ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มเอนหลังพิงเก้าอี้ในร้านกาแฟของโรงแรมชื่อดัง แม้จะอยู่ในมุมส่วนตัวแต่กระนั้นเขาก็ยังตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆ ที่แอบมองและหวังว่าเขาจะเงยหน้าจากจอสี่เหลี่ยมขนาดฝ่ามือ ไม่กี่นาทีต่อมาชายหนุ่มร่างสูงอายุน้อยกว่าก็เดินเข้ามาใกล้แล้วแตะไหล่เบาๆ เป็นเชิงทักทาย เขาจึงหยุดความสนใจสิ่งตรงหน้า ถอดแว่นตาสีชาออกเผยดวงตาสีเทาเข้มแล้วยิ้มให้น้องชาย
“ไหนลูกน้องผมบอกว่าพี่มาพักผ่อน นี่แค่นั่งรอผมไม่กี่นาทีก็ยังทำงานเลย”
ชายหนุ่มวัยสามสิบเก้าหัวเราะในลำคอเบาๆ ท่าทางอ่อนโยนผิดกับน้องชายที่ดูขี้เล่นอารมณ์ดี “ก็นี่ไง กำลังพักผ่อนอยู่”
“ผมว่าพี่แค่เปลี่ยนที่ทำงานมากกว่า” น้องชายไหวไหล่น้อยๆ แล้วมองไปในถ้วยกาแฟที่ว่างเปล่า “ไปกินข้าวที่บ้านผมดีกว่า จริงๆ เลยนะ บ้านผมก็หลังใหญ่ไม่ต้องมานอนโรงแรมก็ได้ หรือจะไปนอน บ้านฟรานเชสโก้ ก็ได้”
“อย่าให้ฉันต้องทำให้พวกนายสองคนต้องลำบากเลย” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนขยับเสื้อให้เข้าที่แล้วเดินตามน้องชายออกมา
ราฟาเอล ส่ายหน้าระอาใจแต่สายตาของเขาก็ยังสังเกตเห็นสาวๆ มองพวกเขาทั้งสองคนกันเรียกว่าคอแทบเคล็ด แต่เป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกดีแต่เดี๋ยวนี้เขาเฉยชากับเรื่องแบบนี้เสียแล้ว อาจเพราะตั้งแต่แต่งงานจนมีลูกชายตัวน้อย มันก็ทำให้เขาละทิ้งนิสัยคาสโนวาไปหมดสิ้น แต่กระนั้นเขาก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงภาพชายหนุ่มสามพี่น้อง ราฟาเอล,ฟรานเชสโก้และอันโตนิโอ แห่งตระกูล ‘ซิวีลิอาโน่’ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียศตวรรษที่ 21 แห่งอิตาลี
“ลูกชายพี่อยู่กับจอร์จี้ลูกชายผม ผมว่าพี่น่าจะอยู่เมืองไทยนานๆ หรือไม่ก็ให้อลองโซอยู่กับผมสักระยะก็ได้ เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น”
ขณะที่มือใหญ่ผลักบานประตูของร้านกาแฟ ร่างเล็กๆ บอบบางก็ยืนมือผลักเข้ามาพร้อมกัน เธอเสียหลักเล็กน้อยแต่ทรงตัวได้ เอกสารหอบใหญ่ในมือเกือบหล่นหลุดมือแต่โชคดีที่ชายหนุ่มรวดเร็วพอจะช่วยประคองไว้ก่อนที่จะหล่นลงมา
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ เธอยิ้มให้เขานิดหนึ่งแล้วรีบหอบเอกสารเดินเข้าไปด้านใน
อันโตนิโอเหลียวมองจนเห็นว่าหญิงสาวแปลกหน้าในชุดแสนเชย กระโปรงยาวเลยเข่ากับรองเท้าส้นเตี้ยเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านซึ่งมีชายสูงวัยท่าทางคล้ายอาจารย์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“รู้จักเหรอ” ราฟาเอลเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่ชายหยุดเดิน เขามองตามสายตาของพี่ชาย หญิงสาวที่มีบุคลิก ‘นอกสายตา’
อันโตนิโอไหวไหล่แล้วเดินไปแตะไหล่น้องชายเบาๆ แทนคำตอบว่าไม่มีอะไร เขาอยู่กรุงเทพฯ แค่ไม่กี่วัน จริงๆ เขาแค่มาตรวจสอบและเป็นหูเป็นตาแทนผู้เป็นบิดา ลูกชายคนกลางและคนเล็กแต่งงานย้ายออกมามีครอบครองของตัวเองเป็นอยู่อย่างไร แม้บิดาของเขาจะไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลูกๆ แต่ด้วยความเป็นพ่อก็อดเป็นกังวลไม่ได้
อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ หนุ่มใหญ่วัย 39 ปีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เด็กวัยสิบขวบควรจะร่าเริงสดใสแต่สำหรับ อลองโซ ลูกชายคนเดียวของเขากลับนิ่งเงียบแม้กระทั้งผู้เป็นพ่ออย่างเขา
สามปีแล้วที่เป็นอย่างนี้นับตั้งแต่วันที่ภรรยาของเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์และในรถคันนั้นมีอลองโซอยู่ด้วย ลูกชายวัยเจ็ดขวบบาดเจ็บสาหัสต้องอยู่ห้องไอซียูนานนับสัปดาห์จึงพ้นขีดอันตรายแต่เมื่ออลองโซฟื้นขึ้นเขากลับกลายเป็นคนไม่พูดไม่จาไม่เล่นซนตามประสาเด็ก เขาพยายามรักษาทุกวิถีทาง หมอที่ว่าเก่งหรือค่ารักษาแพงแค่ไหนเขาก็พาลูกชายไปรับการรักษา แต่ทุกรายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลกระทบจิตใจของลูกชายอย่างรุนแรงจนกลายเป็นคนเก็บตัวไม่พูดเช่นนั้น ชายหนุ่มฝืนยิ้มเศร้าให้โชคชะตาตัวเอง ขอความเศร้าทุกข์ระทมมารวมที่ตัวเขาเขาก็ยอมได้ เขายอมทำได้ทุกอย่างเพื่อได้ลูกชายที่น่ารักร่าเริงคนเดิมกลับคืนมา.