เสียงสวบสาบระมัดระวัง ลมวูบพัดผ่านหน้า สาวเสื้อขาวกระโปรงดำเดินผ่านไป ศูรย์อารมณ์กรุ่นกลายเป็นเบื่อเผลอมองตามหลัง ตัวเล็ก ผมสีน้ำตาลรวบหลวมๆ ไว้เหนือศีรษะเป็นก้อนกลมเหมือนซาลาเปา ทำไมผู้หญิงชอบทำทรงนี้กัน ศูรย์เห็นไม่เรียบร้อยเลย ดูนั่นสิ ... ไรผมบางตกลุ่ยเคลียลำคอ แนบผิวนอกเสื้อขาวเหลืองนวล เธอหยุดยืนหน้าชั้นหนังสือ หันข้างให้เขา อ้อ! พี่เต้นไก่ย่างหน้าทะเล้นคนนั้นนั่นเอง วันนี้ไม่มีสีเลอะแล้ว หน้าผากเคยคาดผ้าขาวเขียนตัวอักษรตลกๆ ก็เกลี้ยงเกลา มือบางมีริสแบนด์และเชือกถักหลากสีสองสามเส้นบนข้อ สอดหนังสือคืนสู่ชั้น อาทิตย์บ่ายส่องลอดหน้าต่างเลยมาไล้ร่างที่ยืน กระจกกรองแสงสะท้อนต้องวงหน้าละมุน เรียวคิ้วเป็นระเบียบ ขนตาแพหลุบต่ำพินิจหนังสือ จมูกไม่โด่งมาก ริมฝีปากสีธรรมชาติเคลือบลิปมันขึ้นประกายนิดๆ ศูรย์เพลินมองเรื่อยจนถึงไรผมสีจาง ทอประกายเป็นเส้นสายใสน้ำตาลทอง ดังรูปวาดสีน้ำมันชิ้นเอกของจิตกร ... ภาพที่เหมือนไม่มีอยู่จริง เขาฝันทั้งลืมตาตื่นหรืออย่างไร “โทษทีที่ช้า” ตาวตบบ่า เป็นดังสัญญาณปลุก “อย่าทำหน้างี้ดิวะ มึงโกรธเหรอ เออ! เดี๋ยวกูเลี้ยงขนม” เพื่อนหน้าแหยกับสายตาจ้องเขม็ง ศูรย์ขมวดคิ้วเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ฝัน หันไปทางชั้นหนังสือ รุ่นพี่สาวผมทรงซาลาเปาหายตัวไปเสียแล้ว “ไปไป๊! อยากยืมหนังสืออะไรก็หอบไปเคาน์เตอร์บรรณารักษ์ กลับไปอ่านที่หอดีกว่า มีของเด็ดให้ดู” แล้วคนมาช้ากว่าเวลาก็ลากไป เขาคิดว่าภาพเมื่อครู่อาจเกิดจากตาลายอ่านหนังสือมากไป มองผู้หญิงธรรมดาๆ นอกสายตา ‘ดูดี’ เกินจริง
คุณเคยมีเรื่องอายไหม เรื่องที่ว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าให้คะแนนล่ะก็ ... เรื่องของเธอคงได้มากสุด แต่เป็นในแง่ความอับอายนะ
เสียงริงโทนโทรศัพท์เพลง ‘ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้’ แผดดังขึ้น บุ้งปรายตามองนิดหนึ่งแล้วคว้าหมอนบนเตียงมาอุดหู
... ริงโทนเสียงพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อเพื่อนสาวโดยเฉพาะ
ตอนนี้ไม่มีอารมณ์รับ อายจนไม่กล้าแม้ส่งเสียงกับเจ้าเครื่องมือสื่อสาร
โดเรมอน... บุ้งไม่เคยอยากมีตัวการ์ตูนโปรดเป็นผู้ช่วยได้เท่านี้เลย เธออยากนั่งเครื่องย้อนเวลากลับไป ... ยับยั้งสิ่งที่ทำ
แค่นึก ...ใบหน้าขาวยามมองเธอก็พาให้อยากตาย
เรื่องราวเริ่มต้นในช่วงเปิดเทอมใหม่
“ปีนี้เด็กแพทย์มีเจ๋งๆ มาด้วย”
เพื่อนหัวใจสาวแต่กายชายจีบปากคอเล่า
“ก็เห็นแกว่าเจ๋งทุกปี นั่นแหละ นังเขียว”
‘เขียว’ ผู้พยายามบังคับให้ทุกคนเรียก ‘กรีน’ แต่ไม่สำเร็จ ... ค้อนประหลับประเหลือก
“คนนี้ของจริงโปรไฟล์เริ่ด”
และเธอก็ได้เห็นคน ‘โปรไฟล์เริ่ด’ ของเพื่อนสาว
‘หล่อ’
คำจำกัดความสั้นที่ตัดสินทุกอย่าง
“น้องเขาชื่อศูรย์”
เขียวทำตัวเป็นผู้สื่อข่าว ... เล่าประวัติ
“สูน! แบบเลขศูนย์อ่ะนะ”
คนฟังเสียดาย หนุ่มชื่อเลขไร้ค่าแต่คะแนนความหล่อมาดดีมาเต็มร้อย
“บ้าย่ะ หล่อนเนี่ย” คนเล่าเอ็ดค้อน
“ศูรย์ ที่แปลว่าพระอาทิตย์ต่างหาก ภาษาไทยแบบกวี หัดเรียนรู้ไว้ซะบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ไปคลั่งโอปป้าเกาหลี”
เหน็บแนมพร้อมสั่งสอนความภูมิใจในชาติพอประมาณ บุ้งนึกถึงวิชาภาษาไทย เวลาบรรยายพระเอก
... รูปลักษณ์องค์งามดังอาทิตย์ พ่อแม่ช่างตั้ง เจ้าของชื่อเจิดจ้าทอประกายสดใสวิ้ง ยามยิ้ม
เขาช่างเหมาะกับภาพลักษณ์เจ้าชาย รูปร่างสูงสง่า คิ้วเข้ม ผิวขาว หล่อสะอาดสไตล์คุณหมอ สาวๆ ปลื้มเขาทั่วทั้งมหาวิทยาลัยไม่เว้นแม้กระทั่งเธอ
... ใครบ้างไม่ชอบคนหล่อ อะไรเจริญตา มองแล้วสบายใจ คนก็ต้องมอง บุ้งอยู่ในข่ายนั้น เธอจึงปลื้มหนุ่มรุ่นน้องไปตามประสา
“นี่! รู้ไหม น้องฟางไปสารภาพรักกับเขาล่ะ”
หลายเดือนถัดมา เขียวคาบข่าวเด็ดรายงาน เรียกความสนใจจากกลุ่มนั่งโต๊ะหินอ่อนได้ชะงัก
“น้องฟางที่เป็นดาวมหาลัยเหรอ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
เพื่อนสาวตัวจริงหลายคนอุทานเสียงหลง เธอนึกถึงหน้าขาวใสน่ารักของรุ่นน้องดาวมหาวิทยาลัย
“ขอจิบน้ำก่อน คอแห้ง วิ่งมานะเนี่ย”
นักข่าวเฉพาะกิจลอยหน้าลอยตา หยิบแก้วน้ำอัดลมดื่มท่ามกลางเสียงบ่นอุบอิบอยากรู้ต่อ
“เล่าสิเป็นยังไง”
บุ้งเผลอถามลืมตัว เขียวยิ้มพราย
“สบายใจได้ หนุ่มโปรไฟล์เริ่ดของเรายังไม่ถูกชะนีคนไหนแผ้วพาน”
คำตอบนั้นทำเอาบรรดาสาวๆ ดีใจ ... ผู้ชายโสดให้ปลื้มฝันถึงมีน้อย ขืนมีแฟนแล้วก็หมดสนุกกันพอดี ... ความฝันเหี่ยวแห้ง ต่อมจินตนาการไม่ทำงาน
“เขาปฏิเสธน้องฟางยังไง” ยังมีสงสัยถามต่อ
“ก็เหมือนเดิม”
เขียวว่าพลางกระแอมดัดเสียงเลียนแบบ ... ประโยคเด็ด
“ขอโทษนะครับ ผมก็มีรสนิยมของผมเหมือนกัน”
เรียกกรี๊ดดังลั่น ... จะไม่เลื่องลือเลยหากไม่ได้ออกมาจากปากคนหล่อ
“หมั่นไส้”
บุ้งบ่นมุกเดิมในการปฏิเสธ มีคนชอบศูรย์เยอะ ใครกล้าบอกความในใจหน่อยมักเจอประโยคนี้ ... จนแล้วจนรอด ยังไม่มีใครเคยเห็น ผู้หญิงตามรสนิยมดังเขาว่า
การฝันถึงใครสักคนในคณะที่แห้งแล้งคนหล่อ เป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางวันบุ้งคิด เธอคุยกับคนหรือคอมพิวเตอร์มากกว่ากัน การเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์นั้นหนักและกินเวลาเกือบทั้งหมดในชีวิต
“กูจะอ้วกออกมาเป็นภาษาจาวา”
เพื่อนหนุ่มคราง
“อ้วกออกมาเลยมึง กูจะได้ไปคุ้ยว่ามีอะไรที่พอเป็นไอเดียให้ได้มั่ง”
อีกคนต่อให้
“เฮ้ย ! ใครเอาหนังโป๊บ้าง โหลดบิทเสร็จแล้วจะไร้ท์แจก แต่เอาแผ่นมาเองนะโว้ย”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดัง หลังจากนั้นเธอเห็นเพื่อนผู้ชายร่วมสาขาเกือบค่อนห้องเดินสวบๆ ไปทางต้นเสียง
นี่แหละผู้ชายในความเป็นจริงของเธอ ถ้าไม่เนริ์ดบ้าคอมพิวเตอร์ ติดเกม สนใจการ์ตูนอนิเมชั่น ก็ออกแนวหน้าหม้อ เจ้าชู้จีบไปเรื่อย
... เหลือพอจะทำยาได้หน่อยโดนคนอื่นโฉบไปหมดแล้ว
เสียงริงโทนเงียบลง ชะรอยคนโทร.คงรู้ว่าเจ้าของเครื่องไม่รับแน่ แต่คราวนี้เป็นเสียงข้อความไลน์เข้าแทน
หญิงสาวยกหมอนออกเปลี่ยนเป็นหนุนรองศีรษะ มือก่ายหน้าผาก นึกถึงทฤษฎีสาวในรสนิยมของศูรย์ ซึ่งมีหลายข้อสันนิษฐาน
“น้องเขาเคยอกหัก”
นี่เป็นทฤษฎีแรก ... แต่มีเสียงค้าน
“หล่อออกขนาดนี้เนี่ยน่ะ ไม่มีทางอกหักหรอก จะไปหักอกใครมากกว่า”
“หรือน้องเขาชอบคนอายุมากกว่า”
ทฤษฎีสองตามมาติดๆ เสียงค้านยังมิวายลอดต่อ
“เป็นไปไม่ได้ คณะแพทย์มีรุ่นพี่สวยๆ ตั้งเยอะ พร้อมทอดสะพานให้อีก แต่น้องไม่ยักกะสน”
“หรือเขาเป็นเกย์”
ทฤษฎีนี้มาแรงและเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาสาวๆ แต่ผู้รู้ตัวจริงเบรคไว้ก่อน
“ไม่ย่ะ ฉันคอนเฟริ์ม ผีย่อมดูผีด้วยกันออก น้องเขาน่ะแมน”
เรื่องรสนิยมผู้หญิงของศูรย์เป็นปริศนามาจนกระทั่งเขาขึ้นปีสอง
แล้วเมื่อไหร่กันนะที่บุ้งได้เห็นเขาใกล้ๆ เธอนอนคิด ... ครั้งแรกก็ในห้องสมุด
เขียวบอกให้เธอเข้าไปรอในห้องสมุดก่อน ตัวเองจะแยกไปรับนิตยสารที่ฝากเพื่อนซื้อ เล่มนี้ขายดีมาก เพราะพระเอกละครหุ่นแซ่บเปลือยอกขึ้นปก
“หายากและลิมิเต็ดเอดิชั่น”
เจ้าตัวเล่าก่อนหน้าบานออกไป ห้องสมุดยามบ่ายร้างผู้คน แม้เครื่องปรับอากาศเย็นแต่นักศึกษาหลายคนจำต้องเข้าห้องเรียนก่อน
บุ้งเลือกมุมสงบ ไม่มีใคร โต๊ะตัวหน้าก็ว่าง หยิบนิตยสารอาหารอ่านแก้เบื่อ
... ยิ่งมองยิ่งหิว ... ยิ่งดูยิ่งเรียกน้ำย่อย เขียวกลับเธอชวนเขาไปกินน้ำแข็งใสดีกว่า ของว่างยามบ่ายสักถ้วยก่อนกลับบ้าน เดินเม้าท์กันแปบเดียวก็หมด
เพลินคิดนิดเดียวโต๊ะด้านหน้าไม่ว่างแล้ว หลังกว้างในเสื้อขาวเรียบกริบปรากฏขึ้น ห้องเงียบจนได้ยินเสียงพลิกกระดาษ มือใหญ่ลูบท้ายทอย ...ขาวตัดกับปลายผมดำสนิท หวีเข้าเป็นทรงแนบลำคอ ไม่กระเซอะเซิงรุ่ยร่ายเหมือนเพื่อนร่วมชั้นบางคน
ผู้ชายเนี้ยบขนาดนี้ อยู่คณะอะไรนะ เป็นเก้งกวางเหมือนเพื่อนหรือเปล่า ชายแท้เดี๋ยวนี้ดูยาก เขียวบ่นบ่อยๆ
คนมาดดีมักเจ้าชู้ตัวพ่อหรือไม่ก็เป็นของผู้หญิงคนอื่น ... เขาคงเป็นประเภทหล่อเลือกได้ มีตัวเลือกเยอะ ในโลกที่ประชากรหญิงมากกว่าชาย
สายตาและความคิดเธอดังมีพลัง เหมือนโดนดึงดูดอย่างแรง คนเนี้ยบที่กำลังสงสัยว่าเป็นชายแท้หรือไม่ ผินเสี้ยวหน้ามา ลมหายใจดังขาดห้วง บุ้งแทบลืมกระพริบตา ศูรย์!
ตั้งแต่ฉันได้กุหลาบสีม่วงมาอย่างบังเอิญ ฉันก็เริ่มฝันถึง อัศวินชุดดำ แม่มดในกระท่อม แมวดำ ความตายสีเพลิง ...และดวงตาสีฟ้าปริศนาที่ทำใจเต้นแรงคู่นั้น ++++++++++++++++++++++++ เราสบตากัน ดวงดาวสีฟ้าที่ฉันเคยใฝ่ฝัน ดวงดาวที่ฉันอยากเอื้อมให้ถึง "เจ้าเป็นเพื่อนที่ข้าไว้ใจที่สุด" เขาโกหกฉัน เหมือนที่ฉันก็โกหกเขา ตลอดมาฉันไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเพียงเพื่อน ผู้คุมปลดโซ่ ทหารเข้ามาล้อมรอบตัวฉัน ผลักขึ้นสู่บันได ที่มีอีกคนยืนอยู่พร้อมขดเชือกหนา ร้อยรัดมัดร่างกายฉันไว้อย่างแน่นหนา ชายอ้วนเตี้ยพล่ามอะไรอีกแล้ว ฉันไม่ได้ยินเพราะเสียงร้องไห้ระงมของหลายคนบนเสาต้นข้าง ๆ บ้างก็ก่นด่า บ้างตะโกนบอกตนไม่ผิด ดวงดาวสีฟ้ายังส่องแสง ขณะในตาฉันกำลังเลือนรางด้วยน้ำสีแดง กลุ่มเส้นไหมสีทองซบลงที่ไหล่เขา ทันใดนั้นดวงดาวสีฟ้าก็กะพริบ หลุบมองเธอในชุดขาว "ประหารแม่มด" ท่านอาจารย์ที่รับเลี้ยงฉันเคยพูดไว้ หากแผลใดทำเราเจ็บมาก ถึงที่สุดแล้วมันจะชา กระทั่งไม่รู้สึกอะไรอีก "ไม่มีแผลใดที่ไม่มีวันหาย" ฉันยิ้ม นึกเยาะเย้ย อาจารย์โกหกเสียแล้ว ตอนนี้ฉันเจ็บมาก เจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมยังไม่ชาอีกล่ะ +++++++++++++++++++++++++ ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชารีญา เปรียบเสมือนเจ้าสาวที่กลัวฝน เธอหนีงานแต่งมาด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ทว่าเมื่อหลบซ่อนอยู่ในโรงแรมเธอกลับได้มาพบกับเขา มาเฟียร้ายจอมไร้อารมณ์ เดเมียน จัสติน วินด์ทรอฟ ไม่มีอารมณ์ใครและปรารถนาต่อผู้หญิงคนไหนมาก่อน กระทั่งได้มาพบเธอ ผู้หญิงที่มีดวงตาที่เป็นประกายและช่วยปลุกไฟสวาทของเขาให้ตื่นขึ้นมา ค่ำคืนพลาดพลั้งของทั้งคู่ก่อเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อวันใหม่มาเยือน เธอคนนั้นก็หนีจากไป จนทำให้เขาต้องใช้ทุกวิธีเพื่อตามเธอกลับมา เขายอมกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ มากด้วยแผนการ ยินยอมเป็นมาเฟียที่ชั่วร้ายในสายตาของเธอคนนั้น เพียงเพื่อกักขังเธอไว้ให้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป สถานที่ที่เธอคนนั้นละอยู่ได้บนโลกใบนี้มีเพียงข้างกายเขาเท่านั้น!
วัชรมัยเคยทิ้งไผท ทิ้งลูก แล้ววันนี้กลับมาร้องขอความเป็นแม่อีกครั้ง ไผทจะไม่มีวันให้อภัย! ++++++++++++++++++++++++++ “ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเธอจะเคยนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนอยู่กับฉัน” ขายาว ๆ ย่างสุขุมเข้ามา หญิงสาวทำตัวลีบเล็ก กระทั่งหลังติดแนบหัวเตียง “ฉันไม่ใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร!” “พี่ป้อ...” เอ่ยยังไม่ทันจบ ริมฝีปากซีดก็ถูกประกบด้วยอวัยวะชนิดเดี๋ยวกัน “อื้อ...” ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่การบังคับดุดัน ไผทดูดดึงริมฝีปากบางจนฮ้อเลือด “เห็นเธอป่วย ว่าจะใจดีให้พักเสียหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะเช็คของ!” เมื่อจุมพิตอย่างไม่เต็มใจจบลง เสียงทุ้มต่ำดังแหวกเสียงหรีดเรไรข้างนอก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวเหน็บชวนขนลุก ไผทแสยะยิ้มร้ายกาจให้คนบนเตียง “ทำสิ ไม่งั้นก็ไสหัวไปออกจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตลูก” วัชรมัยกลืนทุกความรู้สึกกลับไปในอก มือสั่นถอดเสื้อผ้าออก “จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ” เสียงในสมองดังก้องสะกดจิตตนเอง เพื่อได้อยู่กับลูก ต่อให้ต้องลงนรกขุมไหนเธอก็จะทน! +++++++++++++++++++++++++++++
ภริยา(ไม่รัก)ของมาเฟีย +++++++++++++++++ “ถ้าฉันไม่มีลูก คุณก็จะไม่มาที่นี่ใช่ไหม” ในใจส่วนลึกคาดหวังคำตอบว่า...ไม่ใช่ เลโอนาร์ดเบนสายตามองเธอนิ่ง “คงจะอย่างนั้นแหละ” ประไพสุดาเม้มริมฝีปากแน่น กายสั่นเทิ้ม “เลโอนาร์ด เบลุซซี่ คุณออกไปจากที่นี่ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก เด็กในท้องนี่เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ถ้าอยากได้แกก็ฆ่าฉันเสียเถอะ” ดวงตาดำสนิทลุกวาว มองอดีตสามีดังจะสาปส่งให้สลายเป็นจุณ “ฉันเกลียดคุณ!” +++++++++++++
อย่าเข้ามาค่ะ! ความรัก ++++++++++++++++++ เมื่อคนอกหักมาวันไนต์แสตนด์กัน จากที่คิดว่าแค่วันไนต์ กลายเป็นมีภาคสอง หัวใจที่บอบซ้ำสองดวง จะเปลี่ยนไปอย่าไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเข็ดกับความรัก ++++++++++++++++++++ "ลูกพี่ลูกน้องของคุณทำว่าที่สาวเจ้าของคุณท้องอย่างนั้นหรือคะ" สีหน้าของฤดีรัตน์ตกใจมาก ๆ เจ็บหัวใจแทนเขาเลย "ครับผม แต่ยังดีที่ยังไม่ได้ร่อนการ์ดเชิญ มันโคตรรู้สึกแย่เลยนะ สามเดือนมาแล้วนะ ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเลย รู้สึกเจ็บอยู่ข้างในเนี่ย" "ฉันเข้าใจคุณเลยค่ะ เพราะของฉันมากกว่าสามเดือน" "แล้วผมจะเป็นอย่างคุณไหม" "ไม่มั้งคะ เพราะคุณดูมีสติมากกว่าฉันเสียอีกค่ะ แค่หาคนใหม่" ชนิษฐากรอกหูเธอทุกวันเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ แต่เอาคำปรึกษาของเพื่อนมาบอกเขา "หาคนใหม่ยังไง" คิ้วเรียวเลิกขึ้น "หนามยอกให้เอาหนามบ่งยังไงล่ะคะ" ฤดีรัตน์ทำเป็นยกมือป้องปากกระซิบ "ไม่เข้าใจครับ" "คุณก็แค่หาผู้หญิงคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องคบก็ได้ค่ะ แค่มาคั่นกลางให้เรารู้สึกดีขึ้น" เธอยักไหล่ แสร้งทำเป็นช่ำชองเรื่องการหาคนใหม่มาดามใจ "แล้วทำไมคุณไม่ทำ" "ก็ฉันยังไม่ได้เจอคนที่ชอบนี่คะ อย่างน้อยก็ต้องชอบก่อน" "ถ้างั้นทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้ผลนะ ที่จริงไม่ต้องชอบกันก็ได้มั้ง แค่รู้สึกไม่รังเกียจก็พอ" เขายกเบียร์ขึ้นจิบ ฉุนนิด ๆ ที่ต้องมาฟังทฤษฎีเพ้อเจ้อ "คุณรังเกียจฉันไหม" ฤดีรัตน์หรี่ตาปรือ "ถ้ารังเกียจผมจะให้คุณนั่งโต๊ะเดียวกันเหรอ" "ถ้าอย่างนั้นคืนนี้" หมอคชาจ้องหน้าเธอ "คืนนี้นอนกับฉันได้ไหมคะ วันไนท์สแตนด์ ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน" +++++++++++++++++++++ มีตัวละครต่อเนื่องจากเรื่อง รักอย่า...หย่ารัก นะคะ อ่านแยกกันได้ค่ะ ไม่งง ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชนิษฐารักคณิศร แต่เขารักอีกคน อ้อมกอดเขามีให้เธอ แต่ในใจเขาคิดถึงใคร ทำดีสักเท่าไร สุดท้ายคณิสรมองชนิษฐาเป็นเพียงเครื่องมือผลิตลูก การแต่งงานอันหลอกลวงต้องจบลง ถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะหย่า! +++++++++++++++++++++++++++++ ชนิษฐาช็อกกับภาพตรงหน้า "ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้คนผลิตลูก แม่วัวยังไงล่ะคะดิน แต่สำหรับหวาย หวายคือนางในดวงใจของดิน อ้า อะ อะ อะ..." คงจะเป็นสามีของชนิษฐาด้วยที่เด้งเอวตอบกลับการกระทำของสุธาวี เคล้ง... ข้าวของในมือของชนิษฐาร่วงหล่น คณิศรยกหัวขึ้นมาด้วยความตกใจ สายตาของเขาสบต้องสายตากับชนิษฐา ที่ในเวลานี้น้ำตาที่ไหลลงมากลบม่านตา ยืนปากคอสั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของชนิษฐาในตอนนี้ คือหนีไปให้ไกลแสนไกล เธอวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่รถของเธอ แล้วขับออกไป คณิศรผลักตัวของสุธาวี "ออกไป พอได้แล้วหวาย หยุดเถอะ คุณกำลังทำให้ชีวิตผมพัง" "หวายทำพังเหรอคะ พังเหรอคะ ดิน... เราสองคนกำลังมีความสุขด้วยกันต่างหาก ดินยอมรับความจริงเถอะค่ะว่าคุณน่ะขาดหวายไม่ได้" ++++++++++++++++++++++++++++++ ติ๊ง... ติ๊ง... มีข้อความเข้า และทุกวันนี้จะเป็นข้อความจากสินเป็นส่วนใหญ่ คณิศรหยิบมือถือขึ้นมา เมื่อเปิดเข้าไปดู รูปที่บาดตาบาดใจ บาดหัวใจ ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูให้กับชนิษฐา เธอหันมายิ้มให้เขา และขึ้นไปนั่ง คณิศรถึงกับทิ้งมือถือ และหลับตาลงทันที เขาเศร้าหม่นในหัวใจมาก ทำไมเป็นแบบนี้ มันจะลงเอยแบบนี้ไม่ได้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น