สาวน้อย "รินฤดี" จะหนีเงื้อมมือของไอ้โรคจิต "ยุทธ" ได้อย่างไร ในเมื่อเธอติดใจรสจูบนั้นเหลือเกิน ความอุ่นวาบซาบซ่านที่ฉกลงบนริมฝีปากทำให้ดวงตากลมโตต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ และทันทีที่ได้สติฝ่ามือที่ชะงักค้างอยู่ข้างตัวก็พยายามจะยกขึ้นเพื่อทุบตีคนแปลกหน้าและพยายามยันแผงอกกว้างให้ห่างออก พร้อมกับส่ายหน้าหลบหลีกความอุ่นวาบจนเกือบร้อนนั้นให้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง คนที่ประกบปากของเขากับปากของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยออกไป
เนื้อเรื่องต่อจาก “รักต้องร่าน” นะคะ
เป็นคู่ของ “ยุทธ” กับ “รินฤดี” ค่ะ
คนในห้องก็มีความสุขกันไป ส่วนคนที่ยืนรออยู่ที่หน้าห้องก็ได้แต่ยืนหน้าตูมอยู่อย่างนั้น
“คุณวีนะคุณวี เฮ้อ! แล้วอย่างนี้จะรีบเร่งทำไม ตอนจะเอาก็โทรตามยิกๆ พอหมดประโยชน์ก็ไม่รับโทรศัพท์ซะงั้น”
ยุทธบ่นพลางส่ายใบหน้าอย่างตึงๆ เพราะก่อนหน้านี้ชาวีโทรตามโทรจิกเขาจนโทรศัพท์แทบไหม้ ให้เขาเร่งช่าง ทั้งไปเฝ้าทางอู่ ให้ซ่อมเจ้ารถมินิคู่กรณีของคุณโรเบิร์ตให้เสร็จโดยด่วน เสร็จแล้วก็ต้องรีบเอารถมาส่งให้ที่เพนท์เฮ้าท์
แต่นี่ยังไงกัน เพราะคนด้านในเหมือนจะไม่ใส่ใจเขาแล้ว เมื่อโทรศัพท์ไปก็ไม่มีคนรับ กดกริ่งก็ไม่มีใครมาเปิด ยุทธจึงได้แต่ถอดใจ
ร่างสูงก้าวเข้าสู่ลิฟท์ที่เขาเรียกมาจอดที่ชั้น 57 ก่อนจะกดเพื่อลงไปด้านล่าง พลางทอดถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เพราะเขาเป็นฝ่ายที่อดจะทำตามใจทำตามคำสั่งของชาวีไม่ได้สักที
“เฮ้อ!”
ยุทธถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะทำหน้านิ่ง เมื่อลิฟท์ถูกเรียกให้เปิดจากด้านนอก
สาวสวยผิวขาวราวกับหยวกกล้วยในชุดออกกำลังกายก้าวเข้ามา เธอไม่ได้มองมาที่ยุทธเลยสักนิดเพราะกำลังคร่ำเคร่งกับการพิมพ์ข้อความตอบใครบางคนในโทรศัพท์ แต่เป็นยุทธที่มองเธอไม่วางตา
เขาคุ้นหน้าเธอเหลือเกินแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน อาจจะที่นี่ เพราะเขาก็มาหาชาวีที่นี่ออกบ่อย แต่ทำไมนะ เขาถึงไม่สะดุดตาเธอเลย
เพราะทรวดทรงองค์เอว แม้จะไม่อะร้าอร่ามเต็มไม้เต็มมือ แต่ความขาวดูสุขภาพดีนั้น มันก็เร้าใจเขาอย่างแรง โดยเฉพาะกลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆ ที่หอมกรุ่นอยู่ภายในลิฟท์ทันทีที่เธอก้าวเข้ามานั้น ก็ทำให้ยุทธตื่นตัวได้ง่ายๆ
ทว่าเมื่อสาวเจ้าเหลือบมองเงาสะท้อนของเขาจากผนังด้านข้าง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
‘แกๆๆ ฉันเจอคนโรคจิตในลิฟท์อ่ะ’
‘หล่อมั้ย’
‘จะบ้าเหรอ ใครจะไปรู้ แก มันมองก้นฉันอ่ะ’
‘ก้นแกใหญ่’
‘บ้า! มันยังมองอยู่เลย’
ดวงตากลมโตเหลือบมองเงาสะท้อนจากผนังอะลูมิเนียมด้านข้าง ทำให้รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ด้านหลังกำลังมองสำรวจเรือนร่างของเธออยู่
‘ในลิฟท์มีใครบ้าง’
‘ฉันกับไอ้โรคจิต’ นิ้วมือยังคงจิ้มบอกคนที่สนทนาด้วย ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อเหลือบเห็นคนด้านหลังกำลังล้วงอะไรบางอย่างด้านหน้าตรงเป้ากางเกง
‘แก! มันล้วงๆๆๆๆๆ’
‘ขยับมาใกล้ๆ ประตู อย่าให้มันรู้ตัวนะ กดออกเลยแก กดๆๆๆ’
ทว่าก่อนที่นิ้วมือจะเอื้อมไปถึง เธอก็มีอันต้องร้องกรี๊ด เมื่อคนด้านหลังขยับมาจนประชิดตัว แถมโทรศัพท์ในมือก็ยังถูกยื้อไปด้วย
“ว้าย! ไอ้โรคจิตแกจะทำอะไร เอาโทรศัพท์ฉันมานะ ฉันไม่ยอมให้แกถ่ายคลิปฉันหรอก เอามา! เอาโทรศัพท์คืนมานะ”
รินฤดีพยายามยื้อยุดเอาโทรศัพท์คืน แต่ไอ้โรคจิตก็ยังชูโทรศัพท์ของเธอขึ้นสูง และมันก็เป็นผู้ชายที่ตัวสูงมากๆ ด้วย ทั้งสูง ทั้งใหญ่ อึ๊ย... น่ากลัว
“บอกมาก่อน คุณว่าใครโรคจิต”
เสียงห้าวเอ่ยถาม นึกสนุกที่สาวสวยตัวหอมๆ นี้ กระโดดโหยงๆ แย่งโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าเขา ช่วยไม่ได้ก็อยู่ดีๆ หล่อนก็มาหาว่าเขาเป็นโรคจิต เขาก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทแอบดูคนคุยกัน แค่จะดูให้รู้ว่าเธอคุยกับเพื่อนหรือแฟนก็เท่านั้น
เพราะถ้าหากเธอคุยกับเพื่อนเขาอาจจะขอสานสัมพันธ์โดยการขอ ‘ไอดีไลน์’ แต่หากเธอคุยกับแฟน เขาก็จะได้ถอดใจ และเก็บแค่กลิ่นหอมๆ นี้ไปจิ้นเท่านั้น แต่ดันเจอ ‘ไอ้โรคจิต’ ตัวเบ้อเริ่มน่ะสิ
“ก็นายนั่นแหละ โรคจิต!”
“ผมโรคจิตตรงไหน ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ”
“นายมองก้นฉัน และนายก็ล้วง”
“ล้วง... คุณว่าผมล้วงอะไร ผมหาโทรศัพท์ในกระเป๋า”
เพล้ง!!!
ดวงตากลมโตเหลือบมองลงต่ำและก็เห็นชัดว่าจุดที่เธอเห็นเขาล้วงนั้นมันคือ กระเป๋าสะพายที่ป้ายมาอยู่ด้านหน้าเป้ากางเกง แต่ไม่นะ... ก็เธอเห็นนี่นา ยังไงนายคนนี้ก็มองก้นเธอจริงๆ
“ไม่รู้อ่ะ ยังไงนายก็มองก้นฉัน ถ้าไม่อยากมีเรื่องเอาโทรศัพท์ฉันคืนมาเดี๋ยวนี้”
“ได้... แต่ผมคิดค่าเสียหายที่คุณกล่าวหานะ”
และค่าเสียหายที่ยุทธบอกก็คือจูบร้อนๆ ที่สาวน้อยแสนจะน่ารักน่าชังนี้ถึงกับอ่อนระทวยในอ้อมกอดของเขาเลยทีเดียว จูบแสนหวานไม่ประสีประสา ถูกใจเขาที่สุด แต่มันไม่ใช่เพียงครั้งแรกหรอก เพราะครั้งต่อๆ ไปจะต้องมีมาแน่
เพราะระยะที่ใกล้จนลมหายใจรดริน ได้กลิ่นหอมกรุ่นทั้งจากแชมพูสระผม และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอนั้น ทำให้เขาจำได้ว่าทำไมจึงคุ้นหน้าเธอนัก
‘คุณฤดี... หึหึ... อย่างนี้น่ารับงานหน่อย’
ความอุ่นวาบซาบซ่านที่ฉกลงบนริมฝีปากทำให้ดวงตากลมโตต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ และทันทีที่ได้สติฝ่ามือที่ชะงักค้างอยู่ข้างตัวก็พยายามจะยกขึ้นเพื่อทุบตีคนแปลกหน้าและพยายามยันแผงอกกว้างให้ห่างออก พร้อมกับส่ายหน้าหลบหลีกความอุ่นวาบจนเกือบร้อนนั้นให้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง คนที่ประกบปากของเขากับปากของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยออกไป
หากนาไม่แล้ง ข้าวไม่แห้งตาย ‘เดช’ ก็ไม่คิดจะหอบเอา ‘ฟ้า’ เมียรักเข้ามาทำงานในเมืองกรุง แต่ความจนทำให้เลือกไม่ได้ และงานดี เงินดี เจ้านายเห็นใจ ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทว่า... หากรู้ว่ามาแล้วจะต้องเสียเมียให้นายฝรั่ง เดชเลือกที่จะไม่มาเสียยังดีกว่า แต่... เสียแล้วคือเสียเลย สิ่งเดียวที่จะชดเชยความแค้นก็คือ ‘เมียนาย’ คุณผู้หญิงเร่าร้อน เร่งเร้า รุนแรง และมากครั้งเท่าที่ต้องการ เดชไม่รู้แล้วว่านั่นคือการแก้แค้นหรือรางวัล +++++ ‘เดช’ พา ‘ฟ้า’ เมียรักมาทำงานที่บ้านนายฝรั่ง แต่ ‘คริส’ นายฝรั่งกินเมียเขาไปแล้ว และยังเอาดุ้นยาวใหญ่มาล่อให้ฟ้าติดใจ จนฟ้ากินไม่อิ่มไม่พอ อยากได้อะไรที่เทียบเท่า เขาก็เลยแอบกิน ‘โรส’ เมียของนายฝรั่ง แก้แค้นให้สาสม แต่แค้นช่างแสนหวานและฉ่ำชุ่ม จนเขาต้องกินซ้ำๆ ยิ่งได้กินพร้อมๆ กับพี่โชค เขาก็ยิ่งเมามัน และแน่นอนว่าโรสชอบ ในขณะที่นายฝรั่งกระหยิ่มยิ้มที่ได้กินเมียเขา เดชกลับสุขและยิ้มกว้างยิ่งกว่า เพราะเขาได้กิน ‘คุณหนูแพทตี้’ คุณหนูช่างร่านร้อนไม่ต่างจากแม่ แน่นอนว่าเขาชวนพี่โชคมากินด้วย
‘หากหัวใจปราศจากความแค้น คงไร้แล้วซึ่งลมหายใจ’ สำหรับหล่อน เขาคือชายชุดดำ บอดี้การ์ดหน้านิ่งของพ่อ เคร่งขรึม เก๊กหล่อ หมางเมินใส่ราวหล่อนไม่สำคัญ ก็แน่ล่ะ เพราะพี่สาวเขากำลังจะมาเป็นเมียใหม่ของพ่อ แต่มีเหรอที่หล่อนจะยอม นารีมีรูปเป็นทรัพย์ฉันใด หล่อนก็พร้อมจะลงทุนเพื่อสิ่งที่ได้มา ภายใต้แว่นดำนั้น หล่อนต้องรู้ให้ได้ว่า ‘หัวใจ’ หรือเปล่าที่ซุกซ่อนอยู่ แต่สำหรับเขา... หล่อนคือ เหยื่อ! ที่ความแค้นจะได้เอาคืน
ความรักหรือเพียงความปรารถนาแค่ข้ามคืน พบกับนิยายสุดเร่าร้อน 3 เรื่อง 1.คืนเคาท์ดาวน์ 2.คืนฝนฉ่ำรัก 3.คืนเหงาสาวข้างบ้าน
#มาดามทรายกับชายเลี้ยงม้า เปิดประสบการณ์รักร้อนในฟาร์มม้ากันสักครั้ง หรือจะลองกลิ่นฟางแห้งบ่มแดดอุ่นๆ ในโรงนาก็ไม่เลวนะ +++++ เคิร์กรู้ว่าฉันชอบขี่ม้า เขาจึงสอนให้ฉันขี่ม้าจริงๆ หลังจากขี่เขาจนช่ำชองมาหลายครั้ง และฉันก็หัวไวสอนง่ายซะด้วย เพราะเมื่อฝึกหัดขี่ม้าจริงตอนเย็นเสร็จ พอตกกลางคืนฉันก็ซ้อมขี่กับม้าเทียมอย่างเคิร์กอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างเว้น และก็มีบ้างเป็นบางวันที่ฉันทนไม่ไหวและเคิร์กก็อดไม่ได้ เมื่อฟางใหม่หอมกลิ่นแดดเร่งเร้าความกำหนัดของเราเหลือเกิน เคิร์กก็จะพาฉันไปซ้อมขี่กันที่คอกม้าในโรงนาซะหลายครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้ฉันกับเคิร์กคึกคักกันมากเป็นพิเศษ ยามที่ฉันควบขี่เคิร์กอยู่ในโรงนา กลิ่นฟางแห้งที่รองรับร่างกายยิ่งใหญ่ของเขาอยู่นั้น เร้าใจจนฉันควบขี่เขาได้ไวกว่าที่เคยทำได้ บั้นเอวและช่วงบั้นท้ายทำหน้าที่โยกตัวไปข้างหน้าและโย้มาข้างหลัง ทว่าปากก็ร่ำร้องบอกถึงความเสียวซ่านที่ดุ้นบังเหียนกระทำกับร่องลึกลับของฉันอยู่ตลอดเวลา
พี่หนึ่งจะทำยังไงถ้าต้องเจอหน้า ‘พี่ชมพู่’ อยู่ทุกวัน รุ่นพี่สาวสวยที่เขาเคยไปสารภาพรัก แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยด้วยข้อหา ‘เด็กไป’ ครั้งนี้ พี่หนึ่งตั้งใจจะลบคำสบประมาทให้ได้ พี่ชมพู่จะได้รู้ว่า ‘รุ่นน้อง’ ก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างไม่แพ้รุ่นพี่ โดยเฉพาะพี่หนึ่งน่ะจบด็อกเตอร์สาขา ‘เซ็กซ์ศาสตร์’ มาซะด้วย ‘เด็กกว่าแล้วไง’ รุ่นพี่ถ้ามาเจอ ‘รุ่นน้อง... สายดาร์ก’ จะทนได้เหรอ พี่หนึ่งจะพิสูจน์เอง
เพราะเป็นคนสวน 'เมฆ' จึงต้องรดน้ำดอกไม้ของ 'คุณนายชวนชม' ทั้งวัน...ทั้งคืน ‘คุณนายครับ’ เป็นเรื่องราวความเร่าร้อนของ ‘เมฆ’ คนสวนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวกายดำแดง ตามแบบฉบับคนท้องไร่ท้องนาเต็มขั้น เมื่อเมฆต้องมาทำสวนที่บ้านของ ‘คุณนายชวนชม’ เมฆก็เลยต้องเป็นคนสวนที่ดีที่สุด ดังนั้นดอกไม้ในบ้านของคุณนายไม่ว่าจะมีกี่ดอก เมฆก็ต้องทำหน้าที่รดน้ำดอกไม้เหล่านั้นให้ชุ่มฉ่ำ ทั้งวันและทั้งคืน
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"