“หมี่ขาว” สาววิศวะที่โสดขึ้นดอยเป็นปีที่สาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนนั้น แต่ทว่าเพราะคำท้าที่รับปากเพื่อนด้วยความคึกคะนอง ทำให้เธอตกปากรับคำชวนของ “เก้าอี้” ตัวละครลับของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งวันนี้เขากลายเป็นพี่ปีสี่ ผูดผ้าคาด SOTUS สีแดง และวิ่งถือธงเกียร์นำขึ้นดอย เพียงเพราะเขาเดินมาทักและชวนเธอด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ”
ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 1 สมัยที่การสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาไม่ได้แบ่งย่อยจนปวดหัวแบบนี้ เด็กม.ปลายส่วนใหญ่จะเลือกหาที่เรียนพิเศษเพื่อติวสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่ไม่มาเรียนและเข้าแคมป์ติวเข้ม หรือเรียนพิเศษเข้มข้นตอนเย็น เป็นเช่นนี้เหมือนกับวงจรอุบาทว์ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นเสียที แต่หมี่ขาวไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น
จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีในโชคร้ายหรือเรื่องร้ายในโชคดีกันนะ
เพราะที่บ้านของเธอมีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ได้รับเงินทุนการศึกษาแบบเต็มก็ยังบอกไม่ได้ว่าสบายจนสามารถเรียนพิเศษได้ ทุนการศึกษาที่ได้ยังมีเงื่อนไขอยู่ว่าห้าม กู้เงินเรียน&;
แน่ล่ะ...สำหรับเด็กที่มีฐานะปานกลางมาจนถึงยากจนล้วนต้องได้ยินเรื่องการกู้เงินเรียนจากรัฐบาล บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี เพื่อนของเธอหลายคนได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) มีทั้งที่บ้านฐานะยากจนจริงๆ และบ้างก็กู้มาเพื่อใช้จ่ายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผ่อนโทรศัพท์มือถือ ซื้อของใช้ จ่ายค่าเรียนพิเศษ
โชคดีหน่อยที่เธอได้เรียนเป็นหลักสูตรพิเศษ แม้ว่าค่าเทอมจะแพงกว่าหลักสูตรทั่วไป แต่เพราะเธอได้ทุนเต็มจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เนื้อหาที่เรียนจะเน้นหนักกว่าห้องเรียนอื่นและสุดท้ายยังสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนห้องอื่นตั้งหนึ่งเทอม
ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบของนักเรียนห้องเรียนพิเศษ
หลักสูตรที่ว่านี้จะเน้นหนักไปทางกิจกรรม ทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมนอกเวลา รวมไปถึงค่ายโอลิมปิกวิชาการของเขตภาคเหนืออีกด้วย
ค่ายโอลิมปิกวิชาการเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัส คุณจะได้พบเจอทั้งรุ่นพี่มหา’ลัยหนุ่มหล่อขาวตี๋ สาวสวยหมวยอึ๋มหรือคนอ้วนเตี้ยล่ำ ผอมกะหร่องเหมือนปลาแห้ง แม้กระทั่งตัวใหญ่ยักษ์แต่น่ารักใจดี
สิ่งที่พลาดไม่ได้ในชีวิตมอปลายคือค่ายโอลิมปิกวิชาการเฉพาะสาขา ซึ่งจำลองชีวิตการเรียนหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย การแข่งขันระหว่างโรงเรียนต่างๆ ในภาคเหนือ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางการแข่งขันก็ยังมีมิตรภาพเกิดขึ้น ยามระลึกถึงเมื่อไรก็ยังคงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกดีๆ บางครั้งอาจทำให้พบเจอคนที่คุณปิ๊ง หรือแม้แต่อาจารย์ที่น่ารักซึ่งในอนาคตอาจจะได้สอนคุณในระดับอุดมศึกษา
หากคุณสามารถผ่านไปยังค่ายสองหรือค่ายสามได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นใบเบิกทางชั้นดีสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังต้องการเรียนต่อในสาขาที่สนใจอีกด้วย
ในช่วงเทอมแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนร่วมห้องรวมทั้งหมี่ขาวเองก็เริ่มส่งใบสมัครในสาขาวิชาที่สนใจตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมแฟ้มสะสมผลงานเพื่อหวังให้ผ่านการคัดเลือกแบบรับตรง
แน่นอนว่าสำหรับเด็กที่ผ่านค่ายโอลิมปิกวิชาการ หรือเป็นเด็กที่เรียนดีก็จะมีข้อได้เปรียบตรงนี้อยู่
ยื่นไปที่ไหนก็จะผ่านไปยังรอบสัมภาษณ์ตามเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยต่างๆ กำหนด แต่เด็กภาคเหนือจะทราบกันดีว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเด็ก ม.6 ต้องผ่านการสอบสุดหินที่เรียกว่า ‘สอบโควตา’ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนบางคนในห้องเรียนถึงหายไปเพื่อติวเข้ม หรือตั้งใจอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน
เพื่อนในห้องของหมี่ขาวครึ่งหนึ่งเก็บตัวติวหนังสือเข้ม สามในสิบมีที่เรียนแล้ว และที่เหลือคือเด็กขี้เกียจซึ่งมักจะเล่นกีฬาหรือหาอะไรทำในช่วงที่ทุกคนกดดันด้วยความเครียด
แน่นอนว่าเพื่อนในกลุ่มของเธออยู่ใน 50% ที่ติวเข้ม ส่วนเธอนั้นกลายเป็นแกะดำของกลุ่มไปแล้ว
เพื่อนคนแรกรู้ตัวว่าจะเรียนแพทย์ตั้งแต่ ม.4 ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเรียนมาก ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วก็เถอะ เพื่อนคนนี้ชื่อ ‘ปลา’ ด้วยความที่ครอบครัวทำมาค้าขาย พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่ หมี่ขาวจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งปลาอยากเก่งภาษาอังกฤษ เธอซื้อแผ่นเกม Assasin’s Creed มาเล่น เปิดโหมดเสียงภาษาอังกฤษและซับภาษาอังกฤษ ฝึกอยู่พักหนึ่งปลาก็เริ่มคล่องภาษาอังกฤษ และเริ่มเพิ่มระดับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือนอกเวลาของ Oxford
หมี่ขาวมักจะไปนอนบ้านปลาและกินข้าวฟรีอยู่เป็นประจำ อาศัยช่วงที่ปลาตั้งใจอ่านหนังสือเล่นเกม Pharaoh เธอจะอ่านหนังสือเรียนบ้างเมื่อเห็นว่าปลาเพื่อนของเธอตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปจนรู้สึกละอาย
ตอนสมัครสอบโควตา มหาวิทยาลัย C กำหนดให้เลือกได้สองอันดับ ปลาเลือกอย่างมั่นใจ
1.คณะแพทยศาสตร์
2.คณะทันตแพทยศาสตร์
หมี่ขาวคอตก
ฉันขี้เกียจแบบนี้ ไม่อยากเรียนหมอ ไม่เอาสายการแพทย์ ไม่อยากเป็นครู
แล้วเธอเกิดความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเธออยากแอดมิชชั่นเรียนฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ