เขาคือซาตานตัวร้าย ส่วนเธอคือลูกกวางน้อยในกำมือเขา ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็มีแต่ความ...เร่าร้อน
เขาคือซาตานตัวร้าย ส่วนเธอคือลูกกวางน้อยในกำมือเขา ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็มีแต่ความ...เร่าร้อน
‘อยู่บนนั้นสบายดีไหม
มองเห็นผมหรือเปล่า ผมยังรอคุณอยู่ตรงนี้เสมอ
หรือคุณจะรอผมบนนั้นก็ได้ เพราะอีกไม่นานผมคงจะขึ้นไปหา’
นั่นคือประโยคคำพูดมากมายที่อยู่ในหัวของปุณณ์ เวลานี้ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้าที่เก็บอัฐิของคนรัก ซึ่งจากเขาไปด้วยอุบัติเหตุครบสองปีแล้ว
การสูญเสียเมื่อครั้งนั้นทำให้ปุณณ์หัวใจสลาย เพราะไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง ทั้งๆ ที่ตอนเช้าเธอยังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ เขาด้วยซ้ำ แต่พอบ่ายเขากลับได้ยินข่าวร้าย
ปุณณ์วางช่อดอกไม้สีสดในมือลงบนแท่นสีขาวพร้อมมองดูรูปของโรสที่ติดอยู่ไปด้วย เธอยังคงสดใสและส่งยิ้มให้เขาแต่ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ปุณณ์เศร้าสร้อย หากย้อยเวลากลับไปได้ก็คงจะดี กระทั่งเสียงเรียกดังขึ้น นั่นทำให้ปุณณ์หันกลับไปมอง
“พี่ปุณณ์”
“เดซี่”
“มาถึงวัดนานแล้วเหรอคะ” น้ำเสียงสดใสของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นจิดหอบเล็กๆ ด้วยซ้ำ เพราะเดินตามหาชายหนุ่มเสียหลายนาที
เธอส่งยิ้มให้ชายตรงหน้าแต่ทว่าปุณณ์กลับไม่ได้ยิ้มตอบอย่างที่เธอหวัง ถึงอย่างนั้นเดซี่ก็ไม่คิดน้อยใจแต่อย่างใด เพราะเธอชินกับท่าทางเงียบขรึมของเขาเสียแล้ว
เพราะเขาเป็นแบบนี้ไงเธอถึงได้สนใจและไม่เคยคิดมองคนอื่น พยายามเข้าหา พยายามอยู่ในสายตาเผื่อว่าสักวันปุณณ์จะมองเห็นเธอบ้าง โดยเฉพาะสองปีมานี้เธอยิ่งพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจชายหนุ่ม แม้จะยังไม่สำเร็จแต่เธอก็จะทำต่อไป
“สักพักแล้วครับ”
“ขอโทษทีนะคะที่เดซี่มาช้า พอดีเครื่องบินเลตนิดหน่อย” เดซี่ออกตัวและเธอก็รู้ว่าปุณณ์นั้นจะเข้าใจ แม้ลึกๆ จะเคืองชายหนุ่มเพราะคิดว่าเขาจะอยู่รอเธออยู่ที่บ้าน ที่ไหนได้เขากลับมาวัดก่อน
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเราเข้าไปทำบุญให้พี่โรสด้วยกันนะ” หญิงสาวเอ่ยชวนเพราะเห็นคนขับรถของปุณณ์ยังคงยืนถือตะกร้าที่ใส่ของทำบุญไว้อยู่
“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับ เดซี่บอกเขาไว้แล้วว่าเธอจะบินมาหา แต่เพราะเธอมาช้ากว่าเวลานัดเขาจึงออกมาที่วัดก่อน จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังกุฏิของท่านเจ้าอาวาสเพื่อทำบุญและถวายสังฆทาน ซึ่งของทุกอย่างทั้งคาวหวานผลไม้ที่ปุณณ์สั่งให้แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ล้วนแต่เป็นของที่โรสชอบทั้งนั้น
หากมองผ่านสายตาคนนอก คงคิดว่าคู่นี้อาจเป็นคู่รักกันเพราะดูเหมาะสม อีกอย่างเดซี่ก็ตั้งใจให้คนอื่นมองแบบนั้น ผิดกับปุณณ์ที่มักจะเว้นระยะห่างกับเธอ ไม่ได้ให้ความสนิทสนมจนเกินไป
แม้เดซี่จะได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวของโรส แต่รูปร่างหน้าตารวมถึงนิสัยใจคอก็แตกต่างกัน โรสหน้าคมส่วนเดซี่จะออกไปทาง หมวย คงได้ยีนส์จากฝั่งมารดามามากกว่าพี่สาว โรสใจเย็นพูดจาอ่อนหวานเดซี่ใจร้อนคงเพราะเป็นลูกคนสุดท้องทุกคนในบ้านจึงตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ
เมื่อทำบุญเสร็จทั้งคู่ก็กรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้ทำในวันนี้ให้...โรส ปุณณ์ตั้งจิตแน่วแน่เพราะเขาขอยกบุญให้กับโรสทั้งหมด ผิดกับเดซี่ที่แม้จะยกบุญให้กลับขอพรด้วย
“ฉันขอพี่ปุณณ์นะ พี่ช่วยให้ฉันสมหวังด้วย” เดซี่ยิ้มพอใจ จากนั้นก็ตามปุณณ์ไปปล่อยนกปล่อยปลาและทำบุญที่โรงทาน แม้จะไม่ชอบสถานที่เพราะมองว่าสกปรก แต่เพราะอยู่ต่อหน้าปุณณ์ทำให้เดซี่ออกอาการมากไม่ได้ จำต้องตามใจชายหนุ่ม กระทั่งเห็นว่าควรจะกลับออกจากวัดกันเสียที เธอจึงเอ่ยชวนขึ้น
“สายมากแล้ว เรากลับกันดีไหมคะพี่ปุณณ์”
“ไปสิ”
“เดซี่หิ้ว...หิว ยังไงเราแวะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันก่อนนะคะ” ก่อนจะถึงรถเสียงหวานก็เอ่ยชวนแนวมัดมือชก แต่ทว่าปุณณ์กลับเลือกที่จะปฏิเสธ
“พี่ขอตัวนะครับ”
“ทำไมละคะ”
“พี่มีประชุมสำคัญ” ชายหนุ่มให้เหตุผลแต่ทว่าเดซี่กลับแย้ง
“แต่เดซี่อุตส่าห์บินมาจากกรุงเทพฯ เชียวนะ พี่ปุณณ์จะไม่เทคแคร์หน่อยเหรอ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้เลขาส่วนตัวตามไปดูแล โอเคนะ” เอ่ยจบปุณณ์ก็เดินจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามองเดซี่ด้วยซ้ำ ปล่อยให้เดซี่ยืนค้างที่ถูกปฏิเสธชนิดไม่เหลือเยื่อใยใดๆ
“พี่ปุณณ์ พี่ปุณณ์” เดซี่ตะโกนตามหลังชายหนุ่มที่เวลานี้เดินห่างออกไปไกลแล้ว ถ้าไม่ติดว่านี่คือวัดเธอจะกรี๊ดจะอาละวาดให้สมใจ
อุตส่าห์ตื่นมาขึ้นเครื่องบินแต่เช้าเพื่อมาหาเขาถึงกระบี่ ลงเครื่องได้ก็ตรงไปที่บ้านแต่กลับคลาดกัน พอรู้จากแม่บ้านว่าชายหนุ่มไปที่ไหนเธอก็รีบตามมาสมทบ มาเพื่อให้เขาเห็นว่าเธออยู่เคียงข้างเสมอในทุกๆ เหตุการณ์ ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย หวังให้ปุณณ์เห็นความดี แต่ทว่าเหมือนเดซี่จะทำเสียเปล่า
“คอยดูเถอะ สักวันพี่ต้องมาแทบเท้าฉัน” เดซี่เอ่ยตามหลัง ยังไงเธอก็ไม่ยอมถอดใจจากปุณณ์แน่นอน ในเมื่อชายหนุ่มคือรักแรกของเธอและตอนนี้เขาก็โสด
เพราะสองปีที่ผ่านมาปุณณ์ไม่เคยเปิดใจคบผู้หญิงคนใหม่ ผู้หญิงที่จะเข้ามาแทนที่พี่สาวเธอ แม้จะพอใจที่เป็นแบบนั้น แต่ลึกๆ เดซี่ก็อยากให้ปุณณ์ลืมพี่สาวไปจากใจเสียที เธอรอจนขี้เกียจจะรอแล้ว ไม่รู้ว่าต้องรอให้เขาพร้อมรับรักครั้งใหม่อีกถึงเมื่อไหร่ คิดแล้วก็น่าหงุดหงิดชะมัด
เธอคือ....นางโจร ส่วนเขาคือนายตำรวจ...มือหนึ่ง แต่พรหมลิขิตกลับชักพาให้นางโจรอย่างเธอปล้นความรักไปจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่าง...เขา +++++ “ผมบอกไปหรือยังว่าผมรักคุณ” “ยังค่ะ” มีนาเอ่ยตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อคืนเหมือนเธอจะได้ยินเมฆาบอกรัก แต่มันก็แผ่วเบาเสียจนคิดว่าเธอคงฝันหรือไม่ก็เพ้อไปเองคนเดียว “โอเค...ผมรักคุณ” เมฆาบอกรักคนในอ้อมกอด มันคือคำว่ารักที่แสนเรียบง่ายแต่ทว่ากลับตราตรึงอยู่ในความรู้สึก ทั้งจากคนพูดและคนที่ได้ยิน เพราะหากไม่แน่ใจว่ารักเมฆาหรือจะพูดคำนี้ออกมา “ผู้ชายเขาบอกรักกันง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ” “ใครบอกว่าง่าย เมื่อคืนกว่าผมจะบอกรักคุณมีนด้วยภาษากายได้ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเชียวนะ” “ทะลึ่ง” มีนามองค้อนมาให้ นั่นเพราะรู้ความหมายที่เมฆาเอ่ยว่าคืออะไร “ผมพูดเรื่องจริง” “แต่ฉันเป็นโจรที่เคยยกเค้าบ้านคุณนะคะ ถูกแจ้งจับอีก แบบนี้คุณยังจะรักฉันอย่างนั้นเหรอ” “มีกฎหมายข้อไหน ห้ามไม่ให้ตำรวจรักกับโจรบ้าง” “ก็...” คนฟังแย้งไม่ออก “ผมว่าความรักมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว รักก็คือรัก” “แต่เราต่างกันเกินไป ฉันคิดว่า...” “โลกนี้ไม่มีคำว่าต่าง ต่อให้มีเราก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันก็ได้นี่ครับ ผมขอแค่โอกาส” “ฉัน...” “ผมรักคุณมีน ต่อให้จะนอนคิดนั่งคิดหรือตีลังกาคิดก็ยังรัก” เมฆาเอ่ยคำว่ารักให้คนในอ้อมกอดได้ยินและได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอีกครั้ง “แล้วถ้าฉันปฏิเสธละคะ คุณจะว่ายังไง” “ผมคงเสียใจหนักมากแน่” เมฆาเสียใจจริงๆ แต่เขาคงไม่ถอดในจากเธอด้วยเรื่องแค่นี้แน่ แต่ทว่าคำพูดหลังจากนั้นของมีนากลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมา “แต่ฉันไม่อยากเห็นคุณเสียใจ” “งั้นก็รับรักผม ได้ไหม” “เฮ้อ! ไหนๆ ฉันก็ได้คุณแล้วก็คงต้องแมนๆ รับผิดชอบ ฉันรับรักคุณก็ได้อะ คุณจะได้ไม่ร้องไห้เสียใจเพราะฉัน” มีนาพูดติดตลก นั่นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศตอนนี้อึดอัด คำพูดของเธอทำให้เมฆาถึงกับหัวเราะ ก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมโปงทั้งเธอและเขา แล้วเริ่มปฏิบัติการยืนยันว่าแท้จริงแล้วใครได้ใครกันแน่ และใครต้องรับผิดชอบใคร
‘เขาเป็นแวมไพร์ที่ปฏิเสธการดื่มเลือด แต่กลับไม่ปฏิเสธหากจะได้กลืนกินเธอ’ ------------ “วันนี้นายริทเป็นอะไร ดูเหม่อๆ” “นั่นนะสิ” คนงานอีกคนเห็นด้วย ก่อนจะหยุดการสนทนาใดๆ แล้วตัดดอกไม้ต่ออย่างขะมักเขม้น ส่วนคนที่พวกเขาเอ่ยถึงนั้น ตอนนี้ก็กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเช่นเดียวกัน กระทั่งได้ดอกไม้ครบตามจำนวน เชโรมจึงเดินไปยังรถที่ตอนนี้มีดอกไม้แสนสวยอยู่ท้ายกระบะเต็มไปหมด แต่จังหวะนั้น สายตาของเชโรมกลับมองไปเห็นกระต่ายสีขาวที่เขาเลี้ยงไว้หลุดออกมาจากกรง จึงเดินไปอุ้มมันขึ้น ท่าทางเขาดูอ่อนโยนเสียจนมาศิตาที่ผ่านมาเห็น คิดว่าตัวเองตาฝาด จนต้องขยี้ตาแรงๆ สามสี่ครั้ง “ผู้ชายหน้าโหดกับกระต่ายสีขาว ดูยังไงก็ไม่เห็นจะเข้ากันสักนิด สงสัยจะเลี้ยงกระต่ายไว้กินแน่ๆ” “เลี้ยงไว้ดูจ้ะ นายริทชอบกระต่ายสีขาว ตรงนู่นเป็นกรงกระต่าย มีหลายสิบตัว” คนงานสาวคนหนึ่งเอ่ยแย้งให้ผู้เป็นเจ้านาย “ชีวิตดูมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วขัดแย้งกับหน้าตาสุดๆ แวมไพร์ตนอื่นๆ มีแต่จะเลี้ยงกระต่ายไว้ดื่มเลือด นี่อะไร เลี้ยงไว้ดูเล่น โอ๊ย! พ่อมังสวิรัติ” มาศิตาบ่นคนเดียวอีกตามเคย ตามมาด้วยอีกประโยค “สอนแวมไพร์ให้ดื่มเลือด มันจะเหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำปะวะเนี่ย ของมันเป็น มันอยู่ในสายเลือด จะให้เรามาสอนเขาทำไม หืม” คนข้างๆ ที่เผลอได้ยินทั้งสองประโยคนี้เข้า กลับมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด พอจะถามมาศิตาก็เดินตัวปลิวไปเสียแล้ว “ใครเป็นแวมไพร์หว่า หรือเราจะหูฝาดไป” คนงานสาวที่เพิ่งจะเอ่ยแก้ต่างเรื่องกระต่ายให้เชโรมไปเมื่อครู่ถึงกับคิ้วขมวด พูดกับตัวเองตามมาศิตาไปอีกคน ------------------ “แต่ศิตาไม่ยอมให้พี่ริทตายเด็ดขาด เพราะศิตารักพี่ริท” เอ่ยจบก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรม จูบที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจากกันและกันมาโดยตลอด จูบที่ฝันว่าครั้งแรกมันต้องโรแมนติกและน่าจดจำ ไม่ใช่จูบที่ได้กลิ่นคาวเลือดจากริมฝีปากเขาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด เลือด! ใช่…เลือด คำๆ นี้ทำให้มาศิตานึกอะไรขึ้นมาได้ เธอคือผู้พิทักษ์ เลือดของเธอแวมไพร์ที่ยืนจ้องอยู่ตรงนั้นยังต้องการ แล้วทำไมเธอถึงไม่ให้เชโรมชิงดื่มเลือดของเธอเสีย ไม่แน่ว่า หากเขาได้ดื่มเลือดมนุษย์จริงๆ เชโรมอาจมีพลังขึ้นมาก็เป็นได้ มาศิตาถอนจูบออก แล้วแสร้งโอบกอดเชโรม ก่อนจะกระซิบให้เขาฝังคมเขี้ยวลงไปบนลำคอเพื่อจะได้ดื่มเลือดเธอ แต่เหมือนเชโรมกลับส่ายหน้าปฏิเสธกับแผนนี้ กระทั่งมาศิตาชิงลงมือก่อน เธอกัดริมฝีปากตัวเองสุดแรงจนเลือดไหล แม้จะเจ็บแต่ก็ยอมทน จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรมอีกครั้ง ทันทีที่ได้สัมผัสเลือดของผู้พิทักษ์ นั่นทำให้เลือดในกายของแวมไพร์หนุ่ม ผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติของเลือดใดๆ มาก่อน พลันพลุ่งพล่านราวกับเปลวไฟ “เจ้าทำอะไร” แดนเองก็ได้กลิ่นเลือดของมาศิตาเช่นเดียวกัน รวมทั้งจ้องมองความผิดปกติของเชโรมอย่างไม่กะพริบตา เลือดเพียงหนึ่งหยด กลับทำให้นัยน์ตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นสีแดงเพลิงในทันที ร่างกายที่เคยเจ็บปวดกลับค่อยๆ หาย และรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง “แววตาแบบนั้น เจ้าเป็นใครกัน หรือว่า…”
จูบแรกก็เป็นของเขา จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ก็ยังคงเป็นของเขา แบบนี้โสภิตาจะหนีจาก CEO หนุ่มที่เธอบังเอิญผ่านไปช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างไร ++++++++++++++++ **โปรย 1 “เท่าที่ได้คุยกันฉันว่านายเชนคนนี้นิสัยก็ใช้ได้” “อึนๆ มึนๆ นี่เหรอใช้ได้” โสภิตาอยากจะบอกเหลือเกินว่าบางครั้งราเชนก็กวนตีนเธอ “อื้อ...นายเชนเขาให้ความพิเศษกับแกนะ ขนาดปลายังแกะก้างออกให้ นี่ถามจริงๆ แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” “ก็...” โสภิตาอ้ำๆ อึ้งๆ เธอนั้นไม่มีประสบการณ์เรื่องความรัก เรียกได้ว่าชั่วโมงบินน้อยมากๆ ใครมาดีหรือมาร้ายบางครั้งก็มองไม่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณของตัวเองซึ่งบางครั้งมันอาจผิดพลาด “หรือคิดมากเรื่องฐานะที่นายเชนมีน้อยกว่าแก” “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถามว่าฉันรู้สึกดีกับเขาไหมก็...อื้ม บางครั้งเวลาฉันอยู่กับเขาแล้วเหมือนตัวเองเป็นง่อย จากที่ทำอะไรได้เองก็เริ่มอยากให้เขาทำให้ อยากให้เขาช่วย” นั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่โสภิตารู้ตัวเองดี “ไม่แปลกหรอก เพราะผู้หญิงเราต่อให้แข็งแกร่งยังไงลึกๆ ในหัวใจก็อยากมีใครสักคนมาดูแล” “แกก็เป็นเหรอ” “เป็นสิ บางครั้งฉันยังงอแงให้บอสจับแมลงสาบเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเห็นตอนไหนฉันกระโดดกระทืบตอนนั้น” คำพูดของรติชาทำให้โสภิตาหัวเราะออกมาเพราะนึกภาพออกทันที เวลานั้นปิลันธน์คงทั้งกลัวทั้งอยากกำจัดให้คนรักส่วนรติชาก็คงหัวเราะชอบใจแน่ๆ “นึกว่าฉันเป็นอยู่คนเดียว” “แกนะเข้มแข็งมากนะหวาน เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นหัวหน้าคนงาน รับผิดชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ที่ผ่านมาอาจเพราะแกยังไม่เจอใครที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้แกเลยไม่เปิดใจ แต่ถ้าตอนนี้แกเจอคนคนนั้นแล้วฉันแนะนำว่าแกควรฟังเสียงหัวใจของตัวเองให้มาก ว่าอยากอยู่แบบที่ผ่านๆ มาหรืออยากจับมือกับใครสักคนไปจนวันตาย” นั่นคือคำแนะนำจากใจของรติชาเพราะเธอเคยลังเลแบบนี้มาแล้ว หากเวลานั้นตัดสินใจผิดตอนนี้เธออาจโกนหัวบวชชีที่วัดป่าที่ไหนสักแห่ง “ฉันอยากจับมือใครสักคน” ++++++++++++++++ ***โปรย 2 “ฉันเกลียดที่สุดคือคนโกหก ที่ผ่านมาฉันรู้สึกดีกับนายเพราะเข้าใจมาตลอดมานั่นคือนาย แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใครกันแน่ นายจะโกหกอะไรฉันอีกไหม ฉันต้องโง่ไปอีกกี่ครั้ง” น้ำเสียงของโสภิตานั้นสั่นเครือ “ผมสัญญาว่าจะไม่โกหกอะไรคุณอีกแล้ว สาบานให้ตาย...” จังหวะที่ราเชนกำลังจะสาบานให้ตัวเองตาย โสภิตาก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของเขาไว้เสียก่อน “ลองตายดูสิ ฉันจะลากตัวนายขึ้นมาแล้วสับๆ” ราเชนอึ้งกับประโยคที่ได้ยินก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าโสภิตาไม่ยอมให้เขาตายง่ายๆ สินะ “โอเคๆ ผมไม่ตายแล้วก็ได้ ยกโทษให้ผมเถอะนะคุณหวาน ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” “นายนี่มัน ทำฉันทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนคนเป็นไบโพลาร์แบบนี้ได้ยังไง รับผิดชอบสติฉันมาเลย” “ถ้าผมรับผิดชอบจริงๆ คุณหวานจะตอบตกลงไหมครับ” “อื้อ” “จริงๆ นะ” ราเชนถามย้ำ ส่วนคนที่ตามความเจ้าเล่ห์ของเขาไม่ทันก็ไม่ได้เอะใจอะไรแม้แต่น้อยเช่นกัน “จะรับผิดชอบอะไรว่ามา” “แต่งงานกันไหม”
‘พรพระพาย’ คือสาวสวยวัยยังไม่แตะเลขสาม แต่ทว่าอาภัพเพราะต้องเป็นหม้ายถึงสองครั้ง แต่งงานครั้งแรกสามีเสียชีวิตตั้งแต่คืนส่งตัวเข้าหอ แต่งงานครั้งที่สอง (ว่าที่) สามีกลับไม่โผล่หน้ามางานแต่งงาน ‘กานต์’ คือชายหนุ่มหน้าโหดลุคเหมือนโจรป่า แต่ทว่าเขามาเพื่อทำลายกำแพงอันสูงลิ่วหวังพาคนที่รักให้หลุดพ้นคำว่า ‘หม้าย’ หากการแต่งงานครั้งที่สามเกิดขึ้น!! มันจะ…ล่ม! หรือจะ…รุ่ง! จะเป็นงานแต่งงานในฝันที่แสนจะโรแมนติก หรือจะวิวาห์เหาะเพื่อแก้เคล็ดล้างอาถรรพ์กันนะ
เขาคือพระเอกดาวค้างฟ้า เล่นละครเรื่องไหนเรตติ้งพุ่งแรงเสมอ ในขณะที่เธอก็เป็นแค่เอ็กตร้าในกองถ่าย ที่เอ๋อๆ เด๋อๆ เพราะไม่ได้เป็นแฟนคลับของเขาเธอจึงไม่ได้แสดงออกว่าปลื้ม แต่ยิ่งเธอเฉยเขายิ่งสนใจ กระทั่งมีเหตุการณ์ให้ทั้งคู่ได้ทำงานร่วมกัน จูบแรกของทั้งคู่เกิดขึ้นก็เพราะงาน แต่หัวใจของเธอกลับถูกริมฝีปากนุ่มและแสนร้ายกาจของพระเอกกระชากจนหลุดลอยและมันมักจะลอยไปหาเขาโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ของขวัญวันเกิดปีนี้ของเธอก็ยังเป็นจูบจากเขา จูบที่ทำให้ใจสาวหวั่นไหวและยากจะต้านทาน หัวใจเธอถูกเขาไล่ต้อนจนมุม ทางเดียวที่จะรับมือคือพุ่งเข้าชนแล้วเอาหัวใจเป็นเดิมพัน
ถึงอาดิน เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ เป็นสิบปีที่มิลค์มีความสุขมาก ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่มิลค์จะหยุดรักอาดินได้เลย นอกจากจะหยุดรักไม่ได้แล้ว ยังรักมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน สิบปีมานี้มิลค์ได้บอกรักอาดินไปหลายครั้ง ทุกๆ ครั้งที่บอกไปมิลค์มีความสุขมากค่ะ ถึงแม้อาดินจะไม่ตอบรับมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่มิลค์ก็ยังพยายามต่อ เพราะหวังว่าสักวันอาดินจะหันมามองเห็นความรักที่มิลค์มีให้และรับมันไป แต่ว่า...มันคงไม่มีวันนั้นแล้วจริงๆ มิลค์ขอโทษนะคะที่เอาแต่ใจ ที่ตามกวนใจอาดิน หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันสักพัก มิลค์ขอให้อาดินเจอคนที่ใช่ คนที่อาดินรัก ส่วนมิลค์จะขอเฝ้ามองอาดินอยู่ห่างๆ แทน ลาก่อนค่ะ มิลค์
ด้วยภาระหนี้สินก้อนโตของบิดา ทำให้เคียงเดือนต้องวิ่งรอกรับงานทั่วราชอาณาจักรเพื่อหาเงิน นางแบบสาวต้องวิ่งรอกรับงานจนไปถึง เบเดน ดินแดนแห่งทะเลทราย หล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่ปากร้าย บ้าอำนาจ ชอบยัดเยียด จอมใส่ร้ายเป็นที่สุดอย่างนาคินเลย แค่เขาหลงคิดเข้าใจผิดว่าหล่อนเป็นคนใช้ ก็น่าโมโหพออยู่แล้ว... แต่เขาก็อาจหาญหาว่าหล่อนเป็นนางนกต่อของผู้ก่อการร้าย และยังจับหล่อนไปขังเพื่อสอบสวน... เขาชักจะทำกับหล่อนมากเกินไปแล้ว... เคียงเดือนจะไม่ขอทน !
ตอนเด็กถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แม่ถูกทำร้าย ฉือเนี่ยนสาบานว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา!ครั้งแรกที่กลับมาที่เมืองจิง เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและสำส่อนหลายคนบอกว่าลู่เหยียนสือต้องตาบอดแน่ๆ ถึงได้มาสนใจฉือเนี่ยนแต่มีแค่ลู่เหยียนสือเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอที่เขารักและทะนุถนอมนั้นมากความสามารถ สามารถสร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองจิงได้ด้วยตัวคนเดียวเธอคือหมอมือหนึ่ง เธอคือแฮ็กเกอร์มือทอง และยังเป็นนักปรุงน้ำหอมชั้นยอดที่ได้รับการยกย่องจากบุคคลสำคัญคนภายนอก: "คุณลู่ คุณจะเอาใจภรรยาจนไม่มีขอบเขตเลยเหรอ ทำไมแม้แต่ประชุมยังต้องอุ้มเธอไว้ด้วย!"ลู่เหยียนสือ "ต้องเอาใจภรรยาถึงจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู"ต่อมาความลับของเธอถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหันมาชื่นชมและยกย่องเธอ...
จู่ๆ ก็มีแม่สาวน้อยฝีปากกล้าตกตุ๊บลงมาในอ้อมแขนโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายที่หัวใจ ถูกปิดตายมาเนิ่นนานอย่าง ฟินิกซ์ อีเมอร์สัน จึงจำต้องอ้าแขนรับแม่นกน้อยเอาไว้ในกรงทอง ด้วยตำแหน่ง ‘เมียขัดดอก’ จดหมายของคุณย่าผู้ล่วงลับ นำพาให้มิรินต้องเดินทางข้ามขุนเขามาเพื่อพบกับเขา ฟินิกซ์ อีเมอร์สัน พ่อเทพบุตรนกไฟ ผู้ชายเย่อหยิ่ง เขาขโมยหัวใจสาวไปตั้งแต่แรกสบตา และยิ่งได้รู้ว่าเขาคือผู้ชายที่กำลังจะได้ครอบครองพรหมจารีย์ที่แสนหวงแหนของตัวเอง หญิงสาวก็ยิ่งเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงที่แสนวาบหวาม
เขาปฏิเสธการหมั้นกับเธอเพราะไม่ชอบถูกบังคับ ทั้งที่เธอแอบชอบเขามานาน เมื่อได้มาทำงานด้วยกันเธอจึงยั่วให้เขาหลงรักเพราะอยากจะเอาชนะ แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเอาชนะกันได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ **************** ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชานั้นซ่อนไว้ซึ่งตัณหาแล้วพอเจอกับเลขาจอมยั่วมีหรือเขาจะปล่อยไปง่ายๆ
ตระกูลซูล่มสลาย จวนเจิ้นกั๋วทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตในคืนเดียว ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งถูกน้องสาวหลอกใช้ ถูกชายเจ้าชู้เล่นตลก ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แคว้นเป่ยเหลียงสิบกว่าปี แต่กลับถูกกล่าวหาว่าคบคิดกับศัตรู คนทั้งแคว้นเซิ่งถังต่างก็ด่าทอยกใหญ่ ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งต้องยืนมองน้องสาวกับรักแรกของตนสนิทสนมกัน ครองโลก ส่วนตัวเองกลับโดนประหารชีวิต เลือดสาดตะวัน เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง… ซูเฉิงอิ้งถือดาบกลับมา ฟาดแรก… ตัดสายเลือด ฟันน้องสาวอกตัญญู ฟาดที่สอง… ตัดความรัก ฟันรักแรกที่หน้าเนื้อใจเสือ ฟาดที่สาม… ตัดคำพูด ฟันทุกเสียงนินทาของเป่ยเหลียงที่บิดเบือนความจริง ฟาดที่สี่… ตงฟางไป๋เยว่ “หรือว่าฮูหยินอยากจะฆ่าสามีผู้นี้ด้วยหรือ” ซูเฉิงอิ้ง“หุบปาก…”
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด