"อย่าดื้อนะอีหนู คนดีของพี่กำนัน" "พี่กำนันบ้าอะไร ไอ้แก่!" พระนางลิ้นกับฟัน โคแก่กินหญ้าอ่อน ตีกันตลอด เร่าร้อน หึงโหด โกรธแรง ดราม่าครบทุกรส ตลก เศร้า น่ากลัว ซึ้ง หวาน โรมานติก
"อย่าดื้อนะอีหนู คนดีของพี่กำนัน" "พี่กำนันบ้าอะไร ไอ้แก่!" พระนางลิ้นกับฟัน โคแก่กินหญ้าอ่อน ตีกันตลอด เร่าร้อน หึงโหด โกรธแรง ดราม่าครบทุกรส ตลก เศร้า น่ากลัว ซึ้ง หวาน โรมานติก
สะแบงสาวงามประจำตำบลทุ่งนาโนน วัย20ปีบริบูรณ์ เจ้าของดวงตากลมโต พ่วงแก้มใสขาวนวลเหมือนหยวก ผิวกายผ่องเนียนละเอียดด้วยทางฝั่งพ่อมีเชื้อสายญวน จมูกโด่งเรียวปลายหยดน้ำก็ได้พ่อมาเช่นกัน ส่วนใบหน้าเรียวรูปไข่ คิ้วดกดำ ขนตาหนางอนเป็นแพ ปากกระจับอวบอิ่ม ทรงจะคล้ายทางฝั่งแม่ เธอผู้นี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่รูปร่างหน้าตา ยังฉลาด หัวไว ใฝ่เรียนรู้ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ไม่เหมือนสาวบ้านนอกบ้านนาทั่วไป ทั้งยังทะเยอทะยานฝันสูง เธอมีความฝันว่าอยากจะเป็นดาราเหมือนกบ สุวนันท์ และ นิ้ง กุลสตรี อยากมีชีวิตเฉิดฉายในเมืองใหญ่ท่ามกลางไฟแสงสี แต่ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวชาวนาฐานะยากจนความฝันจึงเป็นได้แค่ความฝันเท่านั
้น
หญิงสาวเกลียดความยากจน เกลียดบ้านนอกบ้านนา เธอพยายามขอพ่อกับแม่เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง จนกระทั่งวันที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับกำนันเดช! เพื่อล้างหนี้ที่ครอบครัวหยิบยืมมา เธอจึงคิดหนีเข้ากรุงเทพฯเพื่อหนีงานแต่ง
คืนวันเดือนดับมืดสนิทไปทุกแห่งหนสะแบงตัดสินใจแน่แน่วว่า อย่างไรก็จะหนีไปกรุงเทพกับสะดิ้งเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสอง ซึ่งสะดิ้งเองก็มีความฝันอยากเป็นช่างทำผม
เงินรางวัลที่ได้จากการประกวดนางนพมาศปีนี้ยังไม่ได้แกะใช้สักบาท สะแบงคิดจะเอาเงินก้อนนี้เป็นทุนในการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทำงานหาเงินได้แล้วก็ค่อยส่งมาให้พ่อแม่เอาไปใช้หนี้ ปัญหาทุกอย่างมีทางออก เรื่องอะไรต้องทิ้งชีวิต ทิ้งศักดิ์ศรี ยอมแต่งงานกับคนชั่วอย่างกำนันเดชด้วย!
เมื่อแน่ใจว่าพ่อกับแม่นอนหลับสะแบงก็เปลี่ยนจากชุดนอนมาสวมเสื้อยืด กางเกงยีนขาม้า มัดผมยาวสยายรวบตึงขึ้นสูงปล่อยหางม้าไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงวางจดหมายลาพ่อกับแม่ไว้บนที่นอน โยนกระเป๋าเสื้อผ้าลงไปทางหน้าต่าง แล้วจึงกระโดดตามกระเป๋าลงไป
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
หมาอีตุ่นสะดุ้งโหยงถึงสองหน แต่เมื่อมันเห็นว่าเป็นสะแบงที่กระโดดลงมามันก็เดินมาดมเจ้านายพร้อมกระดิกหางไปมา พลอยทำให้สะแบงน้ำตาซึม ใจยังนึกเป็นห่วงบุพการีถ้าหนีไปกำนันเดชจะทำอะไรพ่อกับแม่ของเธอหรือไม่ แต่ถ้ายอมแต่งงานชีวิตเธอหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
เอาล่ะ!ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เสี่ยงแขนหักขาหักกระโดดลงมาจากบ้านแล้ว ชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า และชีวิตอีสะแบงต้องดีกว่านี้ คิดได้อย่างนั้นจึงลูบหัวหมาอีตุ่นเบาๆก่อนจะก้าวเท้าเดินกึ่งวิ่งออกจากบ้าน
หมาอีตุ่นวิ่งตามมาจนถึงถนนใหญ่
“อีตุ่น! กลับไปเดี๋ยวนี้ กลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ ดูแลพ่อกับแม่ด้วยนะ พี่สัญญาอีกไม่นานพี่จะกลับมา” สะแบงหยุดเดินแล้วหันไปพูดกับทาสสี่ขาผู้ซื่อสัตย์
หมาอีตุ่นเหมือนฟังรู้เรื่อง ท่าทางมันคล้ายลังเลว่า จะตามเจ้านายไปหรือหันหลังกลับบ้าน สะแบงน้ำตาไหล เจ็บตรงหัวใจ คนจนก็เท่านี้ ไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ก็สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ลองดูกันสักตั้ง! ถ้าชีวิตนี้จะหาดีไม่ได้เลยก็ให้มันรู้ไป เธอหันหลังให้เจ้าหมาแสนรู้ บังคับสองขาให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า จุดหมายคือศาลาปากทางเข้าหมู่บ้าน
สะดิ้งรอเธออยู่ตรงนั้น
แสงไฟจากหลอดนีออนที่ติดอยู่กลางศาลาช่วยให้สะแบงมองเห็นร่างผอมบางหุ่นทรงอ้อนแอ้นนั่งหันหลังอยู่ หญิงสาวเผยยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลึกๆ ชีวิตใหม่ของเธอกำลังจะเริ่มขึ้นนับจากนี้ สองเท้าเร่งระยะการเดินเพื่อตรงเข้าไปหาเพื่อนสนิทผู้พี่
“พี่สะดิ้งฉันมาแล้ว รอนานไหมจ๊ะ รถยังไม่มาใช่ไหม”
เมื่อได้ยินเสียงหวานนุ่มนวลพูดอย่างตื่นเต้น สะดิ้งก็ลุกขึ้นยืนหันหน้ามาหาเจ้าของเสียง สีหน้าเจ้าหล่อนดูเจื่อนหมองคล้ายแฝงความหวั่นเกรงในอะไรบางอย่าง
สะแบงวางกระเป๋าลงบนม้านั่งพลางเอ่ยถามขึ้นอีก
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นจ้ะพี่ อย่าบอกนะว่ารถไปแล้ว เราจองรอบสี่ทุ่มไม่ใช่เหรอ นี่พึ่งสามทุ่มกว่าๆ เองนะ”
“สะแบงรถไม่มารับเราแล้วล่ะ”
คนตอบน้ำเสียงสั่นเครือกิริยาเหมือนอยากจะร้องไห้ ทำให้สะแบงยิ่งประหลาดใจ
“อ้าว! ยังไงกันพี่ หมายความว่ายังไง เราจองตั๋วไว้แล้วนิจะไม่มารับได้ไง” เจ้าของพวงแก้มใสพูดขึ้นคล้ายเอ็ดตะโร
ในช่วงระยะลมหายใจเข้าออก ก็ได้รู้สึกเหมือนว่ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากเธอและเพื่อนสนิทผู้พี่เร่งฝีเท้าเข้ามาร่วมสนทนา
“คิดจะหนีหนี้หรืออีสะแบง!”
น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจระคนความเกรี้ยวกราดดังมาจากด้านหลังของสะแบง เวลานั้นหัวใจของเธอเหมือนถูกดึงกระชากออกแล้วโยนทิ้งลงไปบนพื้น ขณะนั้นมีลมพัดผ่านมาพอในเย็นสบาย แต่กลับสร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกถึงขั้วหัวใจที่พึ่งขาดโหวง เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สะแบงค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้าของเสียงคือใคร! แต่กระนั้นก็ยังส่งคำถามออกมาทางสายตา
สาวประเภทสองร่างบางที่จริตจะก้านทิ้งความเป็นชายไปหมดแล้ว พยักหน้าตอบคำถามของสายตาคู่สวย ยิ่งทำให้แน่ใจว่าคนที่พูดประโยคเมื่อครู่คือ กำนันเดช!
เรือนร่างอรชรค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ที่ไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่ยังมีลูกสมุนตามมาด้วยอีก2คน ซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเห็นกำนันเดชไปไหนมาไหนคนเดียวนี่สิแปลก
“กะ กำนันเดช!” ไม่ใช่แค่เสียงสั่นเครือจนคำพูดคำจากระท่อนกระแท่น แต่เวลานี้หญิงสาวกลัวจนสั่นไปทั้งตัว
เวรกรรมอะไรของอีสะแบงนักหนา อุตส่าห์วางแผนจะหนี แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอด!
“ว่ายังไงนางตัวดีจะหนีไปไหน หึ? ” แววตาดุดันปานเสือร้ายจ้องมองใบหน้างามคล้ายจะกัดจะกิน
“เปล่า! ฉันไม่ได้จะหนี ทำไมฉันต้องหนี ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันจะไปกรุงเทพ ไปทำงานหาเงินมาคืนกำนันนั่นแหละ ฉันจะได้ไม่ต้องจำใจแต่งงานกับคนอย่างกำนัน! ” แม้จะกลัว แต่ก็ยังรวบรวมความกล้ากัดจิกอีกฝ่าย
“ไปทำงานกรุงเทพ ฮ่าๆๆ อย่างเอ็งจะไปทำงานอะไรถึงจะได้เงินมากมายขนาดนั้นมาคืนข้า นอกจากไปเป็นกะหรี่! แต่จะไม่เป็นเอดส์ก่อนตายรึ ถึงจะหาเงินมาคืนได้ พวกแม่เล้า พวกแมงดามันดุนะโว้ย”
อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะดูถูก หากคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แต่คำพูดของเขาทำให้สะแบงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สองมือเรียวกำหมัดแน่น ถ้าไม่เหลือบไปเห็นปืนที่เหน็บอยู่บริเวณชายพกของเขาเสียก่อนคงพลั้งฟาดปากเข้าให้ไปแล้ว
“เป็นกะหรี่หรือเป็นอะไรฉันก็ยอมทั้งนั้นแหละ ดีกว่าต้องแต่งงานกับคนชั่วๆ อย่างกำนัน! ”
ในเมื่อฟาดหน้าไม่ได้จึงฟาดด้วยคำพูด
กำนันเดชกัดกรามแน่น! ดวงตาเต็มไปด้วยแววพิโรธ คำพูดเธอทำให้เขาโกรธแรงพอสมควร จึงไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำอีก ร่างสูงก้าวเข้าประชิดดึงร่างบางมาอย่างไม่ถนอม จับแขนเธอล๊อกไพล่หลังเอาไว้
“งั้นก็ไปเป็นกะหรี่ให้ข้าก็แล้วกัน รับรองข้าจ่ายตามจริง ไม่เอาเปรียบเอ็งสักบาท ใช้หนี้คืนหมดเมื่อไหร่ อยากไปไหนก็ไสหัวไปได้เลย”
พูดจบเขาก็ลากร่างอรชรที่ถึงแม้จะดิ้นรนขัดขืนก็เหมือนไม่ได้มีผลอะไร พาเดินตรงไปที่รถ ซึ่งจอดหลบความมืดไว้ข้างทาง
“ไม่นะ ปล่อยฉันนะกำนัน ช่วยด้วย! พี่สะดิ้งช่วยฉันด้วย”
หลังสืบรู้ว่าภรรยาเก่าของลูกหนี้ผู้น่ารำคาญคือผู้หญิงแพศยาที่เคยทำให้ครอบครัวของเขาพัง เดปมาเฟียหนุ่มเจ้าของบ่อนคาสิโนจึงไม่รีรอที่จะแก้แค้น ผู้หญิงแพศยาคนนั้นทำเลวไว้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ครั้งล่าสุดก็คือทิ้งลูกสาวกับผู้ชายที่เป็นลูกหนี้ของเขาไปแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐี และตอนนี้ลูกสาวของหล่อนที่อยู่กับลูกหนี้ของเขาโตพอใช้งานได้แล้ว.....
ฟ้าเป็นใจให้สินทรผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนุ่มวัย34 มีโอกาสได้เห็นเรือนร่างเปล่าเปลือยของ ดาวใจ สาวน้อยวัย16 ย่าง17 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่เคยทำให้เขาช้ำใจ จึงได้ข้ออ้างมาต่อรองหวังฟันสาวน้อยแล้วทิ้งขว้างเพื่อแก้แค้นพ่อแม่ของเธอ ทว่าฟ้าก็ดันกลั่นแกล้งให้สินทรหลงรักลูกสาวอดีตกิ๊กจนโงหัวไม่ขึ้น ความรักของ น้าสินทรตัวร้าย กับ อีหนูดาวใจตัวแสบ จะสนุกสนาน เสียวซ่าน บันเทิงเริงใจ ฮาลั่นทุ่งกันเพียงไหน ไปติดตามกันเลยจ้า..... “แม่เจ้าโว้ย! อีดาวใจ ข้าเห็นเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตอนนี้หอยเท่าฝ่าตีนข้าแล้วหรือวะเนี่ย” “น้าสินพูดบ้าอะไรเอาผ้าถุงฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องแม่” “ยังกะข้ากลัวแม่กับพ่อเอ็งนิ!” “น้าสิน เอาผ้าถุงมาให้ฉันเถอะเดี๋ยวคนมาเห็น”
เธอมาเพื่อเงินของเขา ส่วนเขาต้องการแค่สนุก วินๆทั้งคู่ แค่ความสุขฉาบฉวยของผู้ชายขี้เบื่อ และ เงินจำนวนหนึ่งที่หญิงสาวกำลังต้องการ เพียงเท่านั้น... แต่!วันหนึ่งคนขี้เบื่อดันกลัวจะโดนเบื่อซะเอง..
อุตส่าห์ช่วยเหลือเพราะเห็นว่าไร่อยู่ใกล้กัน แต่พี่ชายตัวดีของเธอกลับไม่ยอมคืนเงิน แถมยังร่วมมือกับพวกชาติชั่วเล่นงานเขาอีก "มีเมียเป็นคนใบ้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่น ถอดเสื้อผ้า!!!"
ใครบัญญัติว่าพระเอกต้องเป็นคนดี ในเมื่อผู้หญิงส่วนมากหลงรักคนเลวทั้งนั้น สำหรับเขาก็แค่จะร้ายให้เธอรัก (รวยมากเลวมากใครไม่รักก็ให้มันรู้ไป)
นิยายเรื่องนี้มีพระนาง2คู่ "อย่าหวังจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจับฉัน ผู้หญิงของฉันทุกคนก็สาวบริสุทธิ์ทั้งนั้นแล้วอย่าลืมคุมกำเนิด ถ้าไม่อยากทำแท้ง! เพราะฉันไม่มีทางมีทายาทกับผู้หญิงชั้นต่ำ" VS "อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันต้องได้ แม้แต่ตัวนายถ้าฉันต้องการ นายก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เจียงหยวนชอบเสิ่นตู้มาเป็นเวลาสี่ปี แม้จะต้องเผชิญความรังเกียจจากตระกูลเจียง แต่เธอก็ยังเลือกยืนหยัดเคียงข้างเขา กระทั่งวันหนึ่ง เสิ่นตู้เพื่อพี่สาวของเขา ยอมยกให้เธอไปมีอะไรกับคนอื่น ในที่สุด เธอถึงได้เข้าใจว่าคนที่ไม่ใช่ยังไงก็คือไม่ใช่ ในเมื่อไม่ใช่คนที่ใช่ งั้นเธอยอมตัดทิ้งแล้วกัน เธอหันไปให้ความสำคัญกับการทำงานจนกลายเป็นนางแบบระดับโลก ทำให้คนทั้งโลกตะลึง ผู้ชายที่ทำร้ายเธอรู้สึกเสียใจ“หยวนหยวน โลกของฉันขาดเธอไม่ได้ กลับมานะ” ตลกสิ้นดี ผู้ชายมันจะเทียบกับอาชีพการงานได้ที่ไหน ! ** เจี่ยงเฉินโจว ผู้นำของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหรงเฉิง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเป็นคนแสนเย็นชา แต่อยู่ลับหลังกลับเป็นคนคลั่งรัก เขาชอบความงามของเจียงหยวน เห็นเธอเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่น่ารักและเชื่อง ต่อมา บนพรมแดงท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ ชายผู้ก้าวลงจากเวทีคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าสาธารณะ“ถึงแม้จะไม่มีฐานะอะไร ฉันก็ยินยอม”
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... "ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม" ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง "เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ" ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
จินเยว่ ตำรวจสาว เธอได้รับภารกิจให้เข้าจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่สายข่าวได้แจ้งเข้ามาวันนี้จะมีการเจรจาซื้อขายครั้งใหญ่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาให้จินเยว่ที่ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าสายสืบ พาลูกน้องไปสำรวจพื้นที่ก่อน อย่าเพิ่งเข้าปะทะเพราะเขาจะส่งกองกำลังเข้าไปช่วยเหลือ แต่ลูกน้องของจินเยว่เห็นโอกาสที่จะเข้าจับกุมได้แล้ว เลยไม่รอกองกำลังพิเศษที่กำลังเดินทางมาช่วยเหลือ ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาเสพติดจะพาคนมาฝ่ายละไม่เกินยี่สิบคน แต่กลายเป็นว่าเธอโดนซ้อนแผนเสียแล้ว จะถอยก็ไม่ทัน จินเยว่เข้าช่วยลูกน้องจนเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างความเป็นกับความตาย สติของเธอเริ่มพร่ามัว เสียงเรียกที่ได้ยินแยกไม่ออกว่าเป็นใครเรียก แต่เธอจำได้ว่ากองกำลังพิเศษมาช่วยไม่ทัน ตอนที่เธอถูกยิงไม่ใช่ว่าจะโดนแค่นัดเดียวทางรอดย่อมไม่มี แต่ตอนนี้ใครกันที่เรียกเธอ หากเป็นหมอก็รักษาเลย ฉันขอนอนต่อก่อน แต่หากเป็นยมทูตรอสักครู่ฉันไม่ได้นอนเต็มตาเช่นนี้มาหลายคืนแล้ว "จินเยว่ ลูกรัก ตื่นเถิดลูก" "จินเยว่ อย่าเงียบเช่นนี้ เจ้าอย่าทำให้แม่กลัว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY