้นใบหน้าคุณก็ติดอยู่ในหัวผมตลอดเวลา” “จริงหรือ ทำไมละ” หล่อนอยากรู้ “เพราะคุณสวยไง สวยมากสวยไปทั้งตัวจนผมจำติดตา ถ้าคุณไม่เมาหลับผมก็อยากให้บริการจริงๆ” “เอ๊ะ นายลักหลับฉันหรือเปล่า” คีติกาเอียงคอถาม “หือ หรือคุณจำความรู้สึกคืนเข้าหอไม่ได้” ชนนจ้องสายตากรุ้มกริ่ม “ขอบใจ” “ขอบใจผมเรื่องอะไรครับ” “ขอบใจที่ไม่ลักหลับ ขอบใจที่ทำให้ฉันจดจำคืนเข้าหอครั้งแรกในชีวิตได้นะสิ” คีติกาหลุบตาเพราะอายจนหน้าแดง ชนนรีบจูบแก้มหล่อนแรงๆ แล้วพูด “ทำไมขี้เขินจังครับ คุณคีที่ไปฮันนีมูนกับผมไปไหนซะแล้ว คุณเดินแก้ผ้าในบ้าน ขึ้นขี่ผม..” “พอแล้ว ลงไปกินข้าว ตาคอยอยู่นะ” หล่อนรีบปิดปากหยุดคำพูดชนนเอาไว้ ชนนดึงมือหล่อนมาจูบแล้วกระซิบถามให้จักจี้รูหู “คืนนี้ขอคุณคีคนนั้นกลับมานะครับ ที่รัก” คีติกานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนทำเสียงอือออและพยักหน้าเบาๆ “อือ”
บทนำ
หญิงสาวที่นั่งเอนกายบนเตียงสาดน้ำสีชมพูอ่อนซึ่งเป็นเครื่องดื่มมึนเมาราคาแพงเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อมอมเมาตนเองจนหมดขวด พร้อมกับถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นโดยไม่อับอายสายตาชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ยืนหลุบตาเขินอายเสียเองตรงใกล้ประตูห้องน้ำ และเมื่อหล่อนโยนอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ถอดออกจากตัวลงพื้นเขาก็ปิดไฟกลางห้องเสียทันที
“ปิดทำไม” เสียงถามอ้อแอ้เพราะกำลังเมาได้ที่พลางพลิกตัวลงจากเตียง แต่เพราะความมึนเมาทำให้ทรงตัวไม่มั่นคงทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นจนเกิดเสียงโครมคราม
“นี่มาช่วยหน่อยสิ ฉันซื้อนายมาให้บริการนะ มาปรนนิบัติเดี๋ยวนี้” หญิงสาวตวาดอย่างขัดเคือง พร้อมตะเกียกตะกายขึ้นเตียง ไม่นานก็มีมือเย็นๆ จับหมับตรงต้นแขนแล้วลากหล่อนมาทิ้งลงบนกลางเตียงก่อนจะผละออกห่างแต่หล่อนกลับคว้ามือเขาไว้ดึงมาวางทาบทรวงอกตัวเอง
“รังเกียจฉันหรือไง ฉันน่ารังเกียจตรงไหน ฉันยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเชียวนะ ฉันเป็นอีโง่ต้องการเก็บสิ่งมีค่าที่สุดของผู้หญิงไว้ให้เจ้าบ่าวในวันเข้าหอ โบราณนะว่ามั้ย” หญิงสาวทิ้งท้ายเหมือนขอความเห็นก่อนหัวเราะขื่นๆ หากไฟสว่างชายหนุ่มที่จำใจกุมหน้าอกหล่อนจนใบหน้าแดงซ่านคงเห็นน้ำในตา
ห้องเงียบไปพักใหญ่ก่อนหญิงสาวที่ตั้งใจหยิบยื่นพรหมจารีตนเองให้คนแปลกหน้าเพื่อประชดอดีตคนรักพูดขึ้นเสียงอ้อแอ้
“ทำให้คุ้มค่าเงินฉันหน่อยเข้าใจมั้ย เสร็จแล้วก็กลับไปเลยอย่ารอให้เช้านะ จำไว้อย่าให้ใครเห็นว่าออกจากห้องฉัน เอ้า! ทำสิ เงินนะฉันโอนเข้าบัญชีเธอแล้ว อย่ามาโกงนะ ฉันเกลียดคนขี้โกงที่สุด โกงทั้งความรักโกงทั้งหัวใจ เอาคืนมานะไอ้บ้า ไอ้พี่นัทบ้า” หล่อนกรีดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาพร้อมผลักร่างที่คร่อมอยู่จนหงายหลัง เปลี่ยนไปทับร่างเขาแทนแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกจากตัวชายหนุ่มเหมือนคนบ้าคลั่ง
หนึ่งสัปดาห์ก่อน
หญิงสาวนั่งเคาะปากกาที่กำลังลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ ของบริษัทในฐานะประธานกรรมการบริษัทส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอชั้นนำของประเทศ รอยยิ้มต้อนรับค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเมื่อบานประตูห้องทำงานเปิดช้าๆ ก่อนจะหุบยิ้มทันทีที่เห็นบุคคลที่ไม่อยากต้อนรับเดินเคียงคู่มากับชายคนรักที่แจ้งว่าจะมาหาในตอนพักกลางวัน
“มาทำไม ใครชวน เราจะไปกินข้าวกันเธอคงไม่อยากไปเป็นกอขอคอนะ” เจ้าของห้องว่าเมื่อลุกขึ้นเหมือนต้อนรับคนมาใหม่แต่เป็นการเอ่ยปากไล่อ้อมๆ
คนถูกไล่ไม่ได้ระคายผิวแม้จะถูกยัดเยียดตำแหน่งก้างให้ ทั้งยังกอดแขนชายหนุ่มข้างกายอย่างท้าทาย
“ยายตาปล่อยมือนะ” หล่อนไม่ได้ตวาดเปล่าแต่ตบโต๊ะเสียงดังพร้อมเดินอ้อมไปกระชากแขนดนัทธ์คู่รักของตนออกจากการเกาะกุมของผริตาญาติผู้น้อง
“เธอแหละปล่อยแล้วรับเกียรตินี่ไป” ผริตาว่าแล้วหยิบซองสีชมพูหวานจากกระเป๋าเสื้อสูทของชายหนุ่มที่ยังกอดแขนแน่นมาเคาะหลังมืออีกฝ่าย
คีติการีบดึงมือหนีมองอย่างงุนงงเพราะรู้ดีว่าซองสีแบบนี้คือการ์ดเชิญงานมงคล
“เอ้า รับไปสิ ฉันกับพี่นัทอุตส่าห์มาเชิญด้วยตัวเอง นี่ให้เกียรติเธอสุดๆ เลยนะพี่คี” ผริตาทิ้งช่วงแล้วเปิดซองหยิบแต่การ์ดข้างในส่งให้ก่อนพูดต่อ
“ในฐานะแฟนเก่าเจ้าบ่าว” ผริตาหัวเราะร่วนสาแก่ใจก่อนหยุดกึกเมื่อคีติกาเงื้อฝ่ามือขึ้นสูง ทว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายไม่ใช่ใบหน้าตนแต่กลับเป็นแก้มของว่าที่เจ้าบ่าวที่ยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ใกล้ๆ
คีติกาตบดนัทธ์แรงจนหน้าสะบัดได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อชัดเจนแตมือหล่อนก็เจ็บไม่เบาทีเดียว เมื่อเขาหันกลับมาก็ปรากฏรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้น ร้อนถึงผริตาต้องเข้าปกป้องว่าที่เจ้าบ่าวของตนโดยการผลักหล่อนจนเซล้มบนพื้น
“มากไปแล้วนะคี นี่น้องเขยตัวนะ”
“พี่นัท! นี่มันอะไรกัน คีต้องการคำอธิบาย” คีติกาว่าแล้วพยายามลุกขึ้นยืน ดนัทธ์จะเข้าไปช่วยพยุงแต่ผริตาดึงแขนเขาไว้พร้อมตอบคำถามญาติผู้พี่เสียเอง
“แม่คนฉลาดคนเก่งของคุณปู่ทำไมถึงถามอะไรได้โง่ขนาดนี้ละ ก็เห็นอยู่แล้วว่าเรามาเชิญไปงานแต่งงาน ดูปากฉันนะคี ฉันกับพี่นัทจะแต่งงานกัน ชัดมั้ย” ผริตาชี้ที่ปากและเน้นทุกคำพูดที่เป็นเหมือนมีดกรีดหัวใจคนฟัง จนหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง
คีติกาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดนัทธ์น้ำตาคลอหน่วย ดูเหมือนอีกฝ่ายคงสงสารตนไม่น้อยจนไม่อาจทนมองได้หรือบางทีอาจเป็นความละอายใจจึงหลบตาแล้วพูดเบาๆ
“เชิญไปร่วมงานพี่ด้วยนะคี”
‘กูไม่ไป’
และในวันแต่งงานของดนัทธ์กับผริตา คีติกาก็ประชดชีวิตด้วยวิธีการโง่ๆ อย่างไม่เคยคิดว่านักธุรกิจสาวชื่อดังอย่างตนจะทำลงไปได้
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"