หญิงสาวที่ได้พบกับชายหนุ่มที่ผับเกิดปิ๊งเป็นความรักขึ้นมา แต่เมื่อเค้ามารู้ที่หลังว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับเป็นบอสใหม่ของเค้า แล้วเค้าจะทำยังไง รักครั้งนี้จะลงเอ่ยหรือไม่โปรดติดตามตอนต่อไป
"คืนนี้ออกล่าป่ะ"
"เอาดิเบื่อ ๆอยู่พอดี"
"งั้นเลิกงานเจอกันนะ"
สวัสดีค่ะฉันชื่อนับและบทสนทนาเมื่อกี้เป็นฉันได้คุยโทรศัพท์กับกี้เพื่อนสนิทฉันเอง มันชอบโทรมาชวนฉันออกแรดแทบจะทุกวัน.
เราสองคนไปไหนด้วยไปกัน มีเพื่อนค่อยข้างน้อยเพราะฉันสองคนเป็นเด็กต่างจังหวัดพึ่งจะอยู่เมืองหลวงได้ไม่กี่ปี
กี้ทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหารในห้าง ส่วนฉันทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งฉันเลือกที่จะคบเพื่อนน้อยเพราะมันมีใจให้กัน100% กว่ามีเยอะ
ตกเย็นวันนั้นฉันก็ได้ออกไปแรดกับกี้ที่ร้านประจำของฉันสองคน
ร้านนี้ฉันสนิทกับพนักงานดี เพราะพวกฉันมากันอาทิตย์หนึ่งไม่ต่ำกว่า4-5วัน ไม่แปลกที่พนักงานทุกคนจะรู้จักและสนิทกับพวกฉันสองคนมาก
"วันนี้เหมือนเดิมนะลิน" ลินคือพนักงานที่นี่ที่ฉันรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทของพวกฉันสองคนด้วยและเขายังคงเป็นภรรยาของเจ้าของที่นี่
"ได้เลย วันนี้มาเร็วเชียวนะ" นั้นฉันถือว่าเป็นคำทักทายสำหรับเขาก็แล้วกัน
"วันนี้เครียดเรื่องงานนิดหน่อย"
"จัดไป วันนี้ไม่เมาไม่กลับใช่ไหม ฮ่าๆ"
"ฮ่าๆ คงงั้น"
"งั้นรอแป๊บนะเดี๋ยวจัดการให้"
ลินก็ทำการจัดเหล้าโปร์ใหญ่มาให้ฉันสองคน
แน่นอน ว่าฉันสองคนคงไม่รอช้า เมื่อเห็นเหล้าแล้วฉันสองคนก็ได้ทำการสาดเหล้าลงคอเป็นที่เรียบร้อยแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะชนแก้วกันก่อนดื่มเสมอ
"กี้วันนี้ลากฉันกลับด้วย" นี่คือคำที่ฉันเอ่ยปากขึ้นกับเพื่อนเพราะรู้ตัวดีว่าวันนี้ยังไงฉันคงดื่มหนักเหมือนเช่นเคย
"แกนั้นแหละลากฉันกลับ"
"ไม่! แกแหละลากฉันกลับ"
"แกนั้นแหละ!"
ฉันสองคนถกเถียงกันไปมาเพื่อหาคนที่ลากกลับแต่ก็ยังไม่ลงรอยกันสักทีจนมีผู้ชายรูปร่างหน้าตาดี สูงขาวดั่งเทพบุตรหลุดมาจากนิยายได้เดินตรงเข้ามาให้พวกฉันสองคน
"โทษนะครับ ขอชนแก้วหน่อยจะได้ไหมครับ"
ในระหว่างที่ฉันยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะลากใครกลับอยู่นั้น ก็มีผู้ชายเดินเข้ามาขอชนแก้ว
โอ้ว!! หล่อจัง ผู้ชายอะไรขาวออร่าซะขนาดนี้..
ปากชมพูน่าจูบเชียว นี่ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเขามาขอชนแก้วกับคนอย่างพวกฉัน ฉันได้แต่มองผู้ชายคนนั้นตาค้างจนกี้เพื่อนรักของฉันสะกิด
"นับเขาของชนแก้วด้วย"
"อ่อ ค่ะๆ " ฉันรีบดึงสติตัวกลับมาอย่างไว
ก่อนที่ฉันชนแก้วกับผู้ชายคนนั้นแล้วฉีกยิ้มให้เขาไปทีหนึ่ง เค้าก็ยังคงส่งยิ้มกลับมาให้ฉันเช่นเดียวกัน รอยยิ้มเขามันช่างดึงดูดกระชากใจฉันยิ่งหนัก
"ชื่ออะไรกันหรอครับ" ฉันไม่ทันจะเอ่ยปากพูดกี้เพื่อนรักของฉันก็พูดขึ้นซะก่อน
"ชื่อกี้นะคะ ส่วนอินี่มันชื่นนับ ยังไม่มีแฟน โสดสนิท แถมยังแดกเหล้าเก่งด้วยค่ะ"
สาบานนั้นคือเพื่อนฉันกำลังโปรโมทขายฉันออกอยู่ใช่ไหม
"อิกี้" ฉันตีมันไปหนึ่งทีเพราะคำพูดคำจามันหน้าตีล้วนๆ
"ก็มันจริงนี่นา"
ผู้ชายคนนั้นยิ้มเหมือนจะหัวเราะในสิ่งที่กี้พูดไปเมื่อกี้ด้วยซ้ำ
"ผมชื่อไฟล์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ" ฉันสองคนเอ่ยคำยินดีรับพร้อมกัน
"ว่าแต่คุณไฟล์มาคนเดียวหรอคะ"
"ครับ พอดีผมพึ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่กี่วันเอง อยากลองเที่ยวผับที่ไทยดูบ้าง"
"อ่อ เด็กนอกนี่เอง นี่เลยค่ะถ้าสายเที่ยวกลางคืนต้องให้เพื่อนกี้เป็นไกด์เลยค่ะ อินี่มันตัวแม่แห่งการดื่ม"
ไฟล์ชายหนุ่มรูปงามยิ้มอ่อนๆก่อนที่จะมองไปทางนับ
ฉันอยากจะตบปากเพื่อนตัวดีของฉันซะจริงๆเลย
จะพูดให้ฉันดูดีบ้างซะหน่อยไม่ได้หรือยังไง
"ชอบสายนี้หรอครับ"
"ไม่ขนาดนั้นค่ะ เพื่อนนับมันพูดเวอร์ไปงั้นแหละค่ะ แต่ถ้าคุณอยากเที่ยวจริงๆ นับแนะนำให้ได้ค่ะ"
"ไม่ต้องพูดห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผมพี่ไฟล์ก็ได้ดูท่าทางแล้วผมหน้าจะเป็นแก่กว่าพวกคุณหลายปี"
"ได้เลยค่ะพี่ไฟล์ว่าแต่พี่มีแฟนยังคะ"
"อิกี้!" ฉันเรียกเพื่อเตือนสติเพื่อนของฉันว่าไม่ให้เข้าไปก้าวล้ำในเขตพื้นที่ส่วนตัวของเค้าจนมากเกินไป
"เอ้ากูก็ถามพี่เค้าเฉย ๆไง เพื่อพี่เค้ามีแฟนแล้วเกิดมาตบพวกเราทำไง" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆก่อนที่จะหันหน้ามาทางฉัน
"ยังไม่มีครับ"
ทำไมต้องหันมาตอบแล้วยิ้มให้ฉันด้วยล่ะ ฉันไม่ได้เป็นคนถามคำถานนี้ซะหน่อย
"อุ๋ย! แกเดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ"
"ฉันไปด้วย"
"แกคุยกับพี่เขารอไปก่อน ฉันชชปวดท้อง"
กี้มันพูดจบมันก็เดินไปเลย ทิ้งฉันไว้กับพี่ไฟล์สองคน
เราสองคนก็ต่างคนต่างเงียบ ฉันก็กระดกเหล้าอย่างเดียวไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา และไม่กล้าแม้ที่จะหันไปสบตาเขาเพราะสายตาเขามันช่างดึงดูดซะจริง ๆ
'นับอายุเท่าไหร่หรอ"
"26ค่ะ พี่ละคะ"
"พี่ให้ทาย"
"ไม่เกิน29แน่นอน"
"ฮ่า ๆ พี่30แล้วครับ"
"หืม... จริงดิ ยังดูดีอยู่เลยนะคะ"
"แล้วนับล่ะไม่มีแฟนจริงๆ เหรอหื้ม..."
"พึ่งเลิกไปได้ไม่นานค่ะ ตอนนี้เลยอยากพักใจยาวๆซะมากกว่า"
ฉันยิ้มแห้งทันทีเมื่อตอบคำถามนั้นไป
"แล้วไม่คิดจะเปิดใจให้ใครอีกบ้างหรอ"
"ไม่ค่ะ ขอพักใจอีกซะนิด"
ในระหว่างที่ฉันนั่งคุยกับเขาก็ยกแก้วขึ้นชนกันอยู่เรื่อย จนตอนนี้ฉันเริ่มเมาหนักมากแล้ว
เมื่อกี้เดินกลับมาฉันก็ได้ทำการชวนกี้กลับห้องกันเพราะพรุ่งนี้มีงานเช้าอีก แต่พี่ไฟล์ก็อาสาที่จะไปส่งฉันสองคนจนถึงที่พัก
ฉันสองคนนั่งเบาะหลังกันทั้งคู่ แต่ถึงฉันจะเมาฉันก็ยังสังเกตเห็นว่าเค้ามองฉันผ่านกระจกเป็นระยะ ๆตลอดหรือทว่าฉันคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือป่าว
ตื่นเช้ามาฉันก็ไปทำงานตามปกติ แต่วันนี้แฮงค์สุด ๆ กินได้แต่กาแฟดำ ข้าวปลาก็กินไม่ลงแถมวันนี้ทั้งวันยังทำงานผิดๆถูกๆอีกตั้งหากอีกทั้งยังคงโดนผู้จัดสุดโหดดุทั้งวันอีกด้วย! เห้อ!! ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเดินทางกลับมาถึงห้องซะทีฉันทิ้งตัวลงเตียงนอนทันทีเพราะความเหนื่อยล่า
กริ๊ง!! 📲📲นั่นเป็นเสียงโทรศัพท์ของฉันที่มีสายเรียกเข้าแต่เอ๊ะ... นี่เบอร์ใครกันไม่เห็นจะคุ้นเลยสักนิด
ฉันจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจรับสายคนที่โทรมา
"ฮัลโหลค่ะ "
"ฮัลโหลครับ" เอ๊ะ ใครกันนะทำไมเสียงหล่อเช่นนี้...
"นั้นใครคะ"
"พี่เองครับ"
"ค่ารู้ ว่าแต่ใครคะ! " ฉันใช้เสียงกระแทกไปนิดหน่อยเพราะหงุดหงิดมาจากที่ทำงาน วันนี้โดนดุทั้งวันอารมณ์เลยไม่ค่อยจะดีซะเท่าไหร่
"พี่ไฟล์ครับ"
"อ่อค่ะ ว่าแต่ได้เบอร์นับมาจากไหนหรอคะ"
ฉันรีบเปลี่ยนโทนเสียงแทบไม่ทัน ฮ่าๆสำหรับผู้ชายแล้วฉันต้องใช้เสียงสองเท่านั้น
"กี้ให้มาเมื่อคืนนี้ครับ" นี่ยัยกี้อีกแล้วสินะ
"อิกี้นะอิกี้"ฉันพูดเบาๆแล้วบ่นให้เพื่อนรักฉัน
"อะไรนะครับ"
"อ่อป่าวค่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือป่าวคะ"
"พอดี พี่ว่าจะชวนไปทานข้าวครับ"
"เอ่อคือ ..." ฉันตอบยึกยักสำหรับฉันมันเร็วไป เพราะเราพึ่งจะรู้จักกันไปเอง
"ชวนกี้ไปด้วยก็ได้ พี่ไม่ซีเรียส"
*ค่ะ แล้วเจอกันที่ไหนดีคะ" เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่เค้าพูดฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
"งั้นเดี๋ยวพวกหนูแต่งตัวอะไรเสร็จพี่ไปรับเองครับ"
หนู! เมื่อกี้เค้าเรียกฉันว่าหนูใช่ไหม กรี๊ด!! โอ้ยหัวใจอินับพ่องโตขึ้นทันใด
"ได้ค่ะ"
พอฉันคุยกับเขาจบฉันก็นอนกลิ้งบนที่นอนไปมาเพราะรู้สึกเขินคำที่เค้าใช้กับฉันเมื่อกี้
มันเป็นคำธรรมดาแต่ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกเขินได้ขนาดนี้กันนะ
ไม่ได้ ๆวันนี้ฉันจะต้องสวย จากที่ทำงานเหนื่อยมาพอได้ยินผู้ชายพูดคำเดียวเท่านั้น ฉันรู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันทีฉันรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวหรอให้กี้มาแล้วรอไปพร้อมกัน
แต่พอกี้มาถึงมันก็บอกว่าปวดท้องไม่สามารถไปกับฉันได้ทำให้ฉันรู้สึกเซ็งขึ้นมาทันที
สรุปฉันต้องไปกับเขาสองคนจริง ๆหรอเนี้ย
พึ่งรู้จักกันแค่วันเดียวเอง อีกอย่างฉันยังไม่รู้จักนิสัยใจคอเขาเลยแม้แต่นิด แต่ถ้าฉันจะโทรไปบอกเขาว่าไม่ไปแล้วมันก็จะเสียมารยาทมาก เพราะแกติฉันเป็นคนรักษาคำพูดของตัวเองมาก
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เคนคู่หมั้นของริกะจังนอกใจเธอไปแอบคบกับผู้หญิงอีกคน ริกะจังจับได้แต่ก็อดทนไว้เพราะรักเขา วันหนึ่งเธอไปงานเลี้ยงรุ่นได้พบแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้ว แต่ใจของริกะอยากจะเอาคืนเคนเธอจึงเผลอใจให้กับแฟนเก่า ตัวอย่างบางตอน "ผมใส่แล้วนะ" "อื๊อ เร็ว ๆ หน่อยสิคะเสียวจะแย่แล้ว อ๊า อ๊า" ชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งคล่อมร่างของหญิงสาวสวยผิวขาวหุ่นดี หน้าอกตูมอย่างช้า ๆ ในขณะที่มือเรียวบีบหน้าอกของตนเองคลายความอยากพร้อมทั้งเลียปากอย่างกระหาย
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...