เธอเป็นของตายหรือเป็นหัวใจทั้งดวงของเขากันแน่ ตัวอย่างบางช่วงบางตอน "เฮียเคยคิดจะแต่งงานมีครอบครัวไหมคะ" พริมาเอ่ยถามอย่างอยากรู้ "พรีมคือผู้หญิงที่เฮียคบนานที่สุด" เขาตอบไปอีกทาง แต่ยืนยันสถานะของตัวเองให้เธอได้รับรู้ว่าเธอแค่ปิ่นโตเถาสวยที่เขาผูกเอาไว้กิน อิ่มเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะตีจาก
ณ ไร่ อันกว้างใหญ่ไพศาล ร่างสูงสง่าของเถื่อน อภิกานต์ กำลังควบม้าพันธุ์ดีสีดำสนิทมุ่งตรงมายังกลุ่มของหนุ่มหล่อที่กำลังนั่งจิบไวน์กันอย่างออกรสเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามตรงริมหน้าผาที่มองเห็นภูเขาสูงเสียดฟ้า และวิวทิวทัศน์อันสวยงามของสวนดอกไม้นานาพันธุ์
น้อง ๆ ของเถื่อนทุกคนกำลังรอพี่ชายคนโตเหมือนเช่นเคย ทั้งหมดเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะบิดาของแต่ละคนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ซึ่งตระกูลอภิกานต์มีลูกชายสี่คน หลังจากแต่งงานก็มีลูกชายอีกครอบครัวละคน
เถื่อนหรือเฮียเถื่อน พันพงศ์ อภิกานต์คือพี่คนโต รองจากนั้นคือปืน พันไท อภิกานต์ น้องคนที่สามคือเสือ พันหาญ อภิกานต์และสิงห์ พันแสน อภิกานต์ น้องสุดท้องของตระกูลที่อายุห่างกันเพียงแค่ปีเศษ
เถื่อนลงมาจากหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม พร้อมด้วยบรรดาน้อง ๆ ที่เอ่ยทักทายพี่ชายด้วยรอยยิ้ม
“ม้าตัวใหม่ของเฮียนี่โคตรสวยเลย” ปืนมองม้าสีดำสนิทที่เถื่อนเพิ่งได้มาครอบครองและตั้งชื่อว่าเจ้านิลอย่างสนใจ
เถื่อนเป็นพี่ใหญ่สุดของตระกูล ปีนี้อายุสามสิบเก้า ในขณะที่ปืนอายุสามสิบเจ็ด เสืออายุสามสิบห้า และน้องคนเล็กอายุสามสิบสามตามลำดับ
“เจ้าหมอกก็สวย เฮียเลือกกับมือเลยนะ” หมอกคือม้าสีขาวสวยของปืนที่เถื่อนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่น้องชายเมื่อปีที่แล้ว
“เฮียใจดีกับพวกเราเสมอ” เสือนึกถึงม้าสีน้ำตาลเข้มของตัวเองที่พี่ชายมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดไม่ต่างจากพี่ชายคนรองแล้วเผลอยิ้มออกมา น้อง ๆ ทุกคนได้ม้าเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วจากเฮียเถื่อน
ส่วนน้องคนเล็กอย่างสิงห์ได้ม้าสีน้ำตาลลายขาว เท้าทั้งสี่มีถุงเท้าเป็นสีขาว ด้านหลังมีสีขาว ลำตัวเป็นสีน้ำตาล เป็นม้าที่มีลวดลายแปลกตาและสง่างามมาก
ร่างสูงสง่าของเถื่อนเดินมาทรุดนั่งลงข้าง ๆ กับน้องชายทั้งสาม ในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน ทุกคนจะพบปะพูดคุยและสังสรรค์กันตามประสาพี่น้อง ใครมีเรื่องเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลืออะไร พี่น้องทุกคนจะเข้าช่วยเหลือในทันที
“ปีนี้พรีมก็จะเรียนจบแล้วใช่ไหมเฮีย” สิงห์เอ่ยถามพี่ชาย พริมา หรือพรีม โภควิชย์คือสาวน้อยนักศึกษาสาวที่พี่ชายของเขาผูกปิ่นโตเอาไว้ตั้งแต่ปีหนึ่ง พี่ชายของเขามีผู้หญิงเข้าหามากมาย มีให้เลือกควงไม่ซ้ำหน้า แต่พริมาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่พี่ชายของเขาคบนานที่สุด และเลี้ยงดูกันมานานหลายปีอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถามถึงพรีมทำไม” เถื่อนหรี่ตามองน้องชาย เขายอมรับว่าค่อนข้างหวงพริมาเอามาก ๆ อาจเพราะเธอเป็นสมบัติชิ้นโปรดของเขานั่นเอง
“ก็จะเรียนจบแล้ว เฮียจะเอายังไงต่อไปครับ” สิงห์ยังเอ่ยถามอย่างสนใจ ด้วยว่าพริมาเป็นหญิงสาวที่สวย น่ารัก เธอมีคุณสมบัติของการเป็นภรรยาที่ดี หากพี่ชายของเขาจะสละโสดกับพริมา ทุกคนก็ลงความเห็นว่าดี เพราะพริมาสามารถทนอารมณ์ร้าย ๆ ของเถื่อนได้ดี และใจเย็นเสมอเวลาเถื่อนโมโห
“จะยังไงต่อคือยังไงวะ ไม่เห็นเข้าใจ”
“เฮียคิดยังไงกับพรีมเหรอ คบกันมาตั้งนาน ผมอยากรู้เลยถามไง เฮียก็รู้ว่าผมเป็นคนตรง ๆ” น้องเล็กสุดเอ่ยถาม ถ้าเถื่อนจะทิ้งพริมาในตอนนี้ก็น่าเสียดายแย่ ผู้หญิงที่จะอยู่กับพี่ชายของเขาได้นานขนาดนี้หายากเหลือเกิน
เขายังอยากให้พี่ชายเป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัวที่ดี เพราะเถื่อนก็อายุมากขึ้นทุกปี
“ไม่ได้คิดอะไร ก็แค่...” เถื่อนชะงักเมื่อต้องเอ่ยคำจำกัดความที่เขามีให้แก่หญิงสาวนามว่าพริมา
“ที่นึกไม่ออกเพราะเฮียชอบพรีมหรือเปล่า” ประโยคของสิงห์น้องชายคนเล็กทำให้เถื่อนนิ่งอึ้งไป ก่อนจะปฏิเสธออกมา
“เฮียไม่เคยรักผู้หญิงคนไหน โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ปิ่นโตเถาสวยที่ผูกเอาไว้กินเวลาหิวเท่านั้น” คำตอบของพี่ชายทำให้สิงห์ถอนใจเฮือกใหญ่ เขายอมรับว่าเอ็นดูพริมาเหลือล้น
ชีวิตของพริมาน่าสงสาร หล่อนมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ปากกัดตีนถีบ ทำงานไปส่งเสียตัวเองไป จนได้เจอกับเถื่อน เถื่อนจึงรับเลี้ยงดูผูกปิ่นโตและส่งเสียให้พริมาเรียนจนใกล้จะจบแล้ว
“ระวังจะมีคนคาบไปกินนะเฮีย จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ทนเฮียได้” ปืนเองก็เห็นด้วยกับน้องชายคนเล็ก
“เฮียไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานมีครอบครัว อยู่กันไปแบบนี้ไม่วุ่นวายใจดี แต่งงานกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะจากผู้หญิงธรรมดาเป็นแม่เป็นเมีย ผู้หญิงชอบจุกจิกจู้จี้ไร้สาระ” เถื่อนยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเบา ๆ เห็นครอบครัวคนรอบข้างที่มีเมียแล้วแลดูวุ่นวาย ไร้ความสุข มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หึงหวงหวาดระแวง คงสถานะไว้แบบนี้เขาว่ามันดีที่สุดแล้ว อีกทั้งชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเอง และเคยโดนคนรักทรยศหักหลัง นั่นทำให้เถื่อนไม่อยากผูกมัดกับผู้หญิงคนไหนอีก
“เฮียก็พูดถูก ไม่มีพันธะสบายใจ แต่ถ้าใช่ก็ควรจะรีบคว้าเอาไว้นะเฮีย ถ้ามีผู้ชายคนอื่นที่ดี ๆ มาให้พรีมเลือก แล้วเขาเกิดเลือกขึ้นมา เฮียจะทำไงเหรอ” เสือเอ่ยถามพี่ชาย ด้วยว่าหากเป็นเขา รักก็คือรัก ชอบก็คือชอบ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงที่รักหลุดมือไปอย่างเด็ดขาด
“เขาไม่มีวันเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นหรอก” เถื่อนพูดอย่างมั่นใจ คนปากหนักทำเอาน้องชายทั้งสามมองสบตากัน แล้วพูดในใจว่าจะคอยดู
เถื่อนขับรถเข้าเมืองไปรับพริมาในเย็นของอีกวันหนึ่ง ร่างบอบบางในชุดนักศึกษารีบเดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่ เธอจำรถคันหรู ราคาแพงลิ่วของเขาได้ดี
“รอนานไหมคะเฮีย” พริมาเอ่ยถาม ก่อนจะยิ้มหวานส่งมาให้เขา
“นาน” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะจิ้มที่แก้มของตัวเอง ทำให้เธอต้องมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวใครเห็น
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า รถติดฟิล์มทึบขนาดนี้” สิ้นประโยคของเขาเธอก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะหอมแก้มเขาฟอดใหญ่
มือหนาของเถื่อนเลื่อนมาลูบไล้มือนิ่มของพริมาเบา ๆ ก่อนจะยกขึ้นมาจุมพิตแล้วใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาก็ขยับเข้าหา ทำท่าจะจูบเธอ
“เฮียคะ อย่าค่ะ นี่มันหน้ามหาวิทยาลัยนะคะ” เธอดันปลายคางของเขาออกห่าง แต่มือหนาก็ล้วงเข้าไปในกระโปรงสั้นของเธอเพื่อสัมผัสกับกลีบกายสาว
“เฮียคะ”
“เยิ้มขนาดนี้ มีอารมณ์เหรอ” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหาย เขากัดปากเบา ๆ ทำเอาหัวใจของพริมาสั่นไหวอย่างรุนแรง
“คืนนี้เฮียค้างด้วยนะ”
“คอนโดของเฮียนี่คะ เฮียจะนอนหรือไม่นอนก็ได้ พรีมเป็นแค่คนอาศัยเอง” เธอชะงักเมื่อเขายื่นเอกสารมาตรงหน้า
“อะไรเหรอคะ”
“เปิดดูสิ” เถื่อนควบรถกลับคอนโดฯ อย่างเร็วรี่ เขายอมรับว่าหิวร่างน้อยแสนหวานนี้เหลือเกิน
พริมาเปิดเอกสารด้านในออกดูก่อนที่เธอจะตาโต มองซีกหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังตั้งใจขับรถอย่างตกตะลึง
“ของไหมของขวัญของเฮีย”
“เฮียโอนคอนโดเป็นชื่อของพรีมเหรอคะ”
“เป็นของขวัญที่ตั้งใจเรียนจนใกล้จบแล้ว” ประโยคของเขาทำให้เธอตื้นตันใจยิ่งนัก ที่เธอเรียนจบได้เพราะเถื่อน ค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายในการเรียนทุกอย่างเขาเป็นคนออกให้ เถื่อนเป็นคนสปอร์ต พร้อมเปย์ และรวยมาก เขามีเงินมากมายที่จะทำอะไรก็ได้ ในขณะที่เธอยากจนเหลือแสน ทำงานปากกัดตีนถีบกว่าจะมีเงินเอาไว้ใช้จ่ายแต่ละบาทแต่ละสตางค์
เธอแอบชอบเขาเพราะเขาคือพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเธอเอาไว้ เธอจึงสารภาพรักกับเขาเมื่อเรียนจบและได้เข้าทำงานในบริษัทของเขา แต่เขากลับให้เธอเขียนใบลาออก เธอจึงหนีหายไปจากชีวิตของเขา ได้เจอกันอีกครั้งความจริงก็ถูกเปิดเผย!
เขาเป็นคุณอาของเพื่อน เย็นชา หน้านิ่ง แถมยังดุอีกด้วย ในค่ำคืนหนึ่งที่โดนเพื่อนชายวางยา เขากลับช่วยเธอเอาไว้ แล้วกลายเป็นคุณอาหนุ่มคลั่งรักที่ทำเอาเธอกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อย ๆ ในอ้อมแขนแข็งแกร่งอบอุ่นอ่อนโยนของเขา
เธอพลาดท่าเสียทีเขาในค่ำคืนหนึ่ง เขาออกตามหาเธอจนแทบพลิกแผ่นดิน จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยมาบอกเขาว่า เขาคือพ่อของลูก แล้วจากไป เขาได้เจอผู้หญิงอีกคน กลับตกหลุมรักเธอในทันที และความลับมากมายที่ถูกเก็บซ่อนก็เปิดเผยออกมาให้เขาได้รับรู้
เธอต้องหมั้นหมายกับหลานชายของเขา แต่เพราะประสบอุบัติเหตุทำให้เกิดผลข้างเคียงกลายเป็นผู้หญิงอ้วนสุดแสนอัปลักษณ์ หลานชายของเขาจึงขอถอนหมั้น แต่เธอไม่คิดว่าเขาผู้มีศักดิ์เป็นอาจะเป็นคนหมั้นหมายกับเธอแทน คุณอาหนุ่ม เพื่อนรุ่นน้องของบิดามารดาที่เธอแอบชอบมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดจะได้เป็นสามีของเธอจริงๆ
พิมพ์ลภัสโดนมารดาเลี้ยงกับน้องสาวใจร้ายโยนออกจากบ้านท่ามกลางสายฝน และโพทะนาไปว่าเธอหนีตามผู้ชายไป เพื่อทำลายชื่อเสียงของเธอ กลับมาอีกครั้ง พิมพ์ลภัสจึงเปลี่ยนจากบทนางเอกกลายเป็นนางร้ายเอาคืนคนที่ทำเอาไว้กับเธออย่างสาสม!
หวังจื่อหลินอ่านนิยายจบด้วยความโมโหที่นางเอกในนิยายโดนทำร้ายจนตาย เธอเดินข้ามถนนไม่ทันระวังจึงโดนรถชน หลิวเหวินจงเพื่อนชายคนสนิทที่แอบรักเธอจึงเข้ามาช่วยเอาไว้ แต่ทั้งสองก็โดนรถชนอยู่ดี สองหนุ่มสาวกลายเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงนิทรานอนหลับไม่ฟื้น แต่ขณะเดียวกันก็ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในนิยายเล่มที่ตัวเองอ่าน และเข้าไปแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นให้แปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง