“นี่มาช่วยหน่อยสิ ฉันซื้อนายมาให้บริการนะ มาปรนนิบัติเดี๋ยวนี้” หญิงสาวตวาดอย่างขัดเคือง พร้อมตะเกียกตะกายขึ้นเตียง ไม่นานก็มีมือเย็นๆ จับหมับตรงต้นแขนแล้วลากหล่อนมาทิ้งลงบนกลางเตียงก่อนจะผละออกห่างแต่หล่อนกลับคว้ามือเขาไว้ดึงมาวางทาบทรวงอกตัวเอง
“รังเกียจฉันหรือไง ฉันน่ารังเกียจตรงไหน ฉันยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเชียวนะ ฉันเป็นอีโง่ต้องการเก็บสิ่งมีค่าที่สุดของผู้หญิงไว้ให้เจ้าบ่าวในวันเข้าหอ โบราณนะว่ามั้ย” หญิงสาวทิ้งท้ายเหมือนขอความเห็นก่อนหัวเราะขื่นๆ หากไฟสว่างชายหนุ่มที่จำใจกุมหน้าอกหล่อนจนใบหน้าแดงซ่านคงเห็นน้ำในตา
ห้องเงียบไปพักใหญ่ก่อนหญิงสาวที่ตั้งใจหยิบยื่นพรหมจารีตนเองให้คนแปลกหน้าเพื่อประชดอดีตคนรักพูดขึ้นเสียงอ้อแอ้
“ทำให้คุ้มค่าเงินฉันหน่อยเข้าใจมั้ย เสร็จแล้วก็กลับไปเลยอย่ารอให้เช้านะ จำไว้อย่าให้ใครเห็นว่าออกจากห้องฉัน เอ้า! ทำสิ เงินนะฉันโอนเข้าบัญชีเธอแล้ว อย่ามาโกงนะ ฉันเกลียดคนขี้โกงที่สุด โกงทั้งความรักโกงทั้งหัวใจ เอาคืนมานะไอ้บ้า ไอ้พี่นัทบ้า” หล่อนกรีดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาพร้อมผลักร่างที่คร่อมอยู่จนหงายหลัง เปลี่ยนไปทับร่างเขาแทนแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกจากตัวชายหนุ่มเหมือนคนบ้าคลั่ง
หนึ่งสัปดาห์ก่อน
หญิงสาวนั่งเคาะปากกาที่กำลังลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ ของบริษัทในฐานะประธานกรรมการบริษัทส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอชั้นนำของประเทศ รอยยิ้มต้อนรับค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเมื่อบานประตูห้องทำงานเปิดช้าๆ ก่อนจะหุบยิ้มทันทีที่เห็นบุคคลที่ไม่อยากต้อนรับเดินเคียงคู่มากับชายคนรักที่แจ้งว่าจะมาหาในตอนพักกลางวัน
“มาทำไม ใครชวน เราจะไปกินข้าวกันเธอคงไม่อยากไปเป็นกอขอคอนะ” เจ้าของห้องว่าเมื่อลุกขึ้นเหมือนต้อนรับคนมาใหม่แต่เป็นการเอ่ยปากไล่อ้อมๆ
คนถูกไล่ไม่ได้ระคายผิวแม้จะถูกยัดเยียดตำแหน่งก้างให้ ทั้งยังกอดแขนชายหนุ่มข้างกายอย่างท้าทาย
“ยายตาปล่อยมือนะ” หล่อนไม่ได้ตวาดเปล่าแต่ตบโต๊ะเสียงดังพร้อมเดินอ้อมไปกระชากแขนดนัทธ์คู่รักของตนออกจากการเกาะกุมของผริตาญาติผู้น้อง
“เธอแหละปล่อยแล้วรับเกียรตินี่ไป” ผริตาว่าแล้วหยิบซองสีชมพูหวานจากกระเป๋าเสื้อสูทของชายหนุ่มที่ยังกอดแขนแน่นมาเคาะหลังมืออีกฝ่าย
คีติการีบดึงมือหนีมองอย่างงุนงงเพราะรู้ดีว่าซองสีแบบนี้คือการ์ดเชิญงานมงคล
“เอ้า รับไปสิ ฉันกับพี่นัทอุตส่าห์มาเชิญด้วยตัวเอง นี่ให้เกียรติเธอสุดๆ เลยนะพี่คี” ผริตาทิ้งช่วงแล้วเปิดซองหยิบแต่การ์ดข้างในส่งให้ก่อนพูดต่อ
“ในฐานะแฟนเก่าเจ้าบ่าว” ผริตาหัวเราะร่วนสาแก่ใจก่อนหยุดกึกเมื่อคีติกาเงื้อฝ่ามือขึ้นสูง ทว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายไม่ใช่ใบหน้าตนแต่กลับเป็นแก้มของว่าที่เจ้าบ่าวที่ยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ใกล้ๆ
คีติกาตบดนัทธ์แรงจนหน้าสะบัดได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อชัดเจนแตมือหล่อนก็เจ็บไม่เบาทีเดียว เมื่อเขาหันกลับมาก็ปรากฏรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้น ร้อนถึงผริตาต้องเข้าปกป้องว่าที่เจ้าบ่าวของตนโดยการผลักหล่อนจนเซล้มบนพื้น
“มากไปแล้วนะคี นี่น้องเขยตัวนะ”
“พี่นัท! นี่มันอะไรกัน คีต้องการคำอธิบาย” คีติกาว่าแล้วพยายามลุกขึ้นยืน ดนัทธ์จะเข้าไปช่วยพยุงแต่ผริตาดึงแขนเขาไว้พร้อมตอบคำถามญาติผู้พี่เสียเอง
“แม่คนฉลาดคนเก่งของคุณปู่ทำไมถึงถามอะไรได้โง่ขนาดนี้ละ ก็เห็นอยู่แล้วว่าเรามาเชิญไปงานแต่งงาน ดูปากฉันนะคี ฉันกับพี่นัทจะแต่งงานกัน ชัดมั้ย” ผริตาชี้ที่ปากและเน้นทุกคำพูดที่เป็นเหมือนมีดกรีดหัวใจคนฟัง จนหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง
คีติกาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดนัทธ์น้ำตาคลอหน่วย ดูเหมือนอีกฝ่ายคงสงสารตนไม่น้อยจนไม่อาจทนมองได้หรือบางทีอาจเป็นความละอายใจจึงหลบตาแล้วพูดเบาๆ
“เชิญไปร่วมงานพี่ด้วยนะคี”
‘กูไม่ไป’
และในวันแต่งงานของดนัทธ์กับผริตา คีติกาก็ประชดชีวิตด้วยวิธีการโง่ๆ อย่างไม่เคยคิดว่านักธุรกิจสาวชื่อดังอย่างตนจะทำลงไปได้