/0/12371/coverbig.jpg?v=8df565995c51d5bb647f573d0dfd3426)
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
ฟ้ายังไม่ทันจะสาง อากาศในตอนเช้าตรู่ของปลายฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างที่จะเย็นมาก รอบด้านยังคงมืดมิดไปหมด
ตะเกียงน้ำมันอันหนึ่งในห้องใต้ดินของตระกูลหลัวถูกจุดขึ้นจนสว่างไสว หลัวเจิงหนุ่มน้อยวัยเยาว์นั่งบดบังแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเอาไว้เกือบจะทั้งหมด เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะ แล้วก็หยิบหนังสือที่เย็บด้วยด้ายที่ทั้งเก่าและชำรุดออกมาอย่างเบามือ
หลัวเจิงปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปีเต็ม เขามีรูปร่างที่ซูบผอม หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่เขาเป็นคนที่มีนิสัยใจคอที่อ่อนโยน โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ดูแพรวพราวมากเป็นพิเศษ แม้อยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมันที่มีแสงไฟสลัวเหมือนแสงจากหิ่งห้อย ดวงตาของเขาก็ยังคงเป็นประกายระยิบระยับ
“ข้าใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะอ่าน ‘กฎแห่งธรรมชาติเทียนหลุน’ เรื่องนี้จบ ซึ่งอันที่จริงแล้วหลักการที่บอกไว้นั้นล้วนแต่ดีหมดทุกอย่าง แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า ‘เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร’ ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง!” หลัวเจิงกระซิบขึ้นมาเบา ๆ จากนั้นก็มองไปที่เปลวตะเกียงขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วนั้น พลางพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง “ถ้าไม่ใช่เพราะจิตใจที่มีเมตตาของพ่อข้าที่ไปหลงเชื่อในประโยคนี้ ข้าที่เป็นลูกคนโตของบ้านนั้น ก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หรอก แล้วพ่อข้าก็คงจะไม่ต้องตาย......”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ เสียงไขกลอนประตูห้องใต้ดินก็ดังขึ้นมา หลัวเจิงจึงรีบกำจัดความเศร้าหมองในแววตาของเขาให้หมดไปในทันที และแทนที่ด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ในขณะเดียวกันเขาก็รีบเป่าตะเกียงให้ดับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาผ้าห่มเก่า ๆ มาคลุมตัวไว้
เมื่อประตูห้องใต้ดินถูกไขและเปิดออก เสียงฝีเท้าหลายก้าวจากไกล ๆ ก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เป็นผู้นำเดินเข้ามา แล้วเหยียบลงบนเตียงของหลัวเจิงพร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียงแหลมว่า “ยังนอนอยู่อีกหรือ? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แกคิดว่าตัวเองนั้นยังเป็นนายน้อยของตระกูลหลัวอยู่อีกหรืออย่างไรกัน?”
คนผู้นี้ก็คือผู้ดูแลตระกูลหลัวคนหนึ่ง เขามีปากที่แหลมและแก้มตอบเหมือนลิง แถมยังมีเนื้องอกที่หน้าผากอีกด้วย เพียงมองแค่แวบเดียวก็ทำให้คนรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา
หลัวเจิงยกผ้านวมขึ้น ขยี้ตาอย่างตั้งใจ แล้วก็ลุกขึ้นมาจากเตียง เขาสวมรองเท้า ถุงเท้าโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ของเหล่านี้แม้ว่ามันจะเก่าและพังแล้ว แต่หลัวเจิงก็ยังสวมมันอย่างพิถีพิถันและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
ผู้ดูแลกลอกตามองบนพลางสบถออกมาว่า ‘น่ารำคาญ’จากนั้นก็กวักมือ ให้คนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังมาล้อมรอบหลัวเจิงเอาไว้ แล้วก็สวมชุดเกราะหนังอย่างหนา และใส่กุญแจมือกับโซ่ตรวนให้หลัวเจิง
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลัวเจิงก็เดินออกจากห้องใต้ดินภายใต้การนำของคนรับใช้ แล้วก็เดินไปที่ห้องโถงแสดงศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหลัว
ตระกูลหลัวเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองฉงหมิงจวิ้น ซึ่งตระกูลนี้เป็นเจ้าของที่ดินที่อุดมสมบูรณ์หลายหมื่นไร่ แถมยังมีเหมืองหลายร้อยแห่ง แล้วก็เป็นที่รู้จักในเมืองฉงหมิงจวิ้นเป็นอย่างมาก
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในภาคตะวันออกทั้งหมดมีหลายพันมณฑลมาก ซึ่งในหมู่คนมากมายก็มีตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมากจนนับไม่ถ้วน แต่ตระกูลหลัวกลับยังไม่ติดอันดับในภูมิภาคตะวันออกเลยด้วยซ้ำ
หลัวเจิงที่ถูกคนรับใช้ควบคุมตัวอยู่ปีนออกมาจากห้องใต้ดินที่มืดมิด เดินผ่านศาลา สะพาน ทางเดิน และเรือจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะมาถึงประตูทางเข้าห้องโถงแสดงศิลปะการต่อสู้
ห้องโถงแสดงศิลปะการต่อสู้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับลูกหลานของตระกูลหลัว ที่ประตูทางเข้ามีมังกร นกฟีนิกซ์และสิงโตที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ส่วนพื้นปูด้วยหินบะซอลต์ป่าสีดำขนาดหนึ่งตารางเมตร เมื่อมายืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถงจะสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการ
ตรงกลางของห้องโถงแสดงศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ ลูกหลานของตระกูลหลัวหลายสิบคนที่สวมเสื้อคลุมสีเทากำลังฝึกมวยอย่างหนักอยู่ โดยอยู่ภายใต้การนำของครูฝึกตระกูลหลัว
มีเสียงชกต่อยและเสียงตะโกนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ลูกหลานของตระกูลหลัวเหล่านี้ล้วนอยู่ในช่วงวัยรุ่นอายุประมาณสิบกว่าปีกันทั้งนั้น เพื่อต้องการจะช่วงชิงเอาตำแหน่งที่มั่นคงในตระกูลหลัวมาให้ได้ ในทุก ๆ วันพวกเขาจึงต้องขยันเล่าเรียนอย่างหนัก แล้วก็ต้องฝึกฝนร่างกายอย่างสมบุกสมบัน
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงลมหนาวพัดโชย หนาวจนเย็นเข้ากระดูกไปหมด แต่พวกเขากลับมีเหงื่อออกทั่วทั้งตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บนหัวของพวกเขายังเต็มไปด้วยไอและหมอกสีขาวที่ลอยวนเวียนไปมา.....
ส่วนด้านข้างของห้องโถงแสดงศิลปะการต่อสู้ มีชายที่ใส่ชุดเกราะหนังประมาณสิบกว่าคนที่ถูกใส่กุญแจมือและโซ่ตรวนเอาไว้เหมือนกับหลัวเจิง ผู้ชายแต่ละคนดูโทรมมาก จมูกมีรอยฟกช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง มีบาดแผลทั่วร่างกายไปหมด
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"