เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มจนฉันต้องลดหนังสือในมือลงชะเง้อคอมองไปที่ถนน “เสียงท่อรถแบบนี้ ผ่านด่านตรวจมาได้ยังไงวะ?” ความรู้สึกแรกหลังได้ยินเสียงแสบหู ท่อไอเสียที่ถูกตัดแต่งเพิ่มเสียงให้ดังมากขึ้น จนทำให้คนที่ได้ยินเกิดความรำคาญ และฉันเป็นหนึ่งในหลายคนที่เบ้ปากร้องยี๋ แต่ฉันอาจจะอาการหนักกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็ได้ เพราะฉันกำลังติดพันกับหนังสือนวนิยายที่เพิ่งได้มา มันเป็นหนังสือนิยายทำมือของนักเขียนท่านหนึ่งแต่ติดเรท ที่ฉันพยายามหลบๆ อ่าน เพราะบางทีสายตาของคนอื่นตอนที่มองปกหนังสือก็ทำให้ฉันหงุดหงิดเล็กๆ ฉันคิดในใจทุกครั้งหากสายตาคนเหล่านั้นพุ่งตรงมาที่หนังสือในมือฉัน ฉันซื้อมาด้วยสตางค์ที่หาได้ ไม่ได้ไปใครขโมยใครมา แล้วทำไมล่ะ ความชอบส่วนตัวของฉันจึงไปขัดตาคนอื่น จบเรื่องนั้นกันก่อนเถอะค่ะ เรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น ไอ้รถบิ้กไบค์คันนั้นดันมาจอดใกล้ๆ แปลที่ฉันนอนซุ่มอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่นี่สิ!!
บทที่1.นี่เหรอผู้ชายที่มีอายุ50+
ทับทิมเหวี่ยงปลายเท้าลงยันพื้น กลอกตามองบนเมื่อรถมอเตอร์ไซค์ที่เธอค่อนว่าในใจ ทะลึ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ ตัวพร้อมกับเสียงท่อไอเสียที่ดังจนแก้วหูร้าว...เธอรีบยัดหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดเก็บไว้ในเป้สะพายไหล่...
“ดับเครื่องสิคู๊ณ!!” หญิงสาวใช้เสียงสูงเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกละอายใจ
เสียงท่อดังสนั่นเงียบลง หลังคนขับบิ้กไบท์คันนั้นบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ที่ทำงานให้หยุดสนิท
“ด่านเขาก็ตั้งกันให้เกร่อ ไม่รู้เป็นไงสิ ชอบกันจริงเรื่องแหกฎนี่” หญิงสาวบ่นต่อ ฉวยเป้คล้องที่หัวไหล่เตรียมจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิ” ใครคนนั้นรั้งเธอไว้
ทับทิมยกหัวคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม แต่ไม่ได้ปริปากพูด
“ทัพอยู่ไหม?” เสียงที่ดังลอดหมวกกันน็อคออกมาดังอู้อี้ หญิงสาวค่อนว่าในใจ คนตรงหน้านี่ไม่รู้จักมารยาทหรือไงกันนะ เขาควรถอดหมวกกันน็อคเพื่อเจรจากับคนแปลกหน้าสิ
แต่เพราะชื่อของคนที่ชายตรงหน้าถามหา ทับทิมเลยพยายามตัดความรู้สึกไม่พอใจออก แต่ก็นั่นแหละ เธอก็ยังแอบด่าคนตรงหน้าในใจอยู่ดี
ทัพ คนที่ชายแปลกหน้าตรงหน้าเธอถามถึง คือบิดาของเธอเอง แต่บิดาของเธออายุปาเข้าไป52ปีแล้วนะ คนตรงหน้าที่พอจะสำรวจคร่าวๆ ไม่น่าจะเกิน40ปี เขาอาจจะยู่ในช่วง35ถึง40ก็เป็นได้ เธอคะเนจากรูปร่างของเขา ท่อนขาแข็งแรงนั่น กับกล้ามเป็นมัดใต้เสื้อยืดแนบเนื้อ เขาใส่กางเกงผ้ายีนส์ หุ่นเฟิร์มเสียจนเธอยังแอบสนใจ แต่จำต้องตัดออกเพราะท่าทีแข็งกระด้างของเขานั้นแหละ
“มาหาพ่อฉันเหรอ?”
เสียงที่ทับทิมใช้เลยค่อนข้างห้วน
“อยู่หรือเปล่าล่ะ” คน คนนั้นไม่ได้ตอบ เขากลับย้อนถามเธออีกครั้ง
ทับทิมเริ่มฉุน เธอแอบเบ้ปาก พร้อมกับถอนใจดังๆ
“ไม่อยู่หรอก ถ้ามาหาพ่อ มาตอนเย็นๆ เถอะ”
ช่วงเวลานี้บิดาของเธอ ไม่อยู่ที่ศาลาวัด ก็อาจจะนั่งจิบโอยั๊วะอยู่ที่ร้านกาแฟหน้าหมู่บ้าน สถานที่ซ่องสุมของคนทำนา หลังเกี่ยวข้าวเสร็จส่วนใหญ่จะสุมหัวคุยกัน หรือไม่ก็นัดดวลไก่ชน
เธอชินแล้ว สำหรับกิจกรรมหลังหน้าทำนาของบิดา
“รู้ไหมว่าอยู่ไหน?” หญิงสาวจิปากซ้ำอีกครั้ง
ผู้ชายตรงหน้าเธอ เป็นคนกระด้างมาก คำพูดของเขาไม่มีหางเสียง ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า
“อยู่ร้านโกเอี่ยวหน้าวัดมั้ง” ทับทิมตอบแบบขอไปที เธอเตรียมจะเดินหนี ไม่อยากเสวนากับคนมารยาทต่ำ
แต่...
คนคนนั้นถอดหมวกกันน็อคออกจากศีรษะ เธอถึงกับอึ้ง เขาหล่อมากกว่าที่คิด ใบหน้าคมเข้ม ผิวขาวเหมือนไข่ปอก นัยน์ตายาวรีมีความหมายแปลกๆ แต่ทับทิมขี้เกียจแปล
เธอเสหลบตาตอนที่สายตาคมดุคู่นั้นมองมาที่ตนเอง
“ไปทางไหนเหรอ?” เขาคนนั้นถามต่อ เธอชี้มือไปคนละทิศกับที่ชายผู้นี้มา
“อืม...” ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีรอยยิ้ม เขาสวมหมวกใบนั้นกลับเข้าที่เดิม พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่แผดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
ทับทิมกำมือแน่น เธอกัดฟันกรอดๆ
คนกวนประสาทจากไปพร้อมกับเสียงท่อไอเสียแสบแก้วหูนั่น
“ใครวะ หน้าตาก็ดีมารยาทต่ำจัง!!” ทับทิมทิ้งตัวนอนในแปลที่เดิม ควักหนังสือเล่มเดิมออกมาเปิดอ่าน และดำดิ่งในโลกจินตนาการ ลืมความไม่พอใจที่เกิดขึ้น เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง...เธออ่านนิยายจบเลยยัดหนังสือเก็บในเป้ เตรียมจะเดินขึ้นบ้าน
“อีหนูแม่ไปตลาดแป๊บนะ” มารดาปั่นจักยานคันเก่าฝ่าเปลวแดดมา
“ไปอะไรตอนนี้แม่ ตลาดวายหมดแล้วค่ะ” ทับทิมเงยหน้ามองฟ้า แดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ แม่ค้าเก็บแผงกลับบ้านหมดแล้ว
“เสี่ยงดวงเอา ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย เย็นนี้จะกินข้าวกับอะไรกันล่ะ” ปรางตอบบุตรสาวหลังจอดรถจักรยานพิงโคนต้นไม้
“น้ำพริกไงแม่ ทิมกำลังนึกอยากกินอยู่พอดี”
กับข้าวง่ายๆ ที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน อาหารพื้นบ้านที่ทุกครัวเรือนมักจะมีเป็นอาหารสักมื้อหนึ่ง
“ไม่ได้หรอก วันนี้พ่อเอ็งมีแขก” ปรางตอบบุตรสาว ฉวยตระกร้าหวายที่แขวนไว้กับกิ่งมะขามมาถือ เตรียมตัวจะไปตลาดเหมือนที่ปากพูด
“ใครมาเหรอแม่?”
“เจ้านายเก่าพ่อเอ็งสิ...แม่ไปล่ะ หุงข้าวดีๆ ล่ะ อย่าให้แฉะจนขายขี้หน้าแขกของพ่อเอ็ง” ปรางกำชับบุตรสาว คว้ามอเตอร์ไซค์ของทับทิมมาสตาร์ทเครื่องมุ่งหน้าไปตลาด หวังได้อะไรติดมือมาบ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้ขายขี้หน้าคนมาเยือน
ยี่หวาไม่เคยคิดว่าปลายทางชีวิตของเธอจะจบลงแบบนี้ ก่อนที่เธอจะทิ้งอนาคตที่เหลือไปอย่างไร้ค่า เนื่องจากสุดที่จะทนกับความชอกช้ำที่ได้รับมาจากสามีคนเดียว เธอตัดสินใจฝากดวงใจของตัวเองไว้กับน้องสาวฝาแฝด น้องสาวที่ไม่มีคนรอบตัวรู้จัก มันคือความลับที่เธอปิดบังพวกเขาไว้ สมัยเด็กๆ พ่อกับแม่แยกทางกัน ทั้งสองท่านเลยแบ่งลูกไปเลี้ยงดูคนละคน ยี่หวาอยู่กับแม่ ส่วนญาดาไปอยู่กับบิดา สองสาวที่เหมือนกันทุกกระบิ แตกต่างที่นิสัย คนหนึ่งเรียบร้อย พูดน้อย น่ารัก ส่วนอีกคนตรงข้ามทุกอย่าง แกร่ง และกล้าท้าชน… และเพราะแค้นใจแทนพี่สาว ญาดาเลยรับปากก่อนยี่หวาสิ้นลม เธอจะเอาคืนทั้งสองคนนั้นให้สาสม ไม่ว่าจะเป็นปกป้องสามีสุดที่รักของยี่หวา หรือแม้แต่...ฉันทา ว่าที่ภรรยาคนใหม่แสนผยองคนนั้น สองคนนี้ต้องหาความสุขไม่ได้ เธอจะรังควานพวกเขา ให้เหมือนตกนรกทั้งเป็น...การจองเวรคืองานที่เธอควรทำ…ถ้าเป็นดั่งที่ตั้งใจไว้ ญาดาคงไม่กลุ้มใจหนัก ‘ความรัก’ บทจะมาก็มาประชิด เธออยากแก้แค้น แต่ดันไปหลงรัก ผู้ชายเลวคนนั้นเสียอีก หลังจากเฉดหัวฉันทา คงต้องหาทางมัดใจปกป้อง อย่างน้อยก็ทำเพื่อหลาน ถ้าเธอตกนรก เธอจะลากปกป้องตามไปด้วย...
คงไม่มีความซวยไหนเลวร้ายเท่ากับการถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กดริ้ง’ ความตั้งใจของณิรินคือไปจับผิดว่าที่พี่เขย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกเข้าใจผิดเสียเอง แถมผู้ชายคนนั้นดันเป็นคนสำคัญที่เธอต้องคอยดูแลระหว่างที่เขามาเจรจา เพื่อเป็นคู่ค้ากับบริษัทของลุงกับป้า หน้าที่นั้นเลยถูกโยนมาให้ณิรินรับผิดชอบ ผู้ชายปากร้ายเอาแต่ใจตัวเอง ค่อนข้างงี่เง่าคนนั้น เขาคิดว่าเธอมีอาชีพเสริม และพยายามเกาะแกะจนณิรินโมโห บางครั้งณิรินก็อดคิดไม่ได้ มันเป็นเพราะช่วงเบญจเพศของเธอหรือเปล่า เรื่องซวยๆ เลยเกิดขึ้นกับเธอไม่หยุดหย่อน
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในหู ฉันไม่สามารถสลัดเสียงแหบๆ ของเขาออกไปจากความทรงจำได้เลย นี่เกิดอะไรขึ้นกับฉันนะ สิ่งที่ฉันคิดอยู่นี่คือ...ความผิด แม้จะเป็นแค่ความคิด แต่มันเป็นก้าวแรกที่ฉันตั้งใจทำผิดศีลธรรม กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว!! ฉันกำลังเป็นคนเลว และอีกไม่ช้า ฉันคงโดนคนทั้งโลกประณามหากฉันไม่หยุดความคิดทุเรศๆ นั่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะทำยังไงดีล่ะ? ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย มีเพียงเสียงแหบๆ ของคน คนนั้นดังก้องอยู่ในหูเท่านั้น “สามีของเธอเดินทางไปทำธุรกิจ” “เธอบอกว่าสามีของเธอจะไม่อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์!!” “มันจะดีแค่ไหนนะ หากฉันเปลี่ยนสิ่งที่ได้ยินได้ เขาน่าจะไปซัก7ปี” ผมพยายามข่มใจให้รู้สึกเศร้าตาม แต่หัวใจของผมกลับเต้นระรัวเกินกว่าจะควบคุมได้ “คุณอยู่ที่ไหน?
รัชศกปีที่สิบ มันเป็นช่วงเวลาแสนสุขที่ลืมไม่ลง แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ครั้งหนึ่ง ข้าเคยเป็น ‘สาวงาม’ ที่ผู้คนทั้งเมืองหลงใหล เมืองหลวงกว้างใหญ่ใต้แผ่นฟ้าเดียว ข้าผู้มาก่อนกาล เดิมทีข้าคิดว่าเป็นแค่ความฝันหนึ่งตื่น แต่ที่ไหนได้ ทุกเหตุการณ์ที่ข้าพบเจอ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ความสุขที่ท่วมท้นอยู่ในใจ เป็นความทรงจำเดียวที่ทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อ...รอ...ใครบางคน
เมื่อสามีตะโกนใส่หน้า “ผมต้องการหย่ากับเธอ!! คนที่ผมรักเขากลับมาหาผมแล้ว” เมษาเซ็นจำใจชื่อบนใบหย่าพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลพรู เธอตัดสินใจเก็บงำความลับไว้กับตัว พร้อมกับจากไปโดยไม่ปริปากบอกคีรินเลยสักคำ ผ่านไป 5 ปี เด็กชายคนหนึ่งมาตามหาพ่อ... “ผมจะไปหาพ่อผม ปล่อยผมนะ!!” เสียงแผดก้องบริเวณหน้า ล็อบบี้ แม้แต่คีรินเองยังอดสนใจไม่ได้ เด็กชายคนหนึ่งถูก รปภ. รั้งตัวไว้ เขาดิ้นกระแด๋วๆ ตะโกนลั่น ผิวทั้งหน้าแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อผุดเต็มไปหน้า และเมื่อเด็กชายวิ่งตรงมาหาเขา “พ่อคร๊าฟฟฟฟฟ” คิรินเข่าอ่อน สัญชาตญาณบางอย่างเตือน เด็กชายตรงหน้าเขานี่ เป็นเลือดเนื้อส่วนหนึ่งของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์
เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่หยอก หากสามารถปราบพยศผู้ชายเจ้าอารมณ์ได้ ดานันจะเป็นอิสระจากข้อผูกมัดของบิดา ทว่า...ในความโชคร้าย มีความโชคดีแอบแฝงอยู่ ว่าที่สามีของเธอ เป็นบุตรชายผู้มั่งคั่งของตระกูลใหญ่ แต่เขาเพิ่งสูญเสียดวงตาไปจากอุบัติเหตุ ดานันต้องรองรับความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ จนกว่าจะเปลี่ยนความคิดของเขาได้ ครามไม่ได้พิกลพิการมาตั้งแต่กำเนิด เขามีหนทางรักษาได้ ขึ้นอยู่กับว่า...ดานันจะโน้มน้าวว่าที่สามีของเธอได้หรือเปล่า
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ" เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"
กรุงเทพฯ มหานคร ตอนเช้า ที่ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างลูกสะใภ้กับเพื่อนสาวของหล่อนที่อยู่ปลายสาย ทำให้ พ่อเลี้ยง ‘เพลิง’ ถึงกับชะงัก ต้องแอบฟังอย่างเสียมารยาท เพราะมันเหมือนเป็นการหยามเกียรติของลูกชายจนเขาทนไม่ได้
เพราะชาติก่อนคุณหมอสาวโง่เขลาเชื่อมั่นในความรัก จึงถูกวางยาพิษจนตาย ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเป็นสวีอี้หลิง บุตรสาวของท่านโหวซึ่งนางเองก็ถูกวางยาเช่นกัน การกลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้นางจะแก้ไขชะตาของคุณหนูที่น่าสงสารคนนี้ให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นให้ได้ สวีอี้หลิงคนนี้จะไม่คิดใส่ใจสามีที่ตนเองไม่ได้เต็มใจรับเป็นอันขาด ทว่าต่อให้ไม่สนใจ ถึงอย่างไรนางก็ต้องเป็นพระชายาของท่านอ๋องผู้มากความสามารถ ดังนั้นนางจะเป็นสตรีเรือนหลังที่เอาแต่จมทะเลน้ำตา และอ่อนแอไม่สู้คนไม่ได้! ต่อให้สามีไม่รักนางหรือชิงชังนางก็ช่าง นางเองก็มิได้ต้องการเขาเป็นสามีสักหน่อย แค่เพียงมอบหนังสือหย่าให้เท่านั้น สวีอี้หลิงก็พร้อมจากไปทันที ชีวิตสองชาติภพนางจะไม่ยอมให้ใครหลอกอีกแล้ว!
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"