‘ผู้หญิงของเขา’ สิทธิ์ที่ไม่คิดหยิบยื่นให้ใคร ไม่ได้มีไว้แลกหรือแจกแถมฟรี ทว่าหญิงสาวชาวไทยนามว่า รติรส กลับดิ้นรนหนีและปฏิเสธการรับสิทธิ์นี้อย่างสิ้นเยื่อขาดใจ เธอหนีไปพร้อมขโมยหัวใจของเขาไปทั้งดวง... เดนิม อิสมาอิล แทบคลั่ง... ความรักกับผลประโยชน์ตีกันจนยุ่งเหยิง แต่เมื่อกายปรารถนา การลงทัณฑ์อันแสนหวามจึงเริ่มต้นขึ้น “คุณมันเลว” เธอเค้นเสียงว่า ตาวาววับด้วยความโกรธเกลียด ดิ้นรนหนีมือหยาบหนาข้างนั้นสุดฤทธิ์ แต่สองมือถูกจับ ร่างกายถูกทาบทับครึ่งๆ มันทำให้รติรสทำอย่างใจคิดไม่ได้ เรียวปากเข้มกดยิ้ม ชายหนุ่มหาได้เอะใจกับความเกรี้ยวกราดนั้นไม่ ในหัวของเขาตอนนี้รับรู้แต่ความหอมกรุ่นจากร่างนุ่มเนียน มารยาสาไถยต่างๆ เขาไม่สนใจ เดนิมจะคิดเห็นเป็นอะไรไปได้ นอกเสียจากว่าลุงและหลานคู่นี้เต็มใจเดินทางมากับเขาเพื่อเสนอ... และเขากำลังสนองความต้องการของพวกเธออยู่นี่ยังไง “ธุรกิจ... มีแต่คำว่าได้กับเสีย คำว่าเลวของเธอมันใช้ไม่ได้หรอกคนสวย”
ความร้อนวูบๆ วาบๆ ลามเลียไปทั่วใบหน้า คล้ายดังว่าเลือดลมเดินผิดปกติ ทั้งที่ตอนนี้เจ้าของใบหน้านวลเนียนใสนั่งอยู่ในห้องที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ความรู้สึกแปลกๆ แบบอธิบายไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับร่างกายเลยสักครั้ง หากในยามนี้รติรสกำลังรู้สึกแบบนั้น และเธอเริ่มหงุดหงิดกับอาการแปลกของตัวเองเพราะมันกำลังทำให้เธอไม่มีสมาธิในการฟังรายละเอียดของใครต่อใครที่กำลังถกกันถึงนโยบายการส่งออกและนำเสนอแนวทางการลงทุนในตลาดการลงทุนแห่งใหม่นี้ หญิงสาวตวัดดวงตาคู่งามสานสบกับดวงตาคมกล้า อันเป็นต้นเหตุของที่มาของอาการแปลกประหลาดที่เธอกำลังเป็น เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ดวงตา
หวานวาวดุ อย่างจะบอกให้คนมองรู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจ และแทนที่คนมองจะรู้ เจ้าของดวงตาคมกล้ากลับยิ้มกลับมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ราวกับไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังโกรธกับการมองอย่างเสียมารยาทแบบนั้น
รติรสสะบัดหน้าพรืดใส่ อาการนั้นกลับอยู่ในสายตาของไพรัชที่หันมาเห็นเข้าพอดี
“เป็นอะไรไปรส”
“ปละ... เปล่าค่ะลุง”
ผู้เป็นลุงพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วหันไปสนใจกับการสนทนาที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น หญิงสาวถึงกับถอนใจยาวเบาๆ เอ็ดตัวเองในใจ ไม่ให้ทำอะไรที่จะเป็นการขายหน้าตัวเองและลุงอีก เพราะในงานนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับลุงไพรัชเท่านั้น
รอบๆ โต๊ะ ที่จัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยังมีเจ้าหน้าที่จากประเทศเกษตรกรรมหลายประเทศในแถบเอเชีย นักลงทุน นักส่งออก และเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากประเทศนั้นๆ ด้วย สำหรับประเทศไทย นอกจากไพรัชและรติรสก็ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐชื่อบัณฑูร และผู้ค้านักส่งออกอีกหลายรายเข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ที่ว่าด้วย เรื่องการส่งออกข้าวมายังประเทศในแถบตะวันออกกลาง
นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศเกษตรกรรม เมื่อประเทศในแถบนี้ต้องการนำเข้าสินค้าทางการเกษตรหลายอย่าง แต่ที่เป็นหัวใจสำคัญคือเรื่องข้าว และมีผลไม้แปรรูปอีกหลายชนิด การประชุมในคราวนี้ถือเป็นบันไดขั้นแรก หากว่าใครหรือประเทศไหนมีข้อเสนอที่ดีก็จะได้รับเลือกให้เป็นผู้ส่งสินค้ามายังกลุ่มประเทศนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของหลายประเทศในแถบตะวันออกกลางเข้าร่วมเช่นกัน อาทิ ตัวแทนจากซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับออมิเรตส์ ดูไบ ตุรกี อียิป และที่สำคัญคือ บันดัร ซึ่งเป็นประธานในการจัดการประชุมในครั้งนี้
บันดัร ประเทศน้องใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะแม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่มีธุรกิจที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำอย่างน้ำมันและแร่มีค่า บันดัรเป็นประเทศที่มีส่วนหนึ่งเป็นทะเลทราย และอีกด้านติดกับทะเล เมืองหลวงของบันดัรจึงเป็นเมืองท่าสำคัญในการขนถ่ายสินค้า รติรสพบว่าประเทศนี้เจริญมากๆ อาจจะเรียกได้ว่าดูไบแห่งที่สองกันเลยทีเดียว
รติรสละจากความคิดเมื่อเสียงทุ้มๆ ของประธานในที่ประชุมเอ่ยขึ้นทางหัวโต๊ะ ร่างสูงสง่าในชุดประจำชาติดูโดดเด่น ใบหน้าคมเข้มครึ้มเครา ศีรษะคลุมด้วยผ้าคลุมสีขาวและมีรัดเกล้าสีน้ำตาลเข้มสวมทับไว้อีกชั้น เรือนร่างใหญ่ภายใต้เสื้อดิชดาชาสีขาวคลุมทับด้วยบริชด์สีดำสนิท สาบเสื้อเป็นผ้าปักลายสีทอง ตรงแขนมีดิ้นทองเล็กๆ ยาวจรดข้อมือ ชีคเบนจามิน อิลยาส มูฮัมดาน ซาอิด ชีคหนุ่มรัชทายาทของบันดัร ซึ่งประเทศนี้ยังปกครองในแบบระบอบกษัตริย์ดังเช่นหลายประเทศในตะวันออกกลาง พอมองไปทางประธานในที่ประชุมแล้ว รติรสก็อดมองไปทางซ้ายมือไม่ได้ ร่างผึ่งผายของใครอีกคน เจ้าของดวงตาที่สร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้กับตัวเธอ ครั้งนี้หญิงสาวพบว่าเขาไม่ได้มองมาที่เธอ แต่กวาดตามองผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ขณะที่เขากำลังกล่าวต่อจากชีคเบนจามิน
จากข้อมูลที่เธอศึกษาก่อนเดินทางมาบันดัรบอกว่า ชายผู้นี้เป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของที่นี่ หญิงสาวลอบมองใบหน้าที่รกครึ้มด้วยหนวดและเครา เขาก็เหมือนชายชาวทะเลทรายคนอื่นๆ แต่งชุดคลุมยาวสีขาว ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆ กันออกไป เช่นในแถบอาหรับเหนือเรียกว่าดิชดาชา (dishdasha) ยูเออีเรียก กันดูร่า (Kandura) ส่วนในซาอุดีอาระเบียเรียก โต๊ป (Thobe) ส่วนที่บันดัรเรียกว่าดิชดาชาและเรียกเสื้อคลุมสีดำว่าบริชด์ นั่นเพราะแต่แรกเริ่มเดิมที ผู้สร้างหรือผู้สถาปนาประเทศนี้อพยพมาจากแถบอาหรับเหนือจึงยังยึดถือปฏิบัติและเรียกขานเสื้อผ้าอย่างที่เคยเรียก แม้นว่าบันดัรจะอยู่ต่ำลงมาทางอ่าวเปอร์เซีย มีผ้าคลุมศีรษะ คาดทับด้วยรัดเกล้า เผยให้เห็นเพียงใบหน้าและดวงตาคมกล้าคู่นั้น
และโดยไม่คาดฝัน ดวงตาคู่นั้นหันมาสบตากับเธออีกครั้ง รติรสหน้าร้อนวาบ เมื่อถูกจับได้ว่าเป็นฝ่ายแอบมองเขา แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก เวลานี้เขาเป็นผู้อภิปราย ผู้ฟังทุกคนก็ย่อมต้องจับจ้องไปที่คนพูดอยู่แล้ว ทว่า... ดวงตายิ้มๆ คู่นั้นสิ ที่มันทำให้เธอรู้สึกเสียหน้า และหงุดหงิดใจ ภาวนาให้การประชุมเสวนาครั้งนี้จบลงเร็วๆ เสียที
“ข้อเสนอของเราดูมีภาษีมากกว่าประเทศอื่น งานนี้เรามีลุ้นแล้วและเพื่อน” บัณฑูร รัฐมนตรีช่วยด้านการส่งเสริมการส่งออกพูดยิ้มๆ พร้อมตบไหล่ไพรัชเบาๆ อย่างสนิทสนม คนทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีมานาน การประชุมจบลงด้วยดี คราวนี้รอเพียงสัญญาณตอบรับจากประเทศโลกในแถบตะวันออกกลางว่าจะตัดสินใจเลือกนำเข้าสินค้าจากประเทศใด
ไพรัชยิ้มกว้าง เขาเองก็พอมองเห็นความสดใสในเส้นทางนี้ คุณภาพข้าวของไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดโลก ถึงแม้คู่แข่งอย่างเวียดนามจะตีคู่ขึ้นมาเรื่อยๆ ทว่าคุณภาพนั้นยังสู้ไทยไม่ได้
“ฉันก็หวังว่าเราจะได้รับข่าวดีในเร็ววันนี้”
“แน่นอนไพรัช นายเองก็เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ แล้วงานนี้เราไม่ได้ค้าขายแค่ข้าว หรือสินค้าทางการเกษตร แต่ยังมี อัญมณี กับพวกชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์อีก”
รติรสยืนสำรวมอยู่ห่างๆ พอควร ได้ยินการสนทนาแว่วๆ ระหว่างลุงของเธอกับบัณฑูร ขณะที่คนอื่นๆ ต่างทยอยกันกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงเย็นนี้ที่พระราชวังของชีคเบนจามิน หลังการประชุมเสวนาเสร็จสิ้น พวกเธอยังมีกำหนดพักอยู่ที่บันดัรอีกหลายวัน ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย รติรสตั้งใจว่าจะออกตระเวนเที่ยวรอบๆ เมืองนี้ให้หนำใจ ที่นี่สวยงามไม่แพ้ดูไบที่เคยเห็นทางทีวี หญิงสาวคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้ทำงานกับไพรัช ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของเธอเอง หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต ไพรัชรับเธอมาอุปการะ ตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยปีที่หนึ่ง พอเรียนจบได้ทำงานเป็นเลขาของลุงที่บริษัท ทำให้ไม่ต้องไปดิ้นรนหางานทำเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
กติกาคือ กอดได้แต่ห้ามรัก เมื่อหัวใจถลำรัก เธอควรฉีกกติกานั้นหรือถอยห่างจากกันดี “มนเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นที่ต้องได้รับการบำบัด” “ยังไง” สายตาคมไหวเหมือนจะยิ้มได้ ทำมนสิชาหน้าร้อนผ่าว ทั้งที่นั่งอยู่ในห้องแอร์ กลับเหมือนมีเปลวแดดมาลูบแก้มให้ร้อนวูบวาบ สีหน้าและลักษณะการเอียงคอมองอย่างใคร่รู้ของหญิงสาวชวนให้หนุ่มทั้งแท่ง เลือดร้อนฉ่าใคร่ลงมือสาธิตการบำบัดเสียเดี๋ยวนี้ “อย่าทำหน้าแบบนั้น” “แบบไหน” เธอนิ่วหน้า งงจัดจริงๆ ไม่ใช่การเสแสร้งมารยา กฤษฎิ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กวาดสายตายิ้มได้ ลูบไล้นวลแก้มละมุนที่เริ่มซับสีเรื่อ แล้ววกกลับมาสบตาคู่งาม “แบบที่กำลังมอง สนใจ ใคร่รู้ มันทำให้ผู้ชายเกิดอารมณ์ ไม่รู้หรือ” บ้าจริง! มนสิชาหน้าม้าน หลบตาวูบ เบี่ยงหน้าหนีจากใบหน้าคมเข้มอย่างรวดเร็ว ใจหวามไหว ทำลมหายใจติดขัด เสียงหัวเราะที่ดังจากลำคอหนาเบาๆ ยิ่งสร้างความอับอายแก่เธอ ตาคมหรี่หลุบทอดมองนวลแก้มปลั่ง เขารู้ว่าเธออายจริงๆ ไม่ใช่มารยาหญิงแบบผู้หญิงที่เคยเจอ แบบนี้แหละที่เขาสนใจ ขี้อายแต่อยากรู้ บางครั้งเข้าใจยากแต่...น่าเอาเป็นบ้า!
ความผิดที่เธอไม่ได้ก่อกลับต้องมาชดใช้ให้อสูรหนุ่มใจร้ายเช่นเขา ท่ามกลางความร้ายกาจบทรักอันเร่าร้อนที่เขามอบให้กลายเป็นกรงขังเหนี่ยวรั้งหัวใจเธอไว้กับเขาตลอดกาล “เธอคิดว่าความสาวของเธอมันมีค่ากับฉันงั้นเหรอปรางอินท์” ปรางอินท์ผงะห่างโดยอัตโนมัติ คำพูดเหยียดหยามและการดูแคลนในสายตาคมเหมือนกับมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจจนย่อยยับ เหลือทิ้งไว้เพียงแผลที่กำลังอักเสบ “จะบอกอะไรให้เอาบุญนะคนสวย ฉันแทบไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันคือเกมและการแก้แค้นที่หอมหวานว่ามั้ย อย่างน้อยเธอมันก็ยังดีกว่าผู้หญิงขายบริการอยู่หน่อยๆ หึหึ แม่สาวเวอจิ้นเธอคิดว่าจะเอาสิ่งนี้มาทดแทนสิ่งที่พี่เธอทำกับชีวิตพี่ชายของฉันได้รึยังไง” ประโยคท้ายๆ เสียงของชายหนุ่มดังลั่นขึ้นจนกลายเป็นตะคอกเสียงก้องห้อง ตาคมลุกโรจน์ราวกับไฟ “คนสารเลว ไอ้คนชั่วช้าสามานย์” หญิงสาวตะโกนสวนกลับเช่นเดียวกัน เธอกำลังนึกเสียใจทำไมคนดีๆ อย่างภาคิไนยจะต้องมาเจ็บตัว น่าจะเป็นผู้ชายตรงหน้านี่ต่างหากที่น่าจะตายๆ ไปซะ ภาคินเลิกคิ้วสูง เรียวปากเข้มหยักยิ้ม ยิ้มที่คนมองถึงกับเสียงสันหลังวาบด้วยความกลัวจนเผลอถอยหลังออกห่างใบหน้าที่โน้มอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งศอก “อย่าปากเก่งให้มากนัก รู้มั้ยว่าฉันมีวิธีจัดการกับคนปากเก่งยังไงบ้าง รึว่าอยากจะลอง ปรางอินท์ฉันบอกให้ทำอะไรเธอก็ต้องทำ เพราะเธอคือเหยื่อที่ฉันตะครุบมาได้แทนพี่สาวของเธอ” “ไม่ ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น คอยดูนะมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะหนีไปจากที่นี่” “ฮ่าๆๆ เอาเลยคนสวย แต่ขอเตือนนิดนะ ที่นี่กว้างเป็นพันไร่ ถ้าคิดว่าจะพ้นสายตาคนงานของฉันไปได้ก็เอา แล้วหนุ่มๆ ที่นี่ล้วนแล้วแต่กลัดมันกันทั้งนั้น มันออกจะห่างไกลความเจริญไปสักหน่อยน่ะนะ นานๆ พวกมันจึงจะได้เข้าเมืองไปหาสาวๆ มากอดแก้หนาวระบายอารมณ์ดิบสักที อ้อ...ที่สำคัญ เมื่อไหร่ที่เธอก้าวพ้นไปจากที่นี่ วันนั้นพี่สาวของเธอจะต้องมาอยู่ที่นี่แทน ไปสิไปเล้ย”
เรือคาสิโนลำงามได้เข้ามาเปิดให้บริการยังประเทศไทยเป็นครั้งแรก เจ้าเของเรืออย่าง อัลแบร์โต วินเซนโซ อัจไบร์จาร์ ไม่เคยคิดเลยว่าจิ้งจอกร้ายอย่างเขาจะต้องมาตกบ่วงเสน่หาของสาวน้อยสาวไทยอย่างสิตาพร เพียงได้เห็นเธอครั้งแรก ชายหนุ่มก็ปรารถนาสิตาพรจนยากจะหักห้าม เธอมากับน้าสาวและน้าเขยผู้ติดการพนัน เมื่อน้าสาวของเธอติดหนี้เขาหลายล้าน ชายหนุ่มจึงยื่นข้อเสนอให้ยกสิตาพรให้เขาเพื่อแลกกับหนี้ในครั้งนี้ ในวันที่เรือจะออกจากประเทศไทย สิตาพรก็กลายเป็นสมบัติบรรณาการของเจ้าของเรือหนุ่ม “เคยดูสารคดีสัตว์โลกน่ารักไหมน้ำหวาน เนื้อที่เข้าปากเสือ อ้อยที่เข้าปากช้าง เธอคิดว่ามันจะยอมคายง่ายๆ ไหมแม่สาวเวอจิ้น” สิตาพรแก้มแดงแช้ด คำเรียกขานของเขาสร้างความร้อนผ่าวทั่วใบหน้า ตาคมดุเอาจริงทำให้สาวน้อยใจสั่นทั้งที่พยายามบอกตัวเองว่าห้ามกลัวเขา ห้ามทำให้เขารู้ว่าเธอหวาดหวั่นแค่ไหน “อย่ามาเรียกหนูแบบนี้นะ คนแก่โรคจิต ถามจริงเถอะโลกนี้ไม่มีใครเอาแล้วหรือไงถึงได้มาตามตอแยหนูแบบนี้” สาวน้อยแหวเข้าให้ คำพูดเธอเรียกรอยยิ้มขำจากปากเข้ม ยิ้มที่เกิดที่ปากและส่งไม่ถึงดวงตาคม
เมื่อรักเข้ามาเคาะประตูหัวใจหนุ่มหล่อเจ้าของสายการบินคนดังให้มันรุ่มร้อนจนทนไม่ไหว เขายอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อให้ได้ตัวเธอมา สาวใสไร้เดียงสากลับหวาดผวาเมื่อเจอความต้องการแบบชายหญิงเข้า ชายหนุ่มจึงต้องหยุดตัวเองแล้วค่อยๆ เริ่มบทเรียนสอนรัก ที่ทั้งหวานและเร่าร้อนมากขึ้นตามลำดับ เธอกำลังจะตาย... ปัทมณฑ์บอกตัวเองในความพร่างพร่า ความรัญจวนที่เขามอบให้มันมากมายจนทรมานไปหมด เรือนกายสาวในวัยแรกสวยบิดเร้า บางครั้งดิ้นรน สองมือเรียวสอดแทรกเข้าไปในเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวแค่ครึ่งนิ้ว เผลอกอบกำดึงทึ้งไปก็หลายหนเพื่อระบายอารมณ์หวาม เธอทรมานเหมือนจะตาย แต่ถ้าเขาหยุดเธอคงเหมือนตายทั้งเป็น อารมณ์ลึกถูกปลุกขึ้นโดยชายหนุ่ม และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะหยุดมันลงได้ “พี่ไรอัน...ลูกปัด...ทนไม่ไหว” “ต้องได้สิคนเก่ง...พี่บอกแล้ว ถึงเธอจะร้องลั่นจนบ้านแตกพี่ก็ไม่มีทางหยุดอีกต่อไป ปัทมณฑ์...” ไรอันตอบเสียงขาดห้วงไม่แพ้กัน และแทนการหยุดหรือผ่อนปรน มือหนากลับยิ่งเคล้าคลึงร่างบางหนักหน่วงมากขึ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เขาผลักใสเธอออกจากชีวิตอย่างร้ายกาจ ไม่ติดต่อ ไม่สนใจ ราวเธอไม่เคยมีตัวตน ปล่อยให้เธอเจ็บปวด อ้างว้างและแสนเดียวดาย กระทั่งวันนี้...วันที่ร่างกายและหัวใจเข้มแข็ง เขากลับเข้ามาเอ่ยอ้างว่า เธอคือ ‘สมบัติส่วนตัว’ ********* “คุณเคยรู้ตัวเองไหมคะว่าเป็นคนที่...เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ หน้าไม่อายที่สุดในโลก” คมคายเลิกคิ้วตาเปล่งประกายพลางอมยิ้มยั่วเย้า เธอมองค้อนแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น เขาจึงไล้ปลายจมูกบนแก้มนุ่มเล่น “อีกเรื่องที่เธอควรรู้” ฝ่ามือหนาเลื่อนลูบแผ่นท้องเรียบ...แผ่วเบา กายแกร่งขยับอีกครั้ง แผ่นหลังเล็กแนบแผงอกกว้าง มัลลิกากานต์หันกลับมามอง “ฉันเป็นคนหวงของมาก” “...” “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าทำให้ฉันต้องรู้สึกแบบนั้น” ปากได้รูปก็เคลื่อนเข้าประกบจูบปากอิ่ม บดเบียดละเลียดลิ้มความหวานหอมที่ใจโหยหิวไม่สร่าง
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้