ใครบัญญัติว่าพระเอกต้องเป็นคนดี ในเมื่อผู้หญิงส่วนมากหลงรักคนเลวทั้งนั้น สำหรับเขาก็แค่จะร้ายให้เธอรัก (รวยมากเลวมากใครไม่รักก็ให้มันรู้ไป)
ใครบัญญัติว่าพระเอกต้องเป็นคนดี ในเมื่อผู้หญิงส่วนมากหลงรักคนเลวทั้งนั้น สำหรับเขาก็แค่จะร้ายให้เธอรัก (รวยมากเลวมากใครไม่รักก็ให้มันรู้ไป)
เสียงเพลงลาวดวงเดือนดังมาจากวิทยุเครื่องใหม่ที่ลูกชายคนโตพึ่งซื้อมาฝากจากกรุงเทพมหานครขับกล่อมให้คุณนายสุจิตราเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่ในห้องนั่งเล่นติดระเบียงบนบ้านไม้สักทองหลังงามที่สามีอดีตนายทหารชั้นสัญญาบัตรสร้างเอาไว้ให้ก่อนท่านจะเสียชีวิตในหน้าที่ หลังสามีจากไปคุณนายสุจิตราและลูกชายทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะที่บ้านสวนหลังนี้แทนคฤหาสน์หลังใหญ่ในกรุงเทพฯ ด้วยว่าไม่อยากเห็นความทรงจำเก่าซึ่งเคยมีกับสามี
คุณนายสุจิตราในวัยย่ำเลขหก ร่างกายเริ่มมีอาการปวดเมื่อยบ้างเป็นปกติ จึงได้เรียกใช้บริการบีบนวดคลายเส้นจาก “แม่หนูทอง” หรือทองพันชั่งหลานสาวเพียงคนเดียวของหมอดาวทองหมอสมุนไพรชื่อดังของจังหวัดชัยนาท ซึ่งมีบ้านสวนอยู่ติดกัน
“ทองพันชั่ง” ร่ำเรียนวิชาบีบนวดคลายเส้น จับเส้น จับเอ็น และวิชาหมอสมุนไพรมาจากหมอดาวทองผู้เป็นยาย เธอเริ่มช่วยยายรักษาคนป่วยได้ตั้งแต่อายุ10 ขวบ จนตอนนี้เธออายุได้ 19 ปีบริบูรณ์แล้ว หน้าตาสะสวยผิวพรรณหมดจดอย่างกับลูกเจ้าลูกนาย ไม่เหมือนลูกหลานชาวสวนชาวไร่เลยสักนิด
คุณนายสุจิตราเล็งเอาไว้ว่าปีนี้แหละจะส่งทองพันชั่งเข้าประกวดนางนพมาศ
“คุณนายคะ แม่หนูทองมาแล้วค่ะ”
อำนวยคนใช้ผู้สนิทวัยไล่เลี่ยกับคุณนายสุจิตราเดินมาที่ห้องนั่งเล่นพร้อมด้วยหมอจับเส้นคนสวย
“กำลังรออยู่พอดี วันนี้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเหลือเกินแม่หนูเอ๊ย นวดให้ฉันที”
คุณนายสุจิตราหันมาคุยกับสาวน้อยที่เดินถือตะกร้าหวายเข้ามาพร้อมอำนวย ทองพันชั่งเจ้าของรูปร่างสะโอดสะองแลดูมีน้ำมีนวลผิดหูผิดตาในช่วงนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยวิ่งเล่นตามท้องร่องในสวนส้มโอ บัดนี้โตเป็นสาวเต็มตัวเสียแล้ว
ทองพันชั่งคลี่ยิ้มหวาน วางตะกร้าหวายลงบนโต๊ะเตี้ย แล้วหยิบลูกประคบออกมา
“ได้เลยจ้ะคุณนาย วันนี้ยายฝากลูกประคบสูตรใหม่มาให้ด้วย เห็นแกอวดสรรพคุณว่าดีนัก ฝากป้าอำนวยเอาไปนึ่งให้หน่อยนะจ๊ะ เดี๋ยวหนูทองนวดจับเส้นเสร็จจะได้ประคบต่อเลย” สาวน้อยยื่นลูกประคบให้อำนวย
“ได้จ้ะ”
อำนวยรับถือลูกประคบแล้วเดินออกไปที่ห้องครัว สวนกับธนาธิปลูกชายคนโตของคุณนายสุจิตราที่กำลังเดินขึ้นมาบนบ้านพอดี
“อ้าวคุณโต เป็นไงคะส้มโอแก่พอจะตัดได้ไหม”
เมื่อเช้าได้ยินธนาธิปบ่นว่าอยากกินส้มโอ แต่พอจะให้คนไปดูให้ก็ไม่ยอมขอเดินไปดูเอง ด้วยว่าไม่ได้เดินเล่นในสวนมานานแล้ว
“ดูแล้วน่าจะยังติดขมอยู่นะครับป้าอำนวย ได้มะม่วงมาแทน ผมให้ป้าสมัยแกปอกให้แล้ว”
ชายหนุ่มพูดจาอ่อนหวาน กิริยาอ่อนน้อมไม่ถือตัวว่าเป็นเจ้านาย พูดจบก็ยิ้มจนตาหยี ป้าอำนวยทั้งรักทั้งเอ็นดูลูกของเจ้านายคนนี้มาก ผิดกับคนน้องที่ทั้งดื้อทั้งชนวิ่งไล่จับกันมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่ม
คนนั้นค่อนข้างจะทำให้ปวดหัว แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้แกรักคนนั้นราวกับลูกในไส้ของตัวเอง คนอะไรทั้งขี้อ้อน แถมยังเอาแต่ใจตัวเป็นที่หนึ่ง
ธนาธิปลูกชายคนโตของคุณนายสุจิตราและนายพลปรีชา ธรรมานริศชายหนุ่มวัย 28ปี เจ้าของดวงตาเม็ดก๋วยจี๊ หากแต่มีเสน่ห์เหลือล้น เพราะจมูกโด่งเป็นสัน รับกับปากกระจับได้รูป ปรุงแต่งให้ใบหน้าเรียว ลงตัวราวกับพระเอกหนัง
พอคุยกับป้าอำนวยจบเขาก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพื่อทักทายสาวน้อยที่เคยเห็นหน้าคร่าตามาตั้งแต่เด็ก เจอกันครั้งแรกตอนที่ทองพันชั่งอายุ8ขวบ ตอนนั้นเขาพึ่งโตเป็นหนุ่มวัยกระเตาะเท่าๆกับเธอในตอนนี้
“ไงแม่หนูทอง”
สิ้นเสียงนุ่มทุ้มฟังสบายหู ทองพันชั่งก็หันมายิ้มจนแก้มปริ เผยความงามที่มองแล้วทำให้โลกทั้งใบเปลี่ยนเป็นสีชมพู
“สวัสดีจ้ะคุณโต กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ” สาวน้อยยกมือไหว้ธนาธิปแล้วบีบนวดให้คุณนายสุจิตราต่อ
“มาถึงเมื่อวานตอนเย็น แล้วเป็นอย่างไรบ้างพี่ไม่ได้เจอเราเสียนาน เจอคราวนี้โตเป็นสาวแล้ว สวยจนแทบจำไม่ได้เลยนะ”
ทองพันชั่งอมยิ้มเหนียมอาย เมื่อถูกพี่ชายที่เธอแอบรักมาตั้งแต่เด็กเอ่ยปากชม
“สบายดีจ้ะ เรียนหนังสือจบ มศ.3 แล้ว ตอนนี้ก็ช่วยยายรักษาคนเจ็บคนป่วยอยู่บ้านเราจ้ะ”
“ปีนี้แม่ว่าจะส่งเข้าประกวดนางนพมาศ ฝึกให้เจนเวทีไว้ก่อน ปีหน้าก็จะส่งเข้าประกวดนางสาวชัยนาท แล้วก็จะพาไปประกวดนางสาวสยาม สวยขนาดนี้ไม่พลาดมงกุฎแน่ๆ” คุณนายสุจิตราพูดแต่ตายังหลับพริ้ม สีหน้าดูอิ่มเอิบมีความสุข
“ผมก็ว่าไม่พลาดครับคุณแม่ เด็กปั้นคุณแม่คนนี้เข้าตากรรมการแน่ๆ มีแววอยู่นะครับ นางสาวสยามปีที่แล้วยังไม่สวยเท่าแม่หนูทองพันชั่งคนนี้เลยนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ หนูทองขี้อาย ไม่มีความสามารถด้วย กลัวแต่ว่าจะทำให้คุณนายเสียหน้าเปล่าๆสิจ๊ะ”
ทองพันชั่งอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างนี้คุณนายสุจิตราจึงเอ็นดูเป็นพิเศษ ถึงขั้นว่าคิดจับให้แต่งงานกับลูกชายคนเล็กของตนทีเดียว แต่ทั้งสองคนดูไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าจะคลุมถุงชนอย่างไรให้ถุงไม่ขาด
“ไม่มีความสามารถอะไร รำไทยรึก็งดงามอ่อนช้อยกว่าใคร ทำดอกไม้กรองมาลัย งานฝีมือก็ละเอียด งานอาหารหรือก็ไม่แพ้ผู้ดีชาววังเลยล่ะพ่อโต แถมเรื่องยาสมุนไพรเก่งเป็นรองก็แค่คุณนายหมอดาวทองเท่านั้นแหละ”
คุณนายสุจิตรายกยอเด็กปั้นของตนให้ลูกชายคนโตฟัง ยิ่งทำให้ทองพันชั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความเขิน
“ดูท่าคุณแม่พี่จะหวังไว้มากเลยนะหนูทอง อย่าทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาดรู้ไหม”
ธนาธิปพูดด้วยความเอ็นดู เขามีจิตสมัครรักใคร่สาวน้อยเหมือนน้องสาวแท้ๆ ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ด้วยว่าธนาธิปมีคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จับคู่ให้มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
ทองพันชั่งยิ้มกึ่งหัวเราะพลางก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเธออย่างตั้งอกตั้งใจ
“เออ! แล้วน้องชายของเราจะมาวันไหนพ่อโต? ” เมื่อนึกขึ้นได้ คุณนายสุจิตราจึงเอ่ยถามธนาธิปถึงนรธิปลูกชายคนเล็กที่กำลังจะย้ายมาเป็นปลัดอำเภอที่นี่
!!!
ทันทีที่ได้ยินคุณนายสุจิตราพูดถึงลูกชายอีกคน ทองพันชั่งก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากที่ยิ้มแย้มอยู่ดีดีก็ขมวดคิ้วเข้าหากันหน้ามุ่ยขึ้นมา
“ก็คงจะมาเร็วๆ นี้แหละครับ ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืน เห็นว่าต้องเข้ารายงานตัวอาทิตย์หน้า”
ธนาธิปตอบพลางหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน แต่ได้ทันสังเกตเห็นสีหน้าของทองพันชั่งจึงอดหยอกล้อไม่ได้
“อะไรกันหนูทอง แค่เราพูดถึงนายเล็กก็หน้ามุ่ยเลยหรือ นี่ยังโกรธที่โดนนายเล็กแกล้งเมื่อตอนเด็กไม่หายล่ะสิ”
ทองพันชั่งพยายามปรับสีหน้า ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เปล่าหรอกจ้ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
ถ้าเป็นแค่เรื่องตอนเด็กที่แกล้งกันเธอลืมไปหมดแล้ว แต่เรื่องระยำตำบอนที่เขาทำกับเธอเมื่อ2เดือนก่อนมันทำให้ทองพันชั่งนึกอยากฆ่าเขาให้ตายอย่างทรมาน แต่ติดที่ว่าเธอไม่ได้ใจคอโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น แค่มดสักตัวเธอยังไม่กล้าทำลายชีวิตของมันเลย
“ฮ่าๆๆ ถึงจะโกรธกันยังไงก็คงต้องเห็นหน้ากันไปอีกนาน เพราะนายเล็กกำลังจะย้ายมาเป็นปลัดที่นี่แล้ว หวังว่าสองคนจะไม่ตีกันตายเสียก่อนนะครับคุณแม่”
ลูกชายคนโตหันไปกระเซ้ามารดา ด้วยว่าคุณนายสุจิตราคาดหวังไว้สูงเรื่องจะให้นรธิปลงเอยกับทองพันชั่ง
ทว่าประโยคนั้นของธนาธิปทำให้ทองพันชั่งถึงกับหยุดหายใจ!
“!!!คุณเล็กจะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือจ๊ะ?”
“ฮ่าๆๆ เอาน่าหนูทอง พี่เล็กเขาก็เป็นคนอย่างงี้แหละ ชอบแกล้ง ชอบพูดจาไม่ดี แต่จริงๆเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ไม่แน่พอได้ย้ายมาอยู่ใกล้ๆกันมากขึ้น อาจจะคุยกันถูกคอก็ได้”
ไม่ได้เลวร้าย! แต่เลวทรามต่ำช้าเหมือนสัตว์เดรัจฉาน! ทองพันชั่งอยากประกาศให้ทุกคนรับรู้เหลือเกิน แต่ติดที่ว่าหากทุกคนรับรู้ความชั่วของนรธิปเป็นเธอเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน
นิยายเรื่องนี้มีพระนาง2คู่ "อย่าหวังจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจับฉัน ผู้หญิงของฉันทุกคนก็สาวบริสุทธิ์ทั้งนั้นแล้วอย่าลืมคุมกำเนิด ถ้าไม่อยากทำแท้ง! เพราะฉันไม่มีทางมีทายาทกับผู้หญิงชั้นต่ำ" VS "อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันต้องได้ แม้แต่ตัวนายถ้าฉันต้องการ นายก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ"
นางบำเรอชั้นต่ำอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์ปริปากร้องขอความเห็นใจ สิ่งที่เธอต้องทำคือยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขามอบให้ เพื่อรอให้ถึงวันที่เขารู้สึกสาสมใจและปล่อยเธอไปแต่โดยดี.......
อุตส่าห์ช่วยเหลือเพราะเห็นว่าไร่อยู่ใกล้กัน แต่พี่ชายตัวดีของเธอกลับไม่ยอมคืนเงิน แถมยังร่วมมือกับพวกชาติชั่วเล่นงานเขาอีก "มีเมียเป็นคนใบ้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่น ถอดเสื้อผ้า!!!"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เพราะข้าอ้วนท่านอ๋องเลยไม่อยากแต่งกับข้าใช่ไหม
“อ๊ะ… ซี้ดดดดดดด… ” เสียงร้องครางหลุดออกมาจากริมฝีปากของยาดาที่ต้องเผยออ้าทุกครั้งที่ลิ้นของเขาปาดเสยเข้าใส่กลีบสาว ไม่เพียงแค่เลีย แต่ยังสอดนิ้วเข้ามาบดคลึงเม็ดกระสัน ยิ่งทำให้หล่อนเสียวซ่านสุดจะบรรยาย “อู้ววว… กลีบอวบอูมดีจัง” น้ำเสียงสะใจ หลังจากจู่โจมด้วยปลายลิ้นจนน้ำคาวสวาทของหญิงสาวหลั่งไหลออกมาอาบชุ่มสองกลีบ ขมิบสู้ลำนิ้ว “ว้าว… เยิ้มเร็วมากหนูจ๋า” ท่านประธานชอบใจที่เห็นร่างกายของหล่อนตอบสนองการปลุกเร้า ค่อยๆ หงายฝ่ามือสอดเข้ามาระหว่างง่ามก้นด้านหลัง ตะล่อมโอบพูเนื้อโหนกนูนเหมือนกับหลังเต่าคว่ำลงมาประกบกับอุ้งมือพอดี “อ๊า… ซี้ดดดดดด… ” ยาดาร้องครวญครางออกมาด้วยความสยิว นิ้วของเขาไม่เพียงแค่ไล้ลูบ แต่ยังตวัดรัวแหวกร่องแล้วสอดใส่เข้ามาในความฝืดคับ
"เควิน" เจ้าพ่อมาเฟียและนักสะสมของเก่าผู้ทรงอิทธิพลได้มาเจอกับ "นาลัน" นักศึกษาสาวฐานะยากจนที่ได้นำของปลอมมาขายให้เขา หลังจากที่ถูกจับได้ทำให้นาลันตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เควินยื่นข้อเสนอให้นาลันจดทะเบียนสมรสกับเขาเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องมีคดีความ
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด