เป่ยฟางหรงคือจิตมารที่กำเนิดใหม่ในร่างขององค์หญิงน้อยแห่งแดนเหมันต์ เนื่องจากยังมีบุญบารมีหลี่จิ้งเทพอัคคีจึงได้รับคำสั่งให้มาเป็นอาจารย์ของนางเพื่อสั่งสอนไม่ให้นางมุ่งไปสู่ฝ่ายอธรรม ศิษย์และอาจารย์จึงลงมาจุติบนโลกมนุษย์เพื่อฝ่าด่านเคราะห์และขัดเกลาจิตใจ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าท้ายที่สุดนางก็ยังเป็นมาร เขาผู้เป็นอาจารย์จำเป็นต้องสังหารนางทิ้งเสีย....
กลีบบุปผาร่วงโรยโบกโบยพัดผ่าน ดอกไม้สวรรค์เบ่งบาน พลอยทำให้ใจสดใส เสียงเพลงหวานกังวานดังเป็นสาย ยามนางสวรรค์เยื้องกราย เต้นรำกลิ่นหอมกรุ่นโชยพาใจสั่นไหว
เงาสูงร่างหนึ่งนั่งโดดเด่นงามสง่า ในอาภรณ์สีแดงเพลิงสะดุดตา ทำให้เซียนสาวน้อยใหญ่ ทั้งชั้นต่ำชั้นสูง ต่างลอบมองด้วยใบหน้าแดงซ่าน
หลี่จิ้งหาได้สนใจผู้ใด การมาร่วมงานเลี้ยงในครานี้ ก็เพราะคิดจะผ่อนคลายหลังจากกลับมาจากสยบปีศาจกระทิง แต่เมื่ออยู่ในงาน กลับพบว่าที่นี่ยิ่งน่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าการสังหารปีศาจเสียอีก
เบื้องหน้าของเขาคือธิดาสวรรค์ผู้งดงาม กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย กระทั่งหลายนางแอบลอบส่งสายตาให้เขา หลี่จิ้งได้แต่ส่ายหน้า หลบสายตานางเหล่านั้น สูงขึ้นไปคือองค์เง็กเซียน ด้านข้างคือสหายเทพจี้กงที่ขยันเอ่ยวาจา อีกทั้งยังขยันยกจอกสุรายิ่งกว่าผู้ใดในงาน
"หลี่จิ้งซ่างเสิน สุราไม่ถูกปากหรืออย่างไร ถึงได้ทำท่าทางเบื่อหน่ายเช่นนั้น"
สหายเทพจี้กง ผู้อยู่ในอาภรณ์ผ้าไหมงดงามเอ่ยถาม คนผู้นี้ปกติวัน ๆ เอาแต่ทำตัวเป็นขอทานในแดนมนุษย์ อารมณ์ดีหน่อยก็มาสั่งสมบารมี ช่วยคนปราบปีศาจ เมื่อมีงานเลี้ยงจึงจะกลับสวรรค์มาดื่มกินสักที หมดงานก็ลงไปขลุกอยู่ที่แดนมนุษย์เช่นเดิม
แต่เขาเป็นเทพปีศาจ ที่แดนมนุษย์ล้วนเป็นหน้าที่ของพวกเซียนชั้นต่ำ ที่ยังต้องบำเพ็ญเพียร เขามักจะแย่งงานเซียนเหล่านั้น จนถูกร้องเรียนบ่อยครั้ง
เทพจี้กง อย่างไรก็คือเทพชั้นสูง องค์เง็กเซียนตักเตือนแล้วอย่างไร เขาเพียงแต่พูดว่า พวกนักพรตผู้บำเพ็ญตนฝีมือไม่ถึงขั้น หากปล่อยปีศาจไว้นาน พวกนี้จะดูดกลืนวิญญาณมนุษย์ กลายเป็นปีศาจชั้นสูง ตอนนั้นสวรรค์ก็คงวุ่นวายแล้ว
องค์เง็กเซียนจึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่ง เพราะแอบเห็นด้วยกับเขาเช่นกัน แสร้งตักเตือนไม่ให้เหล่าเซียนพวกนั้นครหา
เหตุใดหลี่จิ้งจะไม่รู้ว่า เทพจี้กงเบื่อหน่ายสวรรค์เพียงใด ฝีมือเทพจี้กงไม่ดีพอที่จะปราบปีศาจร้ายของสวรรค์ จึงว่างงาน เมื่อว่างมากจึงลงไปหาอะไรทำในโลกมนุษย์ งานปราบปีศาจชั้นต่ำทำแล้วสนุกดี เขาจึงติดใจก็เท่านั้น หาได้มีจิตเมตตาคิดสั่งสมบารมีแต่ประการใด
"ดื่มสุราของท่านไปเถิดอย่าใส่ใจข้าเลย"
"ท่านเป็นเทพอัคคีมิใช่หรือ เหตุใดจึงเย็นชาเช่นนี้ ไม่คิดว่าผิดปกติวิสัยเทพแห่งไฟไปหน่อยหรือ เห็นท่านมองเทพธิดาที่ร่ายรำแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เป็นคนอื่นเห็นคงคิดว่าท่านเป็นองค์ราชาแห่งแดนเหมันต์เป็นแน่ เยือกเย็นไร้ความรู้สึกยิ่งนัก หรือไฟในกายของท่านจะดับมอดแล้ว ไม่คึกคักดังเดิมช่างน่าสงสารยิ่งนัก"
หลี่จิ้งยิ้มน้อยไม่ต่อปากต่อคำกับเทพช่างพูด ถึงเป็นสหายแต่หลี่จิ้งถนัดฟังมากกว่า รอยยิ้มนั้นก็ดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง เขาก้มหน้าดื่มสุราต่อเมื่อยกจอกจดปากกลับพบว่าสุราในจอกกลายเป็นน้ำแข็ง ลมเย็นพัดวูบมาอย่างแรงหอบหนึ่งแรง พอจะทำให้ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง
"เกิดอาเพศอันใดขึ้นแดนสวรรค์อันอบอุ่นจึงได้มีลมเย็นพัดหอบมาเช่นนี้"
องค์เง็กเซียนแปลกพระทัยไม่น้อย ถึงขนาดลุกขึ้นจากที่ประทับ เพ่งดวงจิตดูความเป็นไปชั่วครู่ กระทั่งพระองค์ลืมพระเนตรขึ้นสิ่งที่พระองค์เห็นนั้นคือหิมะขาวโพลนแผ่ขยายปกคลุมไปทั้งดินแดน
ลมพายุหิมะพัดมาอีกหอบหนึ่ง พร้อมกับเสียงของเด็กร้องจ้า พริบตาต่อมาแดนสวรรค์ทั้งหมดกลับถูกแช่แข็ง ทวยเทพทั้งหมดที่มางานเลี้ยงดอกสวรรค์บานครานี้ ต่างมีร่างแข็งค้างทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว ความเงียบเข้าปกคลุม ทันใดพลังหิมะอันรุนแรงจนทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้คือสิ่งใดกัน
"ฝ่าบาท" กระทั่งเสียงของเทพผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
"หลี่จิ้งซ่างเสิน คงเป็นท่านสินะที่ทนพลังนี้ได้ สมแล้วที่เป็นเทพอัคคี"
หลี่จิ้งอยากจะหัวเราะ หากเขาถูกแช่แข็งเหมือนเทพองค์อื่น คงขายหน้าไม่น้อย โชคดีที่ไฟในตัวเขาร้อนแรงยิ่งจึงไม่เป็นอันใด จู่ ๆ ก็รู้สึกภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตนเอง อย่างน้อยก็ลบคำสบประมาทของสหายเทพจี้กง ที่ดูถูกว่าเขาไม่ร้อนแรงลงไปได้ คราวนี้เทพจี้กงคงรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
"เกิดสิ่งใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ" เขากระแอมแล้วเอ่ยถาม
"เกรงว่าปฐมวิญญาณ ที่หลุดไปของดาวมาร จะถือกำเนิดแล้ว ซ่างเสินได้ยินเสียงร้องของเด็กหรือไม่"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"ที่เราตามหากันมาตลอดว่า ปฐมวิญญาณหลุดหายไปที่ใด บัดนี้ข้าได้คำตอบแล้ว"
"ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ"
"แดนเหมันต์ เพียงเสียงร้องไห้ของนาง ที่ถือกำเนิดจิตมารทั่วพื้นพิภพก็ตอบรับอย่างยินดี ก่อเกิดเป็นพลังอันใหญ่หลวงพัดหอบความหนาวเย็นไปทั่วสามภพ เกรงว่าตอนนี้คงจะถูกแช่แข็งกันแล้ว"
องค์เง็กเซียนนั่งลงยังที่ประทับ ด้วยใบหน้าที่ดูไม่กังวลนัก หลี่จิ้งขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าองค์เง็กเซียนยังยกจอกสุราขึ้นดื่ม แต่อย่างไรเล่า ในเมื่อทุกสิ่งแข็งไปหมดแล้วแม้แต่สุราในจอกของพระองค์
เง็กเซียนเงยพระพักตร์ขึ้น มองเขาพลางแย้มพระโอษฐ์
"หลี่จิ้งซ่างเสินรับราชโองการ"
หลี่จิ้งคุกเข่าประสานมือเข้าด้วยกัน ก้มใบหน้าเล็กน้อย คาดว่าคงได้รับภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อสามภพเป็นแน่ เขาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
"ใช้ไฟโลกันตร์ของเจ้า....อุ่นสุราให้ข้าสักกา สงสัยข้าแก่แล้วไฟในกายเริ่มดับมอด ทำอย่างไรก็ละลายน้ำแข็งอันทรงพลังของดาวมารไม่ได้"
หลี่จิ้ง "..."
หนึ่งร้อยปีต่อมา
เพราะเป็นหิมะที่เกิดจากจิตมารอันแข็งแกร่งกว่าเทพอัคคี หลี่จิ้งจึงใช้เวลากว่าร้อยปีเพื่อละลายน้ำแข็งจนหมดสิ้น สรรพสิ่งเกิดใหม่ โลกมนุษย์กลับสู่ความสงบได้ไม่นาน เผ่ามารถือกำเนิดดวงวิญญาณชั่วร้ายน้อยใหญ่ เล็ดลอดจากการถูกจับสร้างความเดือดร้อนให้เผ่ามนุษย์
กว่าจะทำงานใช้แรงงานสำเร็จ ก็เหนื่อยมิใช่น้อย เทพอัคคีจึงคิดว่า ต่อนี้อีกสามร้อยปี เขาจะไม่ทำสิ่งใดอีก เรื่องปราบมารปราบปีศาจก็ยกให้เป็นหน้าที่ของทัพสวรรค์ไป คงต้องถึงเวลาลาพักร้อนเพื่อฟื้นฟูดวงจิตอันเหนื่อยล้าของตนเอง
เมื่อกลับมายังตำหนักสุริยันได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยน้ำชา กิเลนไฟน้อยถงถงสัตว์เทพรับใช้ของเขา ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
"นายท่านขอรับ ท่านเทพหยีหนิงพร้อมด้วยเทพเซียนนับสิบ นำพระบัญชาองค์เง็กเซียนมาขอรับ บัดนี้อยู่ด้านหน้าตำหนักแล้ว"
เป็นที่รู้กันดีว่าตำหนักสุริยันของเทพอัคคี ล้วนรายล้อมด้วยไฟโลกันตร์หากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แม้จะเป็นเทพเซียนชั้นสูง ก็อาจจะถูกไฟโลกันตร์เผาดวงจิตจนแตกดับ ดังนั้นตำหนักสุริยันต์ จึงเป็นตำหนักต้องห้ามของเทพทั่วไป ที่แทบจะไม่มีใครย่างกายเข้ามา
"นี่ฝ่าบาท จะไม่ให้ข้าพักเลยหรืออย่างไร ทั่วทั้งแดนสวรรค์นี้ หาได้ไร้ซึ่งเทพที่เก่งกาจมากมาย เหตุใดจึงมีพระราชโองการมาถึงข้าอีก"
หลี่จิ้งที่อ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ดวงตาแทบจะไฟลุก เขาเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ยังจะได้รับคำสั่งอันใดอีก แทบจะให้คนไปจับโยนเทพหยีหนิงออกจากตำหนัก
กิเลนไฟรู้อารมณ์เจ้านายเป็นอย่างดี เขาไม่รู้ว่าเทพหยีหนิงนำสิ่งใดมา แต่คิดว่าการที่ตนเองทำงานสำเร็จ เทพอัคคีมักให้รางวัลเป็นน้ำพุเย็นแห่งสระเหมันต์ อันหายากหาเย็นอยู่เสมอ บัดนี้เทพอัคคีทำงานใหญ่สำเร็จ ช่วยให้สามภพหลุดพ้นจากการถูกแช่แข็งย่อมได้รับรางวัล เขาจึงพูดออกไป โดยยึดเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่
"อาจจะพระราชทานรางวัลก็เป็นได้นะขอรับ หรือไม่ก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์จะยกให้ท่านเพื่อบำเพ็ญเพียร"
เทพอัคคียกมุมปาก คำกล่าวของเจ้ากิเลนน้อยถงถง มีเหตุผลอยู่มาก เรื่องนี้เขาเปรยกับฝ่าบาทออกมาแล้ว พระองค์น่าจะทรงจดจำได้ ใบหน้าของเทพอัคคีพลันเปลี่ยนสี ถงถงเหมือนจะไม่เห็นเพลิงไฟในดวงตาของเจ้านายแล้ว
"แดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อกักตนหรือ อาจจะเป็นได้ข้าเหนื่อยล้ายิ่ง ร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่จะหยุดมือเลย เช่นนั้นเจ้ารีบเปิดทางนำเชิญราชโองการเถิด"
"ขอรับ"
หมายเหตุ ซ่างเสิน คือตำแหน่งเทพชั้นสูงบนแดนสวรรค์
สาเหตุที่เขาได้ดูแลเด็กคนนี้นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ของเอยและพี่ชายของเอยเป็นเพื่อนสนิทของเขา ครอบครัวเอยจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เอยอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น ญาติของเอยก็ไม่มีใครเหลียวแลทำให้เขาซึ่งสนิทกับครอบครัวของเอยที่เห็นเอยมาตั้งแต่เล็ก ๆ เกิดความสงสารจึงได้ขอให้พ่อแม่ของเขารับเอยมาเลี้ยงดู และพ่อแม่ของเขาก็ตกลง หลังจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จึงทิ้งให้เขาและเอยอยู่ด้วยกันที่เมืองไทยตามลำพัง นับตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นพี่ชายของเอยเต็มตัว แต่วันนี้เมื่อเอยโตขึ้น เธอกลับไม่เห็นบุญคุณและคิดจะจากเขาไปง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่นับวันเขาจะรักเธอจนกระทั่งถอนตัวไม่ขึ้นและเฝ้ารอเธอเติบโตมานานขนาดนี้ ++++++ “อ๊า...เฮียอย่านะ อย่าทำหนู” สาวน้อยส่งเสียงครางเล็ดลอดออกมาเพราะความเสียวซ่าน และเอ่ยห้ามแต่น้ำเสียงของเธอคล้ายกระตุ้นเขายิ่งขึ้นไปอีก “เอยอยากใช่หรือเปล่า หนูก็ต้องการเฮียใช่ไหม” “ไม่...อย่านะเฮีย หนูไม่ได้ต้องการเฮีย เฮียเป็นพี่ชายหนูนะ” “ต่อไปเฮียจะเป็นผัวหนู แล้วจะเอาหนูแรง ๆ ให้หนูไปไหนไม่ได้ต้องร้องหาเฮียเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้เอยหวาดกลัว แต่ในความรู้สึกนี้กลับมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างประหลาด หญิงสาวผลักเขาออกเมื่อธนเดชดึงชุดนอนของเธอจนขาด แต่แรงของเขามีมากกว่าตอนนี้เธอจึงยืนเปลือยต่อหน้าเขา เอยยืนน้ำตาไหลพราก เมื่อเขาเห็นเขาจึงเหยียดยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “ฉันเกลียดแก อื้อ อื้อ”
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
องค์หญิงใหญ่รั่วเสียน ต้องปกป้องบัลลังก์ของน้องชายที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงแค่ 4 ขวบ ดังนั้นนางจึงต้องหาทางมัดใจเสนาบดีกัวผู้กุมอำนาจราชสำนักเอาไว้ให้ได้ ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่ต้องการแต่งงานกับนาง เขายังทำตัวดั่งบิดาหาบุรุษไว้ให้นางอีก รั่วเสียนจึงต้องฝึกฝนการยั่วยวนเขาเพื่อหาวิธีมัดใจบุรุษผู้นี้เอาไว้ให้ได้ และนางก็ต้องตกใจเมื่อเสนาบดีกัวกลับมีถึงสองคน! +++ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายจีนโบราณประเภทนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นเรื่องแต่งขึ้นจากจินตนาการไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ดังนั้นภายในจะมีฉาก เนื้อหา เน้นหนักที่เรื่องเพศระหว่างชายหญิง มีการร่วมรักกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (3P) และอาจมีความไม่สมเหตุสมผลบ้าง ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
คำโปรย หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต จูเมยได้ถูกท่านอาบุญธรรมรับเลี้ยง ท่านอาผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเมตตา ได้กลายเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งในชีวิตนาง หัวใจที่อ่อนโยนของจูเมยเริ่มเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้ท่านอา แต่ท่านอาคิดอย่างไรกับนางกันแน่? หรือว่าความรักนี้เป็นเพียงความรู้สึกที่นางมีอยู่เพียงฝ่ายเดียว? เมื่อหัวใจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน จูเมยกลับรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้ "ท่านอา...อย่าดีต่อข้ามากนักได้หรือไม่" นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักจีนโบราณ มีดราม่าเล็กน้อยช่วงเริ่มต้น จบสุขนิยม ไม่มีนอกกายนอกใจ เป็นความรักฟิน ๆ ระหว่างท่านอาและหลานสาว(บุญธรรม)ตัวน้อยของตนเอง
เรื่องย่อ จื่อเม่ยเป็นนักเขียน และได้เข้าไปอยู่ในนิยายที่ตัวเขียนเขียนเอาไว้ในฐานะตัวประกอบในนิยายที่ออกมาเพียงสองตอนก็ตาย นางถูกตัวร้ายกักขังเอาไว้ในจวน เจื่อเม่ยรู้ว่าเขาต้องตายและจำทำให้นางตายไปด้วย นางจึงต้องหาวิธีหนีจากเขาเพื่อเอาตัวรอด! นิยายเรื่องนี้เป็นแบบสุขนิยมนะคะ พระเอกจะธงแดงในตอนแรก ๆ เพราะนางเป็นตัวร้ายตามเนื้อเรื่องนะคะ หลังจากนั้นก็รักเมียที่สุดในโลกค่ะ ไม่มีนอกกายนอกใจค่ะ แนะนำตัวละคร จื่อเม่ย นักเขียนที่ย้อนไปอยู่ในโลกนิยายในร่างของอนุจื่ออิน จื่ออิน อนุของตัวร้ายที่ออกมาแค่สองตอนก็ตาย และคนที่จื่อเม่ยมาใช้ร่างกาย ซีเฉิน / องค์ชายสี่ /ซีอ๋อง ตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ ซีหลาน บุตรชายอายุ 5 ขวบของตัวร้าย รั่วหนิง พระชายาที่ซีเฉินไม่เคยเหลียวแล เหล่าหลง และ เหล่าอี้ องครักษ์ฝาแฝดของซีเฉิน ผู้จงรักภักดี ซีกุ้ยเฟย แม่ของซีเฉิน นางมีความแค้นที่ฝ่าบาทเคยทอดทิ้ง จึงคิดจะแก้แค้นทุกคนและสั่งสอนให้ซีเฉินบุตรชายชิงบัลลังก์ หยางโจวซือ / องค์ชายหก / หยางอ๋อง พระเอกของเรื่องที่จื่อเม่ยวางเอาไว้ในนิยาย
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"