“หมี่ขาว” สาววิศวะที่โสดขึ้นดอยเป็นปีที่สาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนนั้น แต่ทว่าเพราะคำท้าที่รับปากเพื่อนด้วยความคึกคะนอง ทำให้เธอตกปากรับคำชวนของ “เก้าอี้” ตัวละครลับของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งวันนี้เขากลายเป็นพี่ปีสี่ ผูดผ้าคาด SOTUS สีแดง และวิ่งถือธงเกียร์นำขึ้นดอย เพียงเพราะเขาเดินมาทักและชวนเธอด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ”
ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 1 สมัยที่การสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาไม่ได้แบ่งย่อยจนปวดหัวแบบนี้ เด็กม.ปลายส่วนใหญ่จะเลือกหาที่เรียนพิเศษเพื่อติวสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่ไม่มาเรียนและเข้าแคมป์ติวเข้ม หรือเรียนพิเศษเข้มข้นตอนเย็น เป็นเช่นนี้เหมือนกับวงจรอุบาทว์ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นเสียที แต่หมี่ขาวไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น
จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีในโชคร้ายหรือเรื่องร้ายในโชคดีกันนะ
เพราะที่บ้านของเธอมีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ได้รับเงินทุนการศึกษาแบบเต็มก็ยังบอกไม่ได้ว่าสบายจนสามารถเรียนพิเศษได้ ทุนการศึกษาที่ได้ยังมีเงื่อนไขอยู่ว่าห้าม กู้เงินเรียน&;
แน่ล่ะ...สำหรับเด็กที่มีฐานะปานกลางมาจนถึงยากจนล้วนต้องได้ยินเรื่องการกู้เงินเรียนจากรัฐบาล บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี เพื่อนของเธอหลายคนได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) มีทั้งที่บ้านฐานะยากจนจริงๆ และบ้างก็กู้มาเพื่อใช้จ่ายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผ่อนโทรศัพท์มือถือ ซื้อของใช้ จ่ายค่าเรียนพิเศษ
โชคดีหน่อยที่เธอได้เรียนเป็นหลักสูตรพิเศษ แม้ว่าค่าเทอมจะแพงกว่าหลักสูตรทั่วไป แต่เพราะเธอได้ทุนเต็มจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เนื้อหาที่เรียนจะเน้นหนักกว่าห้องเรียนอื่นและสุดท้ายยังสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนห้องอื่นตั้งหนึ่งเทอม
ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบของนักเรียนห้องเรียนพิเศษ
หลักสูตรที่ว่านี้จะเน้นหนักไปทางกิจกรรม ทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมนอกเวลา รวมไปถึงค่ายโอลิมปิกวิชาการของเขตภาคเหนืออีกด้วย
ค่ายโอลิมปิกวิชาการเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัส คุณจะได้พบเจอทั้งรุ่นพี่มหา’ลัยหนุ่มหล่อขาวตี๋ สาวสวยหมวยอึ๋มหรือคนอ้วนเตี้ยล่ำ ผอมกะหร่องเหมือนปลาแห้ง แม้กระทั่งตัวใหญ่ยักษ์แต่น่ารักใจดี
สิ่งที่พลาดไม่ได้ในชีวิตมอปลายคือค่ายโอลิมปิกวิชาการเฉพาะสาขา ซึ่งจำลองชีวิตการเรียนหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย การแข่งขันระหว่างโรงเรียนต่างๆ ในภาคเหนือ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางการแข่งขันก็ยังมีมิตรภาพเกิดขึ้น ยามระลึกถึงเมื่อไรก็ยังคงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกดีๆ บางครั้งอาจทำให้พบเจอคนที่คุณปิ๊ง หรือแม้แต่อาจารย์ที่น่ารักซึ่งในอนาคตอาจจะได้สอนคุณในระดับอุดมศึกษา
หากคุณสามารถผ่านไปยังค่ายสองหรือค่ายสามได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นใบเบิกทางชั้นดีสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังต้องการเรียนต่อในสาขาที่สนใจอีกด้วย
ในช่วงเทอมแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนร่วมห้องรวมทั้งหมี่ขาวเองก็เริ่มส่งใบสมัครในสาขาวิชาที่สนใจตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมแฟ้มสะสมผลงานเพื่อหวังให้ผ่านการคัดเลือกแบบรับตรง
แน่นอนว่าสำหรับเด็กที่ผ่านค่ายโอลิมปิกวิชาการ หรือเป็นเด็กที่เรียนดีก็จะมีข้อได้เปรียบตรงนี้อยู่
ยื่นไปที่ไหนก็จะผ่านไปยังรอบสัมภาษณ์ตามเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยต่างๆ กำหนด แต่เด็กภาคเหนือจะทราบกันดีว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเด็ก ม.6 ต้องผ่านการสอบสุดหินที่เรียกว่า ‘สอบโควตา’ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนบางคนในห้องเรียนถึงหายไปเพื่อติวเข้ม หรือตั้งใจอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน
เพื่อนในห้องของหมี่ขาวครึ่งหนึ่งเก็บตัวติวหนังสือเข้ม สามในสิบมีที่เรียนแล้ว และที่เหลือคือเด็กขี้เกียจซึ่งมักจะเล่นกีฬาหรือหาอะไรทำในช่วงที่ทุกคนกดดันด้วยความเครียด
แน่นอนว่าเพื่อนในกลุ่มของเธออยู่ใน 50% ที่ติวเข้ม ส่วนเธอนั้นกลายเป็นแกะดำของกลุ่มไปแล้ว
เพื่อนคนแรกรู้ตัวว่าจะเรียนแพทย์ตั้งแต่ ม.4 ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเรียนมาก ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วก็เถอะ เพื่อนคนนี้ชื่อ ‘ปลา’ ด้วยความที่ครอบครัวทำมาค้าขาย พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่ หมี่ขาวจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งปลาอยากเก่งภาษาอังกฤษ เธอซื้อแผ่นเกม Assasin’s Creed มาเล่น เปิดโหมดเสียงภาษาอังกฤษและซับภาษาอังกฤษ ฝึกอยู่พักหนึ่งปลาก็เริ่มคล่องภาษาอังกฤษ และเริ่มเพิ่มระดับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือนอกเวลาของ Oxford
หมี่ขาวมักจะไปนอนบ้านปลาและกินข้าวฟรีอยู่เป็นประจำ อาศัยช่วงที่ปลาตั้งใจอ่านหนังสือเล่นเกม Pharaoh เธอจะอ่านหนังสือเรียนบ้างเมื่อเห็นว่าปลาเพื่อนของเธอตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปจนรู้สึกละอาย
ตอนสมัครสอบโควตา มหาวิทยาลัย C กำหนดให้เลือกได้สองอันดับ ปลาเลือกอย่างมั่นใจ
1.คณะแพทยศาสตร์
2.คณะทันตแพทยศาสตร์
หมี่ขาวคอตก
ฉันขี้เกียจแบบนี้ ไม่อยากเรียนหมอ ไม่เอาสายการแพทย์ ไม่อยากเป็นครู
แล้วเธอเกิดความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเธออยากแอดมิชชั่นเรียนฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ
เขาแอ๊บเป็นเด็กมหาลัยรอบที่ห้าก็ถูกผู้หญิงมอมเหล้าแถมใส่ยาปลุกเซ็กส์เอาไว้ ทำเอายอดมนุษย์ที่อายุยืนกว่าชาวบ้านต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับหอพักเพราะกลัวว่าจะไปเผลอกัดใครเข้า แต่คน(ครึ่งผี)หรือจะสู้ลิขิตฟ้า ระหว่างเดินเข้าซอยมืดดันบังเอิญได้กลิ่นหอมเหมือนขนมหวานลอยมาแตะจมูก นาทีนั้นสัญชาตญาณดิบก็พ่ายแพ้ให้กับของหวาน แวมไพร์เก๋าประสบการณ์อย่างเขาก็กลายร่างเป็นหมาเห็นกระดูก งับ...ของหวานนั้นโดยไม่รู้เลยว่าได้เผลอทิ้ง(พิษ)เอาไว้กับเธอ
คืนก่อนขึ้นดอยบรรดานายช่างต้องมีปาร์ตี้สังสรรค์กันบ้าง แต่เธอดื่มเกินลิมิตไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับมีร่างของผู้ชายคนเดิมที่เคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนนอนอยู่ข้างๆ
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน