เป็นเรื่องราวความรักของชายรักชาย ที่มีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก ความรักในมุมของการเเอบรัก
เป็นเรื่องราวความรักของชายรักชาย ที่มีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก ความรักในมุมของการเเอบรัก
ณ. คฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงเทพ
"พ่อ....ทำไมหนึ่งต้องไปที่นั่นด้วย? "นี่คือประโยคคำถามที่ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่งเอ่ยถามผู้เป็นพ่อขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจอย่างมาก
"แก...ต้องไปอยู่ที่นั่น ฉันติดต่อกับมหาลัยที่นู่นให้แกเรียบร้อยแล้ว"คนเป็นพ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
"แต่หนึ่งอยากเรียนต่อที่นี่ ทำไมพ่อต้องบังคับหนึ่งด้วย....ไปอยู่ที่ไหน แล้วให้หนึ่งไปอยู่กับใครก็ไม่รู้"
"แก..ต้องไปที่นั่น....นี่คือคำสั่ง"พ่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักเเน่
"พ่อหนึ่งดูแลตัวเองได้...ไม่จำเป็นต้องมีใครค่อยดูแล......หนึ่งโตแล้วนะพ่อ.....หนึ่งอยากอยู่ที่นี่.....คุณแม่ช่วยพูดกับพ่อให้หนึ่งบ้างสิ"
"เชื่อที่พ่อเค้าสั่งเถอะ....น้องหนึ่งแม่อดห่วงปล่อยให้หนึ่งอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ....แค่สี่ปีเองถือว่าเเม่ขอนะน้องหนึ่ง" ผู้เป็นแม่พูดหว่านล้อมให้บุตรชายคนเดียวของเธอยอมทำตาม
"ก็ได้ครับ...แต่ผมขอเหตุผมได้ไหมคุณพ่อ ว่าทำไมผมต้องไปอยู่ที่อื่น คุณแม่...ผมไม่อยากไปเลย"ผู้เป็นลูกหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นแม่แต่คำตอบกับเป็นเหมือนผู้เป็นพ่อพูดไว้ก่อนหน้าแล้วทุกอย่าง
"น้องหนึ่ง...ฟังแม่นะครับที่พ่อกับแม่ส่งหนึ่งไปอยู่ที่อื่นนั่นมันก็เพื่อความปลอดภัยของหนึ่งนะลูกไปอยู่กับเพื่อนพ่อก็จะมีคนค่อยดูเเล"ผู้เป็นแม่พูดอธิบายให้ลูกชายหัวเเก้วหัวแหวนของเธอฟัง
"แม่บอกหนึ่งได้ไหมว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นแล้ว...ความปลอดภัยที่ว่านี่คืออะไร หนึ่งไม่เข้าใจ แล้วให้ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้หนึ่งดูแลตัวเองได้นะเเม่"หนึ่งพูดออกมาปนเสียงเศร้าไม่เข้าใจในความหมายของมารดา แต่ยอมรับให้กับการตัดสินใจของพ่อกับแม่
"เพื่อนคุณพ่อนะน้องหนึ่ง อยู่ต่างจังหวัด ลูกก็เคยเจอคุณอาแล้ว คุณอา...ชาติชาย"ผู้เป็นแม่พูดขึ้น
"แล้วจะให้หนึ่งไปเมื่อไหร่ครับ"น้ำหนึ่งถามผู้เป็นแม่
"ก่อนมหาลัยเปิด น้องหนึ่งต้องเข้าใจพ่อกับแม่นะลูกที่พ่อกับเเม่ทำไปก็เพื่อลูก ตอนนี้ลูกก็หน้าจะรู้ว่าบริษัทของเรากำลังมีปัญหาพ่อต้องไปติดต่อกับบริษัทใหญ่ที่ต่างประเทศหรือถ้าเครีสได้พ่ออาจต้องบริหารที่นู่น แม่ต้องตามพ่อไปด้วยหนึ่งเข้าใจนะลูก"แม่พูดขึ้นอีก
"หนึ่งเข้าใจครับ แต่พ่อกับแม่ต้องส่งข่าวให้หนึ่งตลอดด้วยนะครับหนึ่งเป็นห่วง"
"จ๊ะน้องหนึ่งของแม่ แม่รักลูกมากนะ"
"หนึ่งก็รักแม่ครับ"
"แล้วพ่อละหนึ่งไม่รักแล้วหรอ"ผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงงอลงอล
"รักสิครับ"น้ำหนึ่งพูดแล้วเดินเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อและเเม่ไว้เเน่ แล้วร้องไห้ออกมา
"ไม่เอาสิคนเก่งของแม่ ไม่ร้องนะ โตแล้วขี้เเหย่ไปได้เดี๋ยวไม่สวย .......เฮ้ย.....หล่อนะ"ผู้เป็นเเม่พูดเล่นขึ้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าลูกชายคนเดียวเป็นยังไงรสนิยมแบบไหน พร้อมยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น
"งั้นไปพักเถอะลูกกลับมาเหนื่อยๆแม่จะไปดูแม่นิ่มในครัวสะหน่อย"
"ครับ"น้ำหนึ่งหอมแก้มผู้เป็นแม่และพ่อเสร็จก็เดินขึ้นบรรไดไปยังห้องนอนสีหวานของตัวเองด้วยอาการเบื่อหน่ายแต่ก็ต้องทำตามผู้เป็นพ่ออย่างขัดไม่ได้ เขาก็คือผู้ชายนะทำไมต้องทำเหมือนไม่ไช่ด้วยเขาสามารถดูแลตัวเองได้แต่ทำไมต้องมีคนค่อยดูแลตลอดแต่ก็ได้และได้เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ
น้ำหนึ่งก็เคยได้ยินเกี่ยวกับบริษัทพ่อของตนมาบ้างแล้วว่าเป็นยังไง ปกติพ่อเเม่ก็ต้องเดินทางไปมาตลอดอยู่แล้ว แต่มาคราวนี้อาจต้องอยู่หรือย้ายไปที่นั่น พ่อกับแม่ก็เลยเป็นห่วงผู้เป็นลูกเลยฝากฝั่งเพือนรักไว้ให้ค่อยดูแล
ลืมแนะนำตัวไปเลยผมชื่อ น้ำหนึ่ง รูปร่างหน้าตาก็พอประมาณนึงแต่ผมค่อนข้างตัวเล็กสูงแค่ 160 เอง น้ำหนักก็แค่ 49 กิโล
ผิวขาวอมชมพูเหมือนผิวเด็ก เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านผมพึ่งจะอายุ 18 ไม่กี่วันเองครับ ผมนิสัยดีสุดๆไปเลยกัฟ ไม่ต้องถามนะครับว่าผมเพศไหน ผมก็เเค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่อยากมีความรักดีๆกับเขาบ้างผมกำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตมหาลัยที่ผมฝันอยากจะเรียนเเต่ความฝันนั่นได้จบลงเพราะผมต้องไปอยู่ที่อื่นแทน มันน่าน้อยใจยิ่งนักที่ชีวิตผมต้องมาเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ ที่ผมยอมทำตามคำสั่งนั่นเพราะผมรู้ดีว่าพ่อต้องมีเหตุผล ชีวิตผมมันเศร้าใช่ไหมละครับ เเต่ไม่เป็นไรครับ ผมเข้มแข็งพอก่อนผมจะไปผมก้อยากปลดปล่อยชีวิตที่เหลือของผมบ้าง ผมยังไม่ได้จะไปตายครับผมเเค่ไปเรียนที่อื่น...................................จบแล้วชีวิตเด็กในเมืองกรุงอย่างผมที่ใช้ชีวิตอิสระมาตลอดไม่มีอีกแล้วชีวิตแบบนี้....ไม่มีแล้ว.....
มีอีกเรื่องที่ผมลืมเล่าไปผมเคยตกหลุมรักคนๆหนึ่งแต่มันก็นานมากแล้วผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมชอบพี่เขาแบบไหนปลื้มที่พี่เขาเก่ง หรือชอบแบบคนอื่นๆทั่วไป รู้แค่ว่าพี่เขานิสัยดี หล่อ เก่ง ตอนนั่นผมยังอยู่ประถมอยู่เลยพี่เขาย้ายมาจากต่างจังหวัดมาเรียนที่กรุงเทพจำได้ว่าพี่เขา ชอบเล่นกีตาร์ ร้องเพลงก็เพราะ พี่เขาฮอตมากมีแต่สาวๆมาชอบ แต่พี่เขาก็คงไม่รู้จักผมหรอก ถึงรู้จักก็คงไม่สนใจตอนนั่นผมขี้เเหล่มาก. เพราะผมเป็นคนที่แอบชอบไม่มีตัวตน ไม่รู้ว่าพี่เขาจะเคยเห็นหน้าผมเปล่า นั่นเเหละรักเเรกของผมจะเรียกว่ารักได้ไหมนะ แค่แอบรักก็พอแล้ว พอผมจบประถมผมก็ได้ไปต่อ ม.ปลายที่อื่นเลยไม่ได้เจอกันอีกจนกระทั่งตอนนี้ คิดแล้วก็คิดถึงนะ
ตอนนี้พี่เขาจะเป็นยังไงนะ อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ถ้าเจอกันเราจะจำพี่เขาได้ไหมนะ. ถ้าพรหมลิขิตมีจริงขอให้ผมเจอพี่เขาอีกครั้ง
#หัดเเต่งเเนวนี้เป็นเรื่องเเรกถ้าผิดพลาดตรงไหนเเนะนำได้นะ แล้วเราจะปรับปรุงใหม่"
#### ทุกคนภาพประกอบ ตัวละครเรากำลังออกเเบบอยู่ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ ติชมเราได้นะเราจะได้มีกำลังใจ#####
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
เมื่อฉันต้องมาอยู่บ้านเช่าในราคาถูกแสนถูกในความที่เงินน้อย ฉันจึงไม่มีสิทธิ์เลือกมากนัก ฉันได้บ้านเช่าราคาถูกแถมรูทเมทสุดหล่อลากที่วันๆพาสาวๆมานอนเล่นจ้ำจี้กันไม่ซ้ำหน้าแทบจะทุกคืน!!!!! “ทำไมนายไม่ใส่ถุง?” “ก็พี่ยังไม่เคยผ่านผู้ชายคนไหนมาก่อน…พี่ปลอดภัยผมเลยไม่ใส่” “แต่นายผ่านผู้หญิงมาเยอะ..นายไม่ปลอดภัย!” “ถึงผมจะมีอะไรกับผู้หญิงมาเยอะ…แต่ผมสวมใส่ถุงทุกครั้งและทุกน้ำนะครับ…”
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด