ฉันไม่คิดว่าการที่ฉันตัดสินใจมาทำงานที่นี่มันจะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ "รามสูร" หรือว่า "พี่ราม" เขาคือคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตฉันต้องเปลี่ยนไป ผู้ชายเอือยเฉื่อยที่มาพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ที่มาพร้อมกับข้อเสนอให้ฉัน "แอรีส" ไปเป็นหมอนข้างให้เขา เพราะความอวดดีทำให้ฉันต้องยอมรับต่อชะตากรรมนั้น แต่ใครจะไปรู้ละว่าการเป็นหมอนข้างของผู้ชายที่ชื่อว่ารามสูรคนนั้นมันจะเปลืองตัวมากขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีฉันก็ตกเป็นของเขาโดยไม่มีเงื่อนไขซะแล้ว “พะ พี่ราม” “ใช่ นั่นคือชื่อของผัวเธอ จำไว้ว่าต่อจากนี้ไปเธอคือเมียฉัน และอย่าได้ริไปให้ไอ้เหี้ยนั่นกอดหรือจูบเธออีก ไม่งั้นเอาให้ตายแน่”
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดห้องค่อนข้างใหญ่มีของตกแต่งห้องเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ตรงกลางห้องมีโซฟาตัวยาวที่สามารถเปลี่ยนเป็นเตียงนอนได้ รอบๆ โซฟามีข้าวของต่างๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ของที่ว่านั้นมันไม่ใช่ขยะแต่เป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี ซึ่งประกอบไปด้วยกีตาร์ไฟฟ้า เบส กลองชุด และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับเล่นดนตรีอีกมากมาย ถัดจากนั้นเป็นห้องน้ำที่สามารถอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวได้ และนอกเหนือจากนั้นในห้องห้องนี้ยังมีบาร์น้ำเล็กๆ ไว้สำหรับบริการคนที่อยู่ในห้องนี้อีกด้วย
เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มข้างนอกทำให้สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างครึกครื้นไปโดยปริยาย ที่นี่คือห้องพักนักดนตรีที่ค่อนข้างหรูหราไปสำหรับไว้นั่งพัก เพราะการตกแต่งห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องนี้ทำให้รู้สึกว่าห้องนี้ไม่ต่างจากโรงแรมดีๆ เลยก็ว่าได้ จะขาดก็แค่เตียงนอนก็เท่านั้นส่วนที่เหลือมีครบทุกอย่าง
ที่เปรียบห้องห้องนี้เป็นเหมือนโรงแรมก็คงเป็นเพราะว่าตรงมุมห้องที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจสักเท่าไหร่มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนัวเนียกันอย่างเมามันอยู่ แต่จะว่านัวเนียกันก็คงไม่ถูกเพราะฝ่ายหญิงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่เป็นฝ่ายกระทำทุกอย่าง ส่วนฝ่ายชายได้แค่นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนปรนเปรอให้กับเขาเป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น
ร่างบางในชุดสุดเซ็กซี่เป็นฝ่ายนั่งอยู่บนพื้นห้องโดยใบหน้าของเธอกำลังซุกไซร้อยู่ที่หว่างขาของชายหนุ่ม ซึ่งเธอกำลังใช้ริมฝีปากของเธอมอบความสุขให้กับเขาด้วยความเต็มใจเพราะเธอมีความหวังเล็กๆ ว่าคนคนนี้จะพอใจแล้วเก็บเธอไว้เป็นคนข้างกาย ถึงความหวังนั้นจะเป็นฝันลมๆ แล้วก็เถอะ
“อืม”
หญิงสาวเจ้าของร่างแสนเซ็กซี่ครางออกมาด้วยความพึงพอใจเมื่อสิ่งที่อยู่ในปากของเธอที่เธอกำลังเล้าโลมอยู่นั้นมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนคับปาก ก่อนที่เธอจะปรือตาหวานเยิ้มของเธอขึ้นไปมองหน้าชายหนุ่มที่เธอกำลังปรนเปรอความสุขให้กับเขาอยู่เพื่อดูปฏิกิริยาโต้ตอบของชายหนุ่มคนนั้น
แต่..สิ่งที่เธอได้กลับเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า เพราะชายหนุ่มไม่ได้มองมาที่เธอเลยแม้แต่นิด แต่ที่ทำให้เธอคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ยากมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเป็นเพราะว่าเจ้าของใบหน้านั้นใช้แมสปิดปากปิดบังหน้าตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่โผล่มาก็แค่ใบหน้าส่วนบนซึ่งถูกประดับด้วยนัยน์ตาคมเข้มที่มองยังไงก็น่าดึงดูดใจแต่ตอนนี้มันถูกผิดบังด้วยเปลือกตาของเขาบอกกับบนหัวของเขามีหมวกสวมทับศีรษะไว้อีกเลยทำให้เธอแทบไม่สามารถเห็นใบหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้ได้เลย มันเลยทำให้เธอไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอกำลังทำนั้นมันเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเขาหรือเปล่า หวังว่าจะมองเพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับเผื่อว่าเธออาจจะได้ไต่เต้าไปอยู่ในจุดที่อยู่สูงเหนือกว่าคนอื่นแต่สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นความเฉยชาและว่างเปล่า และมันก็ทำให้เขาเหมือนกับคนที่กำลังหลับ
แต่มีเพียงบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าเขายังไม่หลับเพราะตอนนี้นิ้วมือของเขามันกำลังเคาะไปตามจังหวะเพลงที่เขากำลังฟังจากหูฟังที่เขาเสียบคาที่ใบหูทั้งสองข้างอยู่ มันเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอและดูเหมือนว่าเขาจะจดจ่อกับสิ่งสิ่งนั้นมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำการกระทำของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากแต่เธอก็เรียกร้องอะไรขึ้นมาไม่ได้เพราะกว่าเธอจะไต่เต้ามาอยู่ตรงหน้าเขาได้ในวันนี้ เธอต้องฟาดฟันกับผู้หญิงมากหน้าหลายตามาตั้งเท่าไหร่ เธอไม่ยอมให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดพ้นมือของเธอไปแน่นอนและก็อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้เธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้หลับนั่นก็คือสิ่งสิ่งนั้นที่อยู่ในปากของเธอยังไงละ
คิดได้อย่างนั้นเธอก็ใช้ริมฝีปากของเธอทำหน้าที่ของมันต่ออย่างไม่ขาดตกบกพร่องเพราะเธอคิดว่าประสบการณ์ที่เธอได้สะสมมามันอาจทำให้ผู้ชายคนนี้พึงพอใจในตัวเธอได้บ้าง และเพราะความคิดเข้าข้างตัวเองของเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเอื้อมมือของเธอขึ้นไปลูบไล้ร่างกายของชายหนุ่มอย่างถือวิสาสะ
พรึบ!
และทันทีที่มือของเธอแตะถูกร่างกายของชายหนุ่ม ชายหนุ่มเจ้าของร่างก็ลืมตาของเขาขึ้นมาทันที เจ้าของนัยน์ตาคมเข้ม กับจมูกโด่งคมสัน เพียงแค่ส่วนประกอบแค่สองอย่างบนใบหน้าก็สามารถการันตีได้เลยว่าภายใต้แมสปิดปากอันนั้นต้องซ่อนความงดงามไว้อย่างแน่นอน และนั่นมันก็เป็นความจริงเพราะใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในแมสอันนั้นมันเป็นที่เลื่องลือในหมู่สาวๆเป็นอย่างมาก เพราะไม่อย่างนั้นพวกเธอคงไม่ฟาดฟันต่อสู้กันเพื่อใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้หรอก
หมับ!
ชายหนุ่มเอื้อมมือของเขาไปจับมือคู่นั้นของหญิงสาวเอาไว้ทันที และการกระทำของเขาทำให้เจ้าของร่างแสนเซ็กซี่หยุดชะงักการกระทำของตนเองไปทันที ก่อนที่เธอจะผละริมฝีปากของเธอออกจากสิ่งสิ่งนั้นของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเจ้าของมือคู่นั้นที่กำลังจับมือของเธอไว้แน่นอยู่
“มะ มีอะไรคะ”
เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนที่ใจของเธอจะรู้สึกสั่นขึ้นมาเมื่อเผลอไปสบตากับเขาเข้า เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ช่างน่าดึงดูดใจนัก และมันก็ทำให้เธออยากครอบครองเขา เพียงแค่สบตากับเขาเธอก็ใจสั่นได้มากขนาดนี้ นี่ถ้าเธอได้นอนกับเขาเธอจะรู้สึกมีความสุขมากแค่ไหนกันนะ
“มือสกปรก ใครใช้ให้มาแตะต้องตัวฉัน”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นมันเลยทำให้เจ้าของร่างที่นั่งอยู่ระหว่างขาของเขาตัวสั่นขึ้นมาได้ในพริบตา
“ขอโทษค่ะ ต่อไปฉันจะไม่ทำอีก”
เธอรู้ว่ามันเป็นข้อห้ามตั้งแต่ตกลงที่จะมาทำเรื่องแบบนี้กับเขาแล้ว ข้อห้ามของเขาคือห้ามจูบและห้ามแตะต้องตัวเขานอกจากสิ่งที่เขาให้เธอทำ มันเป็นข้อห้ามที่เธอบังเอิญฝืนแหกกฎทั้งๆ ที่รู้แก่ใจดี
“ไม่ได้เรื่อง”
ชายหนุ่มเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระแล้วใช่สายตาเรียกการ์ดที่ยืนเฝ้าประตูห้องมาลากผู้หญิงคนนี้ออกไป
“ไม่นะคะ ฉันขอแก้ตัวก่อน”
“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง คุณหมดหน้าที่ของคุณแล้ว เชิญครับ”
แล้วหญิงสาวก็ถูกการ์ดตัวโตลากออกไปจากห้องก่อนที่ประตูห้องจะถูกปิดลงแล้วกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนที่มือของเขาจะเอื้อมมารูดซิปกางเกงของตัวเองให้เข้าที่แล้วหลับตาของเขาลงอีกครั้ง
“เฮ้อ ไอ้เฉื่อย อารมณ์ไม่ดีก่อนขึ้นแสดงมันไม่ดีนะเออ”
ใช่ว่าห้องห้องนี้จะมีแค่ชายหนุ่มอยู่เพียงคนเดียว แต่ในนี้กลับมีผู้ชายอีกสองคนร่วมอยู่ด้วย และพวกเขาก็อยู่ในนี้แล้วตั้งแต่ต้น เพราะเรื่องแบบนี้พวกเขาเห็นมันจนชินตาและมันก็เป็นเรื่องปกติของพวกเขา มันเลยไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอะไรถ้าจะมีคนมาแสดงหนังสดที่แสนร้อนแรงต่อหน้าพวกเขา
ห้องห้องนี้ถูกจัดไว้เพื่อพวกเขาเป็นพิเศษ จัดไว้เพื่อใช้เป็นห้องพักนักดนตรีก่อนขึ้นแสดง ซึ่งห้องนี้จะมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ใช้ได้ ส่วนนักดนตรีวงอื่นๆ จะใช้ห้องอื่นที่อยู่ถัดออกไปพอสมควรและพวกเขาก็คือนักดนตรีประจำผับสุดหรูแห่งนี้ยังไงละ
“ยุ่ง”
ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้นก่อนที่จะเข้าสู่หมดเงียบของเขาต่อ ถึงใบหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็นแต่คนสนิทอย่างพวกเขาก็พอเดาออกว่าตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่และนั่นมันเป็นการบอกไปนัยๆ ว่าพวกเขาไม่ควรยุ่งกับชายหนุ่มในเวลานี้ แต่...
“เออ กูลืมบอกมึง พรุ่งนี้นักร้องใหม่จะเริ่มทำงานวันแรกนะ”
เนื่องด้วยความสนิทเลยทำให้พวกเขาลดความเกรงกลัวนั่นลง
“เฮ้ย จริงดิ ผู้หญิงผู้ชายวะ”
ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น
“หญิง”
“วู้ววว เข้าทางกูละ”
ป๊าบ!
“เฉยไปเหอะมึง เอ่อ กูถือว่ามึงรับรู้แล้วนะ ยังไงก็อย่าใจร้ายกับนักร้องใหม่ของเราให้ละ สงสารเด็กมัน”
ชายหนุ่มหันไปตบหัวชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เขาครั้งหนึ่งก่อนที่จะเบนสายตามองไปยังมุมห้องแล้วตะโกนบอกคนคนนั้นให้รับรู้กับสิ่งที่เขาพึ่งเอ่ยไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูห้องดังขึ้นแล้วประตูห้องที่พวกเขาอยู่ก็ถูกเปิดเข้ามา
“ได้เวลาขึ้นแสดงแล้วครับ”
“อืม”
พวกเขาตอบรับเพียงแค่นั้นก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบเอาอุปกรณ์ดนตรีประจำตัวของตัวเองมาถือไว้ ซึ่งชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของใบหน้าอบอุ่นเป็นคนเล่นกีตาร์และร้องนำ ชายอีกคนหน้าตาทะเล้นเป็นคนเล่นในตำแหน่งมือเบส และคนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ลึกลับที่สุดและท่าทางเอื่อยเฉื่อยนั้นรับหน้าที่เป็นมือกลองของวง และพวกเขาทั้งสามคนก็เป็นนักดนตรีใต้ดินที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นในช่วงนี้
“ไอ้เฉื่อย ได้เวลาแล้ว”
“อืม”
ชายหนุ่มที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอด ครางรับก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วจึงค่อยๆ พยุงร่างกายของเขาลุกขึ้นด้วยความเอื่อยเฉื่อย การกระทำของเขามันดูช้าในสายตาคนมอง แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนท่าทางแบบนี้จะเป็นมือกลองที่รัวกลองอย่างบ้าคลั่งเวลาอยู่บนเวที คนนะ มันรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจหรอก
ชีวิตของนักศึกษาปีสี่ที่ทั้งเรียนทั้งทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างฉัน "สายลม" ก็วุ่นวายมากพอแล้ว แต่ชีวิตของฉันต้องวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อฉันเจอกับไอ้โหดหน้านิ่งนั่น "นาวา" ผู้ชายที่มาพร้อมกับรอยสักเต็มตัว เขาเป็นผู้ชายประเภทที่ควรจะหลีกเลี่ยงให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทำไมเหมือนยิ่งฉันหนีเขา ผลักไสเขา เขายิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้นกว่าเดิม ฉันควรจะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้ดี ใครก็ได้เอาไอ้เถื่อนนี่ไปจากชีวิตฉันที "ฉันเป็นคนทานง่าย เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย ไม่เรื่องมากหรอก เอาแต่ใจนิดหน่อย ไม่ชอบให้ใครขัด" "...." "และตอนนี้ฉันก็โสดด้วย ส่วนเรื่องซิงเสียไปตั้งแต่มอสามแล้ว อยากรู้อะไรอีกไหมฉันยินดีบอกนะ" WHAT!!!
ชีวิตของนักศึกษาปีสี่ที่ทั้งเรียนทั้งทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างฉัน "สายลม" ก็วุ่นวายมากพอแล้ว แต่ชีวิตของฉันต้องวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อฉันเจอกับไอ้โหดหน้านิ่งนั่น "นาวา" ผู้ชายที่มาพร้อมกับรอยสักเต็มตัว เขาเป็นผู้ชายประเภทที่ควรจะหลีกเลี่ยงให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทำไมเหมือนยิ่งฉันหนีเขา ผลักไสเขา เขายิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้นกว่าเดิม ฉันควรจะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้ดี ใครก็ได้เอาไอ้เถื่อนนี่ไปจากชีวิตฉันที "ฉันเป็นคนทานง่าย เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย ไม่เรื่องมากหรอก เอาแต่ใจนิดหน่อย ไม่ชอบให้ใครขัด" "...." "และตอนนี้ฉันก็โสดด้วย ส่วนเรื่องซิงเสียไปตั้งแต่มอสามแล้ว อยากรู้อะไรอีกไหมฉันยินดีบอกนะ" WHAT!!!
ฉันเชื่อว่าคนเราต้องเคยเจอเรื่องที่บังเอิญไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่มันเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากันแน่ที่ทำให้ฉันได้มาเจอกับเขา "โซ่" เขาคือผู้ชายที่มีดีทั้งหน้าตา ฐานะ และความสามารถ และเขาก็เป็นนักดนตรีหนุ่มชื่อดังที่สาวๆเกือบครึ่งประเทศล้วนเทใจให้กับเขา แต่แจ็คพอตมันดันมาแตกที่ฉัน เมื่อฉันดันบังเอิญตื่นขึ้นมาบนเตียงของเขา พร้อมกับประโยคแรกที่เขาเอ่ยพูดกับฉันมาว่า.. "ตื่นแล้วเหรอ" เอ๊ะ ฉันมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันเนี่ยยยยยย!!!!! . . "ในเมื่อเธอก็ได้ลายเซ็นต์ของฉันไปแล้ว เธอช่วยลืมเรื่องวันนี้ไปให้หมดหน่อยได้ไหม"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
จางลี่สตรีเกิดมาพร้อมกับความเกลียดชัง บิดามารดาไม่รัก พี่สาวรังเกียจ รอบด้านทำร้ายร่างกาย ชาติภพนี้นางถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำร้ายจนตาย เมื่อเกิดพบชาติใหม่อีกครั้ง นางก็ขอตอบแทบพวกเขาอย่างสาสม อย่าคิดว่าชาติภพนี้พวกเขาจะได้อยู่สุขสบาย นางในชาตินี้จะถนอมพวกเขาเป็นอย่างดี “ข้าไม่ใช่คนดี ท่านอย่าได้หวังว่าข้าจะดีเหมือนคนอื่น หากท่านปรารถนา พบสตรีที่ดีก็เชิญไปหาที่อื่น” บุรุษปริศนาที่ติดตามนางจะเลือกเส้นทางไหน แล้วนางจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นเช่นไร รอพวกเขาหาคำตอบ แต่บอกได้เลยว่านางหาได้ใจดีเหมือนชาติที่แล้วไม่ “ข้าเตือนท่านแล้ว ว่าอย่าได้หวังว่าข้าจะเป็นคนดี”