ฟ้าเป็นใจให้สินทรผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนุ่มวัย34 มีโอกาสได้เห็นเรือนร่างเปล่าเปลือยของ ดาวใจ สาวน้อยวัย16 ย่าง17 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่เคยทำให้เขาช้ำใจ จึงได้ข้ออ้างมาต่อรองหวังฟันสาวน้อยแล้วทิ้งขว้างเพื่อแก้แค้นพ่อแม่ของเธอ ทว่าฟ้าก็ดันกลั่นแกล้งให้สินทรหลงรักลูกสาวอดีตกิ๊กจนโงหัวไม่ขึ้น ความรักของ น้าสินทรตัวร้าย กับ อีหนูดาวใจตัวแสบ จะสนุกสนาน เสียวซ่าน บันเทิงเริงใจ ฮาลั่นทุ่งกันเพียงไหน ไปติดตามกันเลยจ้า..... “แม่เจ้าโว้ย! อีดาวใจ ข้าเห็นเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตอนนี้หอยเท่าฝ่าตีนข้าแล้วหรือวะเนี่ย” “น้าสินพูดบ้าอะไรเอาผ้าถุงฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องแม่” “ยังกะข้ากลัวแม่กับพ่อเอ็งนิ!” “น้าสิน เอาผ้าถุงมาให้ฉันเถอะเดี๋ยวคนมาเห็น”
สินทรลูกชายกำนันเสริม ผู้รั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านคำปลิง ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่คือยายเภาแม่บังเกิดเกล้าของสินทรนั่นเอง เรียกว่ามีความประสงค์จะรับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวบ้านคำปลิง และชาวตำบลห้วยไผ่ตงกันทั้งครอบครัว
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนุ่มใหญ่วัย34ปี รูปร่างแข็งแรงกำยำด้วยว่าขยันเอาการเอางาน ขุดไร่ ถางคลอง แบกหาม หนักเบาไม่เคยหวั่น หน้าตารึก็หล่อเหลาเอาการ สาวเล็กสาวน้อยในตำบลทอดสะพานสายตาให้ไม่เว้นแต่ล่ะวัน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าสินทรจะให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ
ช่วงบ่ายแก่ๆ ของฤดูกาลปลายร้อนค่อนฝน อากาศอบอ้าวเหลือจะทน ชายหนุ่มฝืนข่มตาให้นอนกลางวันต่อไปไม่ได้ จึงลุกขึ้นหยิบผ้าขาวม้าคาดเอวเดินตรงไปยังลำธารห้วยโตกโตน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเถียงนาน้อยคอยรักของเขา สองข้างทางริมลำธารเต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ใหญ่น้อยขึ้นอยู่ร่ายล้อม ร่มรื่นเย็นตาเย็นกาย
ครั้นพอเดินมาใกล้จะถึงที่หมายก็ตาดีเหลือบไปเห็นดาวใจ เด็กสาววัย 16 ย่าง 17 กำลังเล่นน้ำอย่างเพลิดเพลินอยู่กลางลำธาร
เขาจึงรีบมุดตัวเข้าไปในพุ่มไม้ข้างลำธารทันที!
จะเรียกว่าเป็นโชคดีของสินทรก็ได้ ในขณะที่ดาวใจกำลังตีโป่งว่ายน้ำเล่นอยู่กลางลำธารผ้าถุงเจ้ากรรมดันหลุด ลอยตามน้ำไปติดที่ริมลำธาร
สาวน้อยตกใจหันรีหันขวาง มองซ้ายแลขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น จึงเร่งว่ายน้ำไปยังริมลำธาร พอเจอน้ำตื้นก็ทั้งเดินกึ่งวิ่งหวังจะไปหยิบผ้าถุง
สินทรได้เห็นเรือนร่างเปล่าเปลือยขาวนวลอวบอั๋นนั้นเต็มสองตา เด็กสาววัย 16 ปีแต่สองเต้าตึงวัดแล้วคงไม่ต่ำกว่า 36 นิ้ว วิ่งทีกระเด้งดึ่งๆ ฟัดเบียดกันไปมา เอวสะโพกคอดผายรับก้นงอนงามกับขาเรียวๆ สวยงามลงตัวไปทุกสัดส่วน โดยเฉพาะโหนกหลังเต่าอวบอูมใหญ่กว่าฝ่ามือเลยกระมัง
เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็มองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอีก จึงโผล่ออกไปหยิบผ้าถุงของดาวใจขึ้นมา
!!!
เด็กสาวตกใจจนสะดุ้ง รีบยกมือมาปิดหน้าอกกับของสงวนเอาไว้ แล้วนั่งลงในน้ำที่ตื้นเพียงครึ่งแข้ง
“ว้าย! น้าสิน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เอาผ้าถุงฉันมานะ”
ตาเถรยายชีเวรกรรมอะไรของอีดาวใจ!
สินทรทำเสียงจุ๊ๆๆ เป็นจิ้งจก สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยอารมณ์หื่นกระหายใคร่กระสันเหลือคณา
“แม่เจ้าโว้ย! อีดาวใจ ข้าเห็นเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตอนนี้หอยเท่าฝ่าตีนข้าแล้วหรือว่ะเนี่ย”
“น้าสินพูดบ้าอะไรเอาผ้าถุงฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องแม่”
“ยังกะข้ากลัวแม่กับพ่อเอ็งนิ!”
“น้าสินเอาผ้าถุงมาให้ฉันเถอะเดี๋ยวคนมาเห็น”
“เห็นก็เห็นเอ็ง ไม่ได้เห็นข้า แล้วไหน เสื้อในกางเกงในเอ็งถอดไว้ไหนวะ”
สิ้นเสียงหยอกเย้าก็ถูกดาวใจมองค้อนสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้
“น้าสิน! ไอ้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก แก่แล้วยังรังแกเด็กอีก คอยดูฉันจะฟ้อง......”
“ฟ้องใคร?”
“น้าสิน!”
“เออ! แหกปากดังๆ เดี๋ยวคนก็ได้แห่กันมาดูหอยดูนมเอ็งทั้งหมู่บ้าน” สินทรยียวน
“น้าสิน.... ฉันไหว้ล่ะ ขอผ้าถุงฉันเถอะ” ดาวใจฉลาดรีบทำตัวอ่อนน้อมเมื่อรู้ว่าตนไม่มีทางต่อรอง
“ก็ได้ แต่เอ็งต้องไปเอากางเกงในเอ็งมาแลก”
“กางเกงในฉันก็อยู่ข้างพุ่มไม้นั่นไง”
สินทรมองตามนิ้วมือของดาวใจ ทันทีที่เห็นกองเสื้อผ้าของเธอ ก็รีบปรี่เข้าไปหยิบกางเกงในกับเสื้อในสีดำขึ้นมา
“เอาล่ะๆ เอ็งขึ้นมาได้แล้ว ข้าจะคืนผ้าถุงให้”
“น้าโยนมานี่ฉันจะไปใส่เอง” ดาวใจเสนอ
หากแต่คนทะลึ่งไม่ยอมทำตาม
“ไม่ได้! ขึ้นมาเอาเอง รับของจากผู้ใหญ่เอ็งต้องรับกับมือ แม่เอ็งไม่สอนรึ!”
ทำเป็นอ้างเรื่องมารยาท แท้จริงแค่อยากจะหลอกดูของดี ให้เต็มตาอีกสักรอบ
“อุ๊ย....น้าสิน....” ดาวใจทำท่าจะร้องไห้
“ขึ้นมาเหอะน่ะ ข้าเห็นหมดแล้ว นมใหญ่ๆ หอยใหญ่ๆของเอ็ง”
ดาวใจอายจนหน้าแดงก่ำ หากแต่จำใจต้องเดินเอามือปิดของลับของสงวนขึ้นมาเอาผ้าถุง
บ่องเอ็นกลางลำตัวแข็งจนเจ็บเสียวท้องน้อย เมื่อได้เห็นเรือนร่างของดาวใจเต็มตาอีกรอบ ถึงแม้จะมีมือปิดบังของลับของสงวนเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ปิดมิดเสียทีเดียว
“ของแข็งเลยกู” สินทรบ่นอุอิในลำคอ
“ขอผ้าถุงฉันเถอะจ้ะ” เมื่อมาอยู่ตรงหน้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านใจร้าย ดาวใจก็ขอร้องแต่โดยดี
“เอามือออกจากหอยจากนมก่อน แล้วข้าจะให้”
“น้าสิน!”
ข้อเสนอนั้นทำให้ดาวใจมองค้อนตาเขียว พลางด่าในใจ ไอ้แก่บ้าตัณหา ไอ้เฒ่าหัวงู ไอ้ลามกจกเปรต
“ยังไง? แอบด่าข้าในใจ งั้นข้าไม่ให้นะ” สินทรว่าพลางทำท่าจะเดินหนี
“ก็ได้!”
ใบหน้างามหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก จำใจเลื่อนมือที่ปิดบังของลับของสงวนออกทั้งน้ำตา
เมื่อได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็นอีกครั้ง สินทรถึงกับทำเสียง จุ๊จุ๊จุ๊! กลืนน้ำลายลงคอ เลียปากแพล็บๆ จ้องสำรวจนวลเนื้อนางด้วยความหื่นกระหายอยู่เป็นนานจึงยอมคืนผ้าถุงให้
ดาวใจรีบรับผ้าถุงมาใส่รัดหน้าอกเอาไว้ทันที
“ส่วนกางเกงในเอ็งข้าขอนะ ถือว่าแลกกันกับผ้าถุง”
“จะบ้าหรอน้าสิน เอาคืนมานะ” สาวน้อยได้ใส่ผ้าถุงแล้วก็ปีกกล้าขาแข็งเข้ายื้อแย่งกางเกงในจากมือสินทร หากแต่เขามือไวกว่าดึงถลกผ้าถุงให้หลุดจากอกอวบอั๋นอีกรอบ
“ว้าย! ไอ้น้าสินบ้า” ดาวใจรีบจับผ้าถุงขึ้นมามัดไว้
สินทรหัวเราะร่า เอากางเกงในตัวน้อยขึ้นมาดม
“โห.... หอยเอ็งหอมใช้ได้เลยนะเนี่ย โตเป็นสาวแล้วโวยไม่มีกลิ่นฉี่แล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆ”
สินทรแกล้งยียวนทะลึ่งตึงตัง พูดทั้งหัวเราะด้วยความพอใจที่ได้เห็นดาวใจหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เป็นถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อายุอานามก็แก่คราวพ่อคราวแม่ฉันแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็ก มิน่าล่ะน้าถึงหาเมียไม่ได้” ดาวใจปากร้ายเอาเรื่อง พูดทีจี้ใจดำสุดๆ
“เออ! ค่อยดูข้าจะไปบอกพ่อแม่เอ็ง ไปบอกทุกคนในหมู่บ้าน ว่าข้าเห็นหอยเอ็งแล้ว คราวนี้แหละ เอ็งได้ข้าเป็นผัวแน่ๆ”
“ให้ตายฉันก็ไม่ยอมหรอก ใครจะอยากได้ผัวแก่ๆ อย่างน้า”
“เอ๊ะ อีนี่! คำก็แก่สองคำก็แก่ ข้าพึ่งจะสามสิบต้นๆ เองนะโว้ย เอ็งดูหุ่น ดูกล้ามข้านี่ เป็นมัดๆ” พูดก็ยืดอก ยกมือขึ้นกำกางเกงในแน่น เพื่อเบ่งกล้ามโชว์
“พวกเด็กหนุ่มยี่สิบต้นๆ ยังสู้ข้าไม่ได้เลย หน้าตาข้าก็หล่อที่สุดในหมู่บ้านล่ะว่ะ”
สินทรได้ทีอวดตัวข่มเด็ก
“ฉันไม่เถียงหรอกว่าน้าหน้าตาดี หุ่นดี แต่นิสัยไม่ดี! รังแกได้แม้กระทั่งเด็กรุ่นลูก”
“ปากดีใส่ข้าฉอดๆ แบบนี้ เอ็งอยากให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นจริงๆ ใช่ไหม ได้...” ว่าแล้วสินทรก็ทำท่าจะเดินหนีไป
“ไม่นะ....อย่านะน้าสิน อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ....”
ดาวใจรีบขอโทษขอโพย เพราะถ้าหากสินทรเอาเรื่องนี้ไปบอกทุกคนจริงๆ มีหวังเธอได้ตกได้แต่งเป็นเมียเขาจริงๆ แน่
ฝ่ายสินทรแสยะยิ้มมุมปาก เมื่อคิดแผนหลอกกินจาวดาวใจได้สำเร็จ
“ถ้าเอ็งไม่อยากให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่เอ็ง แล้วก็ทุกคนในหมู่บ้าน พรุ่งนี้เที่ยงเอ็งต้องแอบไปหาข้าที่เถียงนาของข้า แล้วอย่าให้ใครเห็นนะ! ไม่ต้องถามว่าไปทำไม เพราะถ้าพรุ่งนี้เอ็งไม่ไป เรื่องนี้จะถึงหูพ่อแม่ของเอ็งแน่ๆ”
สินทรรู้อยู่แล้วว่าถ้าเรื่องนี้ถึงหูพ่อแม่กับของดาวใจ เขาจะต้องได้แต่งงานกับเธอตามประเพณีเป็นแน่ แต่ความจริงสินทรไม่ได้อยากได้เด็กรุ่นลูกแบบนี้เป็นเมียจริงๆ จังๆ แค่ขู่หลอกๆ หวังหาเรื่องกินตับเล่นๆ เท่านั้น
"อย่าดื้อนะอีหนู คนดีของพี่กำนัน" "พี่กำนันบ้าอะไร ไอ้แก่!" พระนางลิ้นกับฟัน โคแก่กินหญ้าอ่อน ตีกันตลอด เร่าร้อน หึงโหด โกรธแรง ดราม่าครบทุกรส ตลก เศร้า น่ากลัว ซึ้ง หวาน โรมานติก
หลังสืบรู้ว่าภรรยาเก่าของลูกหนี้ผู้น่ารำคาญคือผู้หญิงแพศยาที่เคยทำให้ครอบครัวของเขาพัง เดปมาเฟียหนุ่มเจ้าของบ่อนคาสิโนจึงไม่รีรอที่จะแก้แค้น ผู้หญิงแพศยาคนนั้นทำเลวไว้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ครั้งล่าสุดก็คือทิ้งลูกสาวกับผู้ชายที่เป็นลูกหนี้ของเขาไปแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐี และตอนนี้ลูกสาวของหล่อนที่อยู่กับลูกหนี้ของเขาโตพอใช้งานได้แล้ว.....
เธอมาเพื่อเงินของเขา ส่วนเขาต้องการแค่สนุก วินๆทั้งคู่ แค่ความสุขฉาบฉวยของผู้ชายขี้เบื่อ และ เงินจำนวนหนึ่งที่หญิงสาวกำลังต้องการ เพียงเท่านั้น... แต่!วันหนึ่งคนขี้เบื่อดันกลัวจะโดนเบื่อซะเอง..
อุตส่าห์ช่วยเหลือเพราะเห็นว่าไร่อยู่ใกล้กัน แต่พี่ชายตัวดีของเธอกลับไม่ยอมคืนเงิน แถมยังร่วมมือกับพวกชาติชั่วเล่นงานเขาอีก "มีเมียเป็นคนใบ้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่น ถอดเสื้อผ้า!!!"
ใครบัญญัติว่าพระเอกต้องเป็นคนดี ในเมื่อผู้หญิงส่วนมากหลงรักคนเลวทั้งนั้น สำหรับเขาก็แค่จะร้ายให้เธอรัก (รวยมากเลวมากใครไม่รักก็ให้มันรู้ไป)
นิยายเรื่องนี้มีพระนาง2คู่ "อย่าหวังจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจับฉัน ผู้หญิงของฉันทุกคนก็สาวบริสุทธิ์ทั้งนั้นแล้วอย่าลืมคุมกำเนิด ถ้าไม่อยากทำแท้ง! เพราะฉันไม่มีทางมีทายาทกับผู้หญิงชั้นต่ำ" VS "อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันต้องได้ แม้แต่ตัวนายถ้าฉันต้องการ นายก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ"
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง