“เธอมีหลักฐานอะไรมาปรักปรำฉัน”
รสสุคนสาวสวยหุ่นดีวัยยี่28เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงที่สุดในออฟฟิศก็ว่าได้ เธอยืนกอดอกมองหน้าคนึงนิจอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“ก็งานที่เธอเสนอวันนี้มันเป็นงานที่ฉันออกแบบ”
คนึงนิจมั่นใจว่ายังไงรสสุคนก็ต้องก้อปปี้งานของเธอไป ไม่อย่างนั้นทุกตัวอย่างที่รสสุคนเสนอที่บอร์ดประชุมและได้หน้าไปวันนี้มันจะเหมือนที่เธอออกแบบทุกชิ้นได้ยังไง
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ามากล่าวหากันลอยๆ อย่ามาทำตัวสก๊อยแถวนี้”
รสสุคนเปรยสายตามองคนึงนิจที่โวยวายเอะอะเสียงดังตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะหันหลังกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานของตนเองอย่างไม่สนใจ
“หนอย..”
เพี๊ยะ “โอ้ยย..”
ด้วยอารมณ์โทสะสาวร่างเล็กจึงเอื้อมมือไปจิกหัวรสสุคน แล้วฟาดมือเรียวไปที่ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์แน่นจนรสสุคนนั้นหน้าหัน
“สก๊อยงั้นหรอถึงฉันจะสก๊อยแต่ฉันก็ไม่เคยหน้าด้านขโมยงานคนอื่นมาเป็นงานของตัวเองหน้าตาเฉยหรอกนะ”
คนึงนิจแค้นรสสุคนมากที่ทำผิดแล้วยังลอยหน้าลอยตา เครื่องประดับที่เธอออกแบบเธออดหลับอดนอนตั้งหลายคืนกว่าจะทำมันเสร็จ แต่รสสุคนดันขโมยงานของเธอไปหน้าดื้อๆทั้งยังได้รับความดีความชอบจากผู้ใหญ่หลายๆคนอีกด้วย
“แก..”
“อะไรกัน”
รสสุคนเงื้อมมือหมายจะฟาดไปที่หน้าของคนึงนิจ แต่ก็ต้องชะงักเอาไว้เพราะได้ยินเสียงของเปรมสุดาหัวหน้าแผนกของพวกเธอดังขึ้นมาก่อน
“โอ้ย..พี่ปุ้ยขาอยู่ดีๆ น้ำขิงก็มาหาเรื่องโรสค่ะ”
รสสุคนเห็นดังนั้นจึงแกล้งเจ็บยกใหญ่เพื่อที่จะให้เปรมสุดานั้นเห็นใจ
“ไปคุยกับพี่ในห้องเดี๋ยวนี้”
เปรมสุดาเรียกทั้งสองเข้าไปคุยในห้องทำงานเป็นการส่วนตัว และแล้วผลก็ออกมาว่าคนึงนิจนั้นถูกไล่ออกที่ไปกล่าวหารสสุคนโดยที่ไม่มีหลักฐานและเริ่มลงมือทำร้ายรสสุคนก่อนด้วย
ชานเมืองนนทบุรี
“เฮ้อ..ไม่น่าใจร้อนเลยเรางานเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งหายากๆ อยู่ด้วย”
ร่างบางสวมชุดนอนตัวยาวสีชมพูออกมานั่งที่ระเบียงบ้านหลังเล็กของเธอ หลังจากที่ทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วดวงตากลมโตตอนนี้ละห้อยห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจอย่างหดหู่ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้...หากเธอชั่งใจในความใจร้อนของเธอได้สักนิด แล้วหาหลักฐานมาเอาผิดรสสุคนชะตากรรมของเธอก็จะได้ไม่เป็นเช่นนี้
คนึงนิจเป็นหญิงสาวตัวเล็กน่าตาจิ้มลิ้มผมยาวสีน้ำตาลหยักศก ผิวขาวอมชมพูหุ่นนาฬิกาทรายเป็นคนที่ชอบแต่งตัวในระดับหนึ่ง เพราะชอบในแฟชั่นเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่น่าทะนุถนอมมาก หากลดความโผงผางตรงไปตรงมาและหัวร้อนง่ายลง แต่แม้เธอจะนิสัยใจร้อนเธอก็ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน เธอเป็นคนที่คนอื่นดูจากภายนอกแล้วจะดูเข้มแข็ง แต่ในใจนั้นก็แอบว้าเหว่อยู่พอสมควร ในชีวิตไม่เคยเกรงกลัวอะไรแต่หลังจากที่เสียพ่อและแม่ไปเธอก็เกลียดและกลัวการสูญเสียเป็นที่สุด
หญิงสาวเรียนจบแฟชั่นดีไซน์มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพ หลังจากที่เรียนจบได้เพียงแค่ปีเดียวพ่อกับแม่ของเธอก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ดีที่พ่อแม่นั้นเหลือสมบัติเอาไว้ให้บ้างตอนนี้เธอจึงไม่ได้ลำบากอะไรมากมายนัก
Rrrrrrr
“ว่าไงดาว อะไรนะ แกรอฉันอยู่นั่นแหละเดี๋ยวฉันขับรถไปรับเดี๋ยวนี้เลย”
สาวเจ้าที่กำลังเหม่อหลุดจากภวังค์ได้ก็เพราะเสียงมือถือที่วางอยู่ข้างๆตัวดังขึ้นและปรากฏเป็นชื่อของเพื่อนรักคนเดียวของเธอ เมื่อวางสายจากเพื่อนที่กำลังมีปัญหาอยู่ในตอนนี้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ผุดลุกวิ่งออกไปขับรถเก๋งสีขาวคู่ใจออกจากบ้านเพื่อไปรับเพื่อนของเธอทันที
ณ ศาลาหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“ฮึก..ฮือๆๆ ..”
เสียงร้องให้กระซิกของหญิงสาวเคล้าคลอกับเสียงรถที่ผ่านไปผ่านมายามหัวค่ำ ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็เหลือบมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาถามหญิงสาวว่าเธอนั้นเป็นอะไร เพราะที่นี่เป็นกรุงเทพมหานครเมืองที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจใครมากนักต่างคนต่างก็เร่งรีบที่จะไปให้ถึงที่หมายเพื่อที่จะพักผ่อนหลังจากทำงานมาทั้งวัน
“ถ้าคุณพ่อยังอยู่ชีวิตของดาวจะไม่เป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่าคะ”
พิมพ์ดาวหญิงสาววัย24ย่าง25เป็นลูกคุณหนูตระกูลไฮโซที่บ้านมีกิจการนำเข้ารถหรู เธอเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วค่อนข้างหัวอ่อนและเห็นอกเห็นใจคนอื่นเสียจนถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ รูปร่างหน้าตาของเธอก็สวยหวานใครเห็นเป็นเอ็นดูกันแทบทุกคน เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กผอมแห้งผมยาวดำตรงสลวยจนถึงกลางหลังใบหน้ารูปไข่คิ้วคมเข้มได้รูปดวงตาคมกลมโตเหมือนลูกแมวน้อยจมูกเล็กตรงเป็นสันริมฝีปากบางเป็นกระจับอมชมพูมีแก้มเล็กน้อยนัยตากลมโตนั้นค่อนข้างเศร้า เพราะแม้นเธอจะเกิดมาเป็นคุณหนูแต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขจริงๆเลยสักครั้งในชีวิตตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่ด้วยแม่เธอเสียตอนคลอดเธอ ส่วนคนเป็นพ่อก็ทำแต่งานปล่อยให้เธออยู่บ้านกับแม่เลี้ยงที่ไม่เคยเห็นเธอเป็นลูก
หลังจากที่พิมพ์ดาวเรียนจบพยาบาลเธอก็ขอออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียวมาเกือบสามปีแล้ว โดยให้เหตุผลกับคนเป็นพ่อว่าอยากอยู่ใกล้ที่ทำงานแต่ความจริงแล้วเธออึดอัดที่จะอยู่บ้านกับแม่เลี้ยงที่เอาแต่กีดกันเธอกับพ่อของเธอมากกว่า..การอยู่ข้างนอกแม้คนเป็นพ่อจะนานๆ มาหาทีแต่เธอก็ยังมีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อของเธอมากกว่าตอนที่มีแม่เลี้ยงอยู่ด้วย
แต่ตอนนี้พ่อของเธอได้จากไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คราแรกคิดว่าเธอจะไม่ต้องเกี่ยวพันอะไรกับแม่เลี้ยงของเธออีกแล้วแต่แม่เลี้ยงของเธอก็ยังหาเรื่องมาทำให้เธออึดอัดใจอีกจนได้ คือให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักเพื่อเป็นการใช้หนี้ที่แม่เลี้ยงเธอก่อเอาไว้..ตอนนี้เธอเลยต้องตัดสินใจที่จะหนีเลยโทรให้คนึงนิจเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ประถมมารับ
คนึงนิจจอดรถที่ข้างถนนเลื่อนกระจกมองเข้าไปในศาลาริมทางเห็นหญิงสาวใส่ชุดเดรสยาวสีขาวข้างๆตัวมีกระเป๋าใบใหญ่มั่นใจแล้วว่านั่นเพื่อนเธอจึงรีบลงจากรถและเดินเข้าไปหา
“แกหยุดร้องให้แล้วบอกฉันก่อนว่าทำไมแกถึงหนีออกมาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้”
“แม่ฉันจะให้ฉันแต่งงานใช้หนี้แต่ฉันไม่ได้รักคุณณัฐ”
มือน้อยของพิมพ์ดาวปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเพื่อนสาวด้วยอาการสะอึกสะอื้น
“ไปๆ ขึ้นรถก่อน”
คนึงนิจรีบช่วยเพื่อนเธอลากกระเป๋าลงจากศาลาข้างทางแล้วรีบขับรถออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว
“คนแบบนั้นแกไม่น่ายกให้เป็นแม่นะ..ตั้งแต่พ่อแกเสียฉันนึกว่าแม่เลี้ยงจะเลิกยุ่งกับแกแล้วเสียอีกตัดสินใจหนีออกมาก็อย่ากลับไปอีกล่ะ”
คนึงนิจใช้เวลาขับรถพักใหญ่จึงพาพิมพ์ดาวกลับมาถึงบ้านหลังเล็กของเธอ ทั้งยังเจ็บใจแทนพิมพ์ดาวเรื่องแม่เลี้ยงของเพื่อนเธอที่หาแต่เรื่องมาให้เพื่อนเธออึดอัดใจ