อยากเห็นใบหน้าของเขาในช่วงเวลาแบบนั้น..สีหน้าท่าทางเขาจะเป็นแบบไหน.. ไม่ได้ง่ายกับทุกคนนะ...แต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
อยากเห็นใบหน้าของเขาในช่วงเวลาแบบนั้น..สีหน้าท่าทางเขาจะเป็นแบบไหน.. ไม่ได้ง่ายกับทุกคนนะ...แต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
ประธานคะ หนูไม่ไหว
" ถุงยาง!!!! ตอนนี้เลยเหรอคะบอส " เสียงอุทานดังขึ้นเมื่อโทรศัพท์ดังครืด ครืด ขึ้นมากลางดึก ราวกับนึกว่ามีใครตาย ที่ไหนได้เจ้านายตัวแสบ เรียกใช้งานเวลานี้
"ใช่ " เสียงคมชัดของคนในสายตอบกลับราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องการมันตอนนี้
ไม่รู้ว่าเธอคิดถูกหรือคิดผิด ที่เห็นแก่ของฟรี ยอมมาอยู่คอนโดห้องข้างๆ ของเจ้านาย คอนโดที่ปล่อยว่างเอาไว้ไม่มีคนอยู่ ดวงตาสวยปรือมองนาฬิกาปาไปเกือบห้าทุ่มครึ่งเธอพึ่งจะเคลิ้มหลับได้ไม่ถึงชั่วโมง
-ลาออก อย่างนี้ต้องลาออกฉันจะขอลาออกเสียตั้งแต่ตอนนี้ -
หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นเหนือศีรษะเพื่อระบายความรำคาญ
"ชามุก เธอต้องมาภายในสิบห้านาที ไม่งั้นโบนัสเธอ..ฉันไม่รับประกันนะ"
เสียงของคนในสายดังกดดันเธออีกครั้ง เสียงนั้นเรียกสติให้เธอหลุดจากภวังค์ที่ท่องเอาไว้อยู่ บ้าเอ๊ย!! ขณะที่ท่องลาออก ๆ เอาไว้ในหัว ปากพลันตอบกลับคนในสายไปทันทีว่า
" รับทราบค่ะบอสจะจัดการให้ตอนนี้เลยค่ะ " หญิงสาวมักเป็นแบบนี้ทุกครั้ง แม้ในหัวปฏิเสธแต่ความจริงกลับต้องเร่งรีบทำ
ร่างเล็กที่อยู่ในชุดนอน ผ้าพริ้วลายหลุยส์ที่พึ่งซื้อมาจากตลาดนัดเมื่อวานก่อน เร่งรุดลงจากเตียงเปลี่ยนใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดสวมผ้าปิดจมูก วิ่งไปกดลิฟท์ลงไปร้านสะดวกซื้อข้างล่างตึก
ยิ่งเมื่อเธอย้ายมาอยู่ข้าง ๆ ห้องนอนของเจ้านาย เขายิ่งใช้งานเธอได้ถนัด ขณะลิฟท์เลื่อนลงสู่ชั้นล่าง เธอที่อยู่ในอาการโมโหแทบควันออกหู อยากจะฉีกคนบางคนเป็นชิ้น ๆ เมื่อถูกขัดจังหวะเวลานอน เจ้านายจอมหื่นที่ชอบควงผู้หญิงมานอนก็มักจะไม่เตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเลยหรือไง
" ผ่อนทีวีเหลือห้างวด ผ่อนเครื่องซักผ้าเหลือหกงวด ผ่อนไอโฟนเครื่องหรูอีกแปดงวด ท่องเอาไว้ชามุก หมดหนี้อย่าเอาอะไรมาเพิ่มอีกล่ะ จะได้ลาออกอย่างไม่ต้องมีภาระ "
ชามุกสาวสวยวัยยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ ทำงานที่นี่มามาเกือบปี
ย้อนไป 1 เดือนก่อนเริ่มงาน
ตอนที่เรียนจบ เธอและเพื่อนๆ เลี้ยงฉลองบัณฑิตใหม่ที่ผับแห่งหนึ่ง เธอดื่มจนเมามาย ขณะเยื้องกายไปห้องน้ำ เธอกลับเดินเซไปชนใครคนหนึ่งเข้า คนที่เธอเข้าใจว่าเป็นบริกรของร้าน
ในวันนั้นชายหนุ่มกลับจากงานเลี้ยงสวมชุดทักซิโดผูกโบว์สีดำ เป็นเหตุให้แก้วเหล้าที่อยู่ในมือหกรินรดเสื้อเชิ้ตสีขาว โดยไม่ตั้งใจ เธอจึงควักเงินหนึ่งร้อยบาทให้เขาเพื่อเป็นการขอโทษ
" ถือว่าพี่ให้ทิปค่าเสื้อเลอะนะสุดหล่อ หล่อชะมัดเลย " น้ำเสียงยืดยาน เอ่ยพลางยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อ มือสวยตบที่กระเป๋าเสื้อที่หย่อนเงินลงไป ก่อนยื่นมือไปขยับโบว์สีดำที่ผูกอยู่คอเสื้อให้เข้าที่
ใบหน้าสวยสบจ้องมองใบหน้าคมอยู่ในระยะไม่ถึงสามเซนติเมตร ก่อนคนตัวเล็กเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ
เดือนถัดมา หลังจากที่เธอยื่นใบสมัครไว้หลายตำแหน่ง ทิ้งประวัติไว้บนเวปไซด์จัดหางานและพักผ่อนเตรียมตัวเพื่อเริ่มงานใหม่ ขณะนั้นได้มีสายเรียกให้ไปสัมภาษณ์งาน ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
การสัมภาษณ์งานสอบถามประวัติเธอสามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน เมื่อครั้งฝึกงานตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอเคยเป็นผู้ช่วยเลขามาก่อน ทางเจ้าหน้าที่จึงรับเธอเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขา
สามวันต่อมาเมื่อถึงวันเริ่มงาน ทางฝ่ายบุคคลให้ไปแนะนำตัวกับประธานบริษัทที่เธอต้องเป็นเลขาให้เขา
เบื้องหน้าของเธอหลังจากประตูกระจกราคาแพงถูกเปิดออก ปรากฎภาพชายหนุ่มสวมชุดสูทสีเทาอ่อน ใบหน้าหล่อเหลาราวพระเอกบนปกนิยาย พุ่งทะลุเป็นประกายออร่าออกมา นั่งก้มหน้ามองเอกสารอยู่ที่หลังโต๊ะ แต่จะว่าไปเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ เธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ขณะที่ชื่นชมกับความหล่อของชายตรงหน้าได้ไม่นาน เสียงเรียกของคนที่นำทางเอ่ยเรียกชื่อเธอเพื่อแนะนำตัวให้กับประธานบริษัท
" ชามุก ชามุก " ร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์ รีบขานรับเสียงเรียกนั้นทันที
" คะ "
" นี่คุณเพชรภูมิประธานบริษัทของเราที่เธอต้องเป็นผู้ช่วยของพี่ ช่วยงานเอกสารที่จะส่งให้แก่ท่านประธาน "
มือเรียวยกมือขึ้นไหว้ด้วยความนอบน้อม สายตาคู่คมที่ดูเย็นชาปรายตามองด้วยหางตาเพียงเล็กน้อย ก็หันกลับไปมองเอกสารที่อยู่ในมือเช่นเดิม
" นี่เธอสูงเท่าไหร่?
" หนึ่งร้อยห้าสิบแปดค่ะ " หญิงสาวตอบออกไปทั้งที่ไม่เข้าใจว่า ผู้ช่วยเลขามันเกี่ยวกับส่วนสูงด้วยเหรอ
" ตัวเล็กจัง ตอนเด็กแม่ไม่ให้กินนมหรือไงถึงได้ตัวแค่นี้ " เขาเอ่ยเสียงเรียบเบา ๆ แต่ห้องกว้างที่เงียบงันแค่นั้นใครจะไม่ได้ยินล่ะ
นั่นปากเหรอนั่นอยากจะตอบกลับเจ็บ ๆ นัก แต่เกรงว่าจะตกงานตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ฟังแล้วแทบจุก ใช่สิพ่อเสาไฟฟ้าสูงยาว 2 เมตรเลยมั้ง คาดคะเนจากสายตา เขาคงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบแน่ ๆ เสียงในหัวพร่ำบน
" ไหนลองยืนขึ้นหมุนตัวซิ "
หะ นี่ผู้ช่วยเลขา? หรือสมัครพริตตี้ที่ต้องใช้ทั้งหุ่นทั้งหน้าตา แต่ทว่าเธอก็ยอมทำตามที่เขาบอกอยู่ดี ร่างสวยลุกขึ้นหมุนเป็นวงกลม
" พอ ๆ นั่งลงได้ หุ่นตันอย่างกับปลากระป๋อง " เขาเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับหงุดหงิด
จุกดอกที่สอง นี่ตั้งใจหรือพูดเล่นเหรอถามจริง ชามุกบีบมือตัวเองไว้แน่น เพื่อระงับสติอารมณ์ ภาพในหัวที่ชื่นชมความหล่อไว้เมื่อครู่ พลันสลายย่อยยับไปหมดไม่เหลือเค้าโครงความหล่อไว้ในหัวอีกเลย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอตั้งมายเซ็ทไว้ในหัวเลยว่าจะไม่เอาผู้ชายแบบนี้ทำผัวแน่นอน..!!
โปรดติดตามตอนต่อไป ....ปากดีตั้งแต่เริ่มเลย พ่อพระเอกของไรท์ ..ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะทักได้เลย
ฉันไม่ต้องการความสัมพันธ์แบบทองหล่อในคืนวันศุกร์นะคะ ...ขอตัว..//ส่วนตัวไม่เน้นความสัมพันธ์เน้นมันส์อย่างเดียวรับได้หรือเปล่า
เชื่อเสมอว่าประตูบานนี้ปิดลง เราจะได้เปิดประตูไปเจอสิ่งที่ดีกว่าเสมอ...เธอออกตามหาคนที่ให้ชีวิตใหม่กับเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น.. สันดานแบบคุณ แค่เห็นนรกก็คิดว่าแค่ชื่อน้ำพริกสินะ
เรื่องคืนนั้น..มันไม่ควรเป็นแบบนี้ !! ถ้าไม่คิดอะไร..อย่าจับหัวได้ปะ
ทดลองเป็นลูกค้ากันก่อนถ้าชอบค่อยกลับมาซื้อ..ถ้าคุณพร้อมโอน..ฉันก็พร้อม..อ..NC18+
หน้าพลาสติกลอยมาตั้งแต่ 3 กิโลเมตรแรกยังจะกล้าว่าคนอื่นไม่สวยอีกเหรอ?นี่ถ้าฉันได้ไปทำหน้าที่เกาหลีสิ่งแรกที่จะบอกหมอ คือไม่เอาหน้าแบบเธอ..นอ.ขอยกเลิกสัญญากับพระเอกเพราะเธอเข้าใจผิดว่าโดนผู้ชายข่มขืน
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
“แหวนไปไหน” “คะ” หญิงสาวรีบหดมือหนีในทันที “พี่ถามว่าแหวนไปไหน” คริษฐ์ยังย้ำคำถามเดิมแล้วจ้องหน้าคู่หมั้นสาวแบบไม่พอใจ “คืออยู่ที่ออฟฟิศมันต้องล้างแก้วกาแฟบ่อย ๆ รุ้งก็เลยถอดเก็บเอาไว้ค่ะกลัวมันจะสึกเสียก่อน” คำตอบของหญิงสาวค่อยทำให้คริษฐ์รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ถ้าถอดออกพี่จะถือว่ารุ้งขอถอนหมั้นพี่นะ” “ก็ไม่ได้ถอนสักหน่อย แค่ถอดเก็บเอาไว้เฉย ๆ” “งั้นก็ใส่เสียสิ เดี๋ยวนี้เลย” คริษฐ์ถลึงตาใส่แกมบังคับ “ใส่ก็ใส่ค่ะ” คนพูดตัดพ้อเล็กน้อย แล้วหันไปหยิบกระเป๋าด้านข้างมาเปิดเพื่อหยิบแหวนหมั้นของตนออกมาสวมใส่ จากนั้นก็หันหลังมือให้เขาดู “พอใจหรือยังคะ” “ดี” “ว่าแต่พี่คริษฐ์มานั่งรอรุ้งทำไมคะ มีธุระสำคัญหรือเปล่า” หญิงสาววกมาหาคำถามแรกที่เธออยากรู้ แต่เขาดันจุดประเด็นเรื่องแหวนขึ้นมาแทรกเสียก่อน “แม่ให้พี่มาหาคู่หมั้นตัวเองบ้าง” ฟังเขาพูดแล้วรุ้งพรายชักเครียดขึ้นมาหน่อย ๆ “ถ้าคุณป้าพิมพ์ไม่บอกพี่คริษฐ์ก็คงไม่มาหารุ้งใช่ไหมคะ” “แล้วทำไมรุ้งถึงไม่ไปหาพี่เองบ้างล่ะ” “ก็รุ้งกลัวพี่คริษฐ์รำคาญ” บทสนทนาสิ้นสุดลงด้วยความเงียบด้วยกันทั้งสองฝ่าย คริษฐ์ถอนหายใจเบา ๆ ส่วนรุ้งพรายก็ก้มหน้าต่ำลง ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “พี่ไลน์หาอ่านแล้วทำไมไม่ตอบ” คริษฐ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนหลังจากเงียบมาเกือบหนึ่งนาที “พอดีรุ้งมาอ่านตอนดึกแล้วไม่อยากรบกวนพี่คริษฐ์ค่ะ” “ตอบมาสักคำก็ยังดี อย่าทำเหมือนพี่ไม่มีตัวตนนะรุ้ง จำเอาไว้ด้วยว่าพี่เป็นคู่หมั้นของรุ้ง” “มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะคะพี่คริษฐ์” “อะไรกันที่ว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้” “รุ้งว่าเราถอนหมั้นกันดีกว่าไหมคะ ดูพี่คริษฐ์อึดอัดกับการหมั้นของเราเหลือเกิน ขนาดจะมาหารุ้งก็ต้องให้คุณป้าพิมพ์บังคับมาเลย” “แม่ไม่ได้บังคับพี่” “ไม่บังคับก็เหมือนบังคับนั่นแหละค่ะ ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วพี่ คริษฐ์แทบไม่เคยขัดใจคุณป้าพิมพ์ได้เลย ถ้ามันเหนื่อยและยุ่งยากมากรุ้งขอถอนหมั้นไปเลยก็ได้ค่ะ” รุ้งพรายดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้าย แล้ววางแหมะอยู่ตรงหน้าของเขา คริษฐ์มองแหวนมองคนแล้วอารมณ์ของเขาก็เดือดดาลขึ้น บทจะอยากได้ก็วิ่งตามติดเป็นเงา บทจะสลัดทิ้งก็ง่าย ๆ แบบนี้เหรอรุ้งพราย “ใส่กลับไปเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มแทบจะกัดฟันพูดออกมา “ไม่ค่ะ อ๊ะ! พี่คริษฐ์จะทำอะไรรุ้งไม่ใส่” รุ้งพรายถูกคริษฐ์กระชากมือมาแล้วจัดการสวมแหวนกลับที่เดิม “ใส่แล้วห้ามถอด ห้ามทำให้แม่พี่เสียใจรู้ไหม” “พี่คริษฐ์!” (รักร้ายจอมทระนง)
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด