วัชรมัยเคยทิ้งไผท ทิ้งลูก แล้ววันนี้กลับมาร้องขอความเป็นแม่อีกครั้ง ไผทจะไม่มีวันให้อภัย! ++++++++++++++++++++++++++ “ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเธอจะเคยนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนอยู่กับฉัน” ขายาว ๆ ย่างสุขุมเข้ามา หญิงสาวทำตัวลีบเล็ก กระทั่งหลังติดแนบหัวเตียง “ฉันไม่ใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร!” “พี่ป้อ...” เอ่ยยังไม่ทันจบ ริมฝีปากซีดก็ถูกประกบด้วยอวัยวะชนิดเดี๋ยวกัน “อื้อ...” ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่การบังคับดุดัน ไผทดูดดึงริมฝีปากบางจนฮ้อเลือด “เห็นเธอป่วย ว่าจะใจดีให้พักเสียหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะเช็คของ!” เมื่อจุมพิตอย่างไม่เต็มใจจบลง เสียงทุ้มต่ำดังแหวกเสียงหรีดเรไรข้างนอก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวเหน็บชวนขนลุก ไผทแสยะยิ้มร้ายกาจให้คนบนเตียง “ทำสิ ไม่งั้นก็ไสหัวไปออกจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตลูก” วัชรมัยกลืนทุกความรู้สึกกลับไปในอก มือสั่นถอดเสื้อผ้าออก “จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ” เสียงในสมองดังก้องสะกดจิตตนเอง เพื่อได้อยู่กับลูก ต่อให้ต้องลงนรกขุมไหนเธอก็จะทน! +++++++++++++++++++++++++++++
“พ่อ...แม่ปราบเมื่อไรจะทำหน้าที่นางฟ้าเสร็จฮะ”
ในรถเอสยูวีคันโตเกิดอุณหภูมิลดฮวบกะทันหัน วิเชียรที่นั่งข้างคนขับเหลือบตาดูเด็กชายผู้นั่งคนเดียวที่เบาะหลัง สลับกับเจ้านายผู้นั่งหลังพวงมาลัย เห็นแล้ว มือกำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
“ปราบอยากเจอแม่”
เจ้าตัวน้อยอมลมจนแก้มพอง
“ทุกคนมีหน้าหน้าที่ต้องทำ แม่...ก็มีหน้าที่ของเขา”
ผู้เป็นพ่อตอบเสียงต่ำ ๆ ตามองไปยังถนน ทว่าร่างใหญ่โตแผ่รังสีอึมครึมชวนอึดอัดออกมา
วิเชียรกลืนน้ำลายลงคอดังอึก เมื่อเรื่องต้องห้ามถูกเอ่ยออกจากผู้เป็นนายน้อยของบ้าน
“พ่อช่วยบอกแม่ทำงานเสร็จเร็ว ๆ ได้ไหมฮะ ปราบคิดถึง”
บรรยากาศน่าจะเศร้ากว่านี้ ถ้าคนนั่งเบาะหลังจะไม่พูดเสร็จแล้วล้วงมือหยิบโดนัทเคลือบช็อกโกแลตจากถุงออกมาเคี้ยวหงุบ ๆ หงับ ๆ
“อืม...”
ไผทรับคำ เมื่อเห็นความสนใจของเด็กชายเบี่ยงเบนไปที่ของกิน บรรยากาศกดดันค่อยผ่อนคลายลงมาหน่อย ลูกน้องอย่างวิเชียรถึงกับเป่าปากโล่งอกไปด้วย
“เกลไม่ชอบกินบร็อคโคลี่”
สกลกันต์กินขนมพร้อมเล่าเรื่องในโรงเรียนไปเรื่อย เหมือนทุก ๆ วันยามผู้เป็นบิดาขับรถมารับจากโรงเรียนอนุบาล
“อืม...”
ไผทตอบรับลูก แสดงความเอาใจใส่ เรื่องพวกนี้เขาอ่านมามากแล้วจากหนังสือจิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก คิดว่าตัวเองรับมือลูกได้ดีประมาณหนึ่ง
“เพราะบร็อคโคลี่ขมไม่อร่อย”
“อืม...”
สงสัยมื้อเย็นเขาต้องสั่งยายพุด แม่ครัวประจำบ้านให้งดทำกับข้าวที่มีส่วนประกอบเป็นเจ้าผักเขียว ๆ นี่สักอาทิตย์
“แต่เกลบอก แม่เกลมีเวทมนตร์ทำให้บร็อคโคลี่อร่อย”
ไผทเหยียบเบรกเอี๊ยด สีแดงขึ้นบนสัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกพอดี ในรถอุณหภูมิลดต่ำอีกแล้ว แต่กระนั้นวิเชียรก็มีเหงื่อผุดขึ้นหน้าผาก
“ปราบไม่ชอบมะเขือเทศ แม่เป็นนางฟ้า ต้องมีเวทมนตร์ทำให้มะเขือเทศอร่อยแน่ ๆ เลย ปราบอยากเจอแม่”
ตาคมเข้มที่ได้ต้นแบบมาจากไผทมีไฟลุกโชน แสดงความมุ่งมั่น แต่แก้มกลมยังมีเศษช็อกโกแลตเปื้อนอยู่เลย
“เป็นลูกผู้ชาย อย่าคิดเล็กคิดน้อย เอาชนะผู้หญิงด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้สิ”
ผู้เป็นพ่อจับไต๋ได้ คงไม่พ้นโดนเพื่อนขิงมาแน่ ๆ
“ก็เกลบอกว่าคนกินผักได้เท่นี่นา ดีนกินผักได้หมด เกลบอกว่าเท่มาก ปราบกินผักทุกอย่างได้เหมือนกัน”
ผู้ใหญ่สองคนถึงกับอมยิ้ม เมื่อได้ฟังเรื่องว้าวุ่นของวัยรุ่นฟันน้ำนม
“...ยกเว้นมะเขือเทศ มันไม่อร่อยจริง ๆ นะฮะพ่อ แต่ปราบอยากเท่ไง”
โดนัทหมดชิ้น เจ้าตัวขยำถุงที่ใส่เสียเป็นก้อนกลม บ่งบอกความขัดอารมณ์เป็นอย่างมาก
“งั้นเดี๋ยวพ่อจะให้ยายพุดทำเมนูมะเขือเทศเยอะ ๆ ปราบจะได้ฝึกกินไว้”
ไฟเขียวกะพริบขึ้น พร้อมอารมณ์ของไผทที่ดีขึ้นมาก เมื่อหาทางออกของวิกฤติประจำวันกับเจ้าลูกชายตัวดีได้
“อึ๊ย...ยายพุดชอบทำมะเขือเทศผัดไข่เละ ๆ ไม่อร่อย” สกลกันต์เบ้หน้า
“งั้นซุปไก่ใส่มะเขือเทศล่ะ เอาไหม”
วิเชียรเป็นคนพยักหน้าเสียเอง เจ้าซุปนี่บีบมะนาว ใส่น้ำปลา บุบพริกขี้หนูใส่เสียหน่อย มันคือกับแกล้มเหล้าแซ่บ ๆ ดี ๆ นี่เอง นึกถึงแล้วเปรี้ยวปาก
“เช็ดน้ำลายด้วยไอ้เชียร กูถามลูกกู มึงไม่ต้องทำท่าอยากกินขนาดนั้น”
ลูกน้องหัวเราะแหะ ๆ ที่เจ้านายรู้ทัน
“ใส่สปาเกตตีด้วยนะ ปราบชอบ”
“ได้ แวะห้างกันหน่อย จะได้ซื้อของไปให้ยายพุดทำให้”
แม่ครัวถนัดทำอาหารไทย เมนูฝรั่งไผทเคยซื้อหนังสือไปให้เหมือนกัน แต่ยายพุดบอกอ่านไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ขนาดมักกะโรนีที่ใส่ในซุปไก่ ยายพุดยังเรียกผิดเป็นสปาเกตตี เลยพลอยทำให้สกลกันต์เรียกผิดไปด้วยจนถึงทุกวันนี้
เมนูฝรั่งที่ลูกชายได้กินมาจากการเห็นในยูทูปบ้าง เห็นเพื่อนกินบ้าง ที่โรงเรียนมีให้กินบ้าง
“ซื้อชีสวัวหัวเราะด้วยนะพ่อ ดีนกับเกลบอกว่าอร่อย”
ไผทผงกศีรษะให้ ก่อนเลี้ยวรถเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าหรูที่สุดในจังหวัด เพื่อซื้อของให้ลูกชายคนเดียวอย่างตามใจ
เหมือนทุกครั้งที่มีประเด็นเรื่องแม่ของเจ้าตัวผุดขึ้นมา
“ไง...แก”
ศรัญญาทักทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวเดินหน้าบานกลับเข้ามาในร้านคาเฟ่
“เขาน่ารักมากเลย”
วัชรมัยเปี่ยมสุขจนยิ้มตาหยี เพื่อนเอาน้ำเปล่าใส่มะนาวฝานมาเสิร์ฟ เธอเลือกนั่งห้องพิเศษของร้าน ที่ศรัญญาเอาไว้ให้ลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรืออยากเช่าไว้ประชุมขนาดเล็ก
“ลูกของฉัน หน้าเหมือนพ่ออย่างกับก๊อบปี้วาง โตไปคงหล่อน่าดู”
พอนึกถึงอีกคน ใบหน้าชื่นมื่นของวัชรมัยก็เจื่อนลง
“ฉันมันเลวจริง ๆ นะเก๋ ที่ทิ้งลูก ไม่เคยมาดูดำดูดีเขาเลย เสียดายจริง ๆ”
ในตาร้อนผ่าว น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อ
“อย่าคิดมากสิแก เดี๋ยวอาการจะยิ่งแย่”
ศรัญญามองหาทิชชู ก่อนวิ่งไปคว้าที่อยู่นอกห้องประชุมมายื่นให้
“ฉันเป็นแม่ที่เลวจริง ๆ”
น้ำตากลิ้งเผาะไหลอาบแก้ม เมื่อนึกถึงการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง
“ถ้าลูกรู้ต้องเกลียดฉันแน่ ๆ”
เด็กชายแก้มกลมใส ตาคมกริบ ตัวนิดเดียว เล็กไปเสียทุกส่วน วัชรมัยอยากยื่นมือไปสัมผัส แต่ความผิดบาปที่เกาะกินจิตใจทำให้เธอทำได้เพียงตัวแข็งทื่อ ยืนนิ่งงันมองเด็กชาย
ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสเข้าใกล้ได้เพียงถึงขนาดนี้
“ฉันจะทำยังไงดีเก๋”
ศรัญญามองเพื่อนแล้วถอนหายใจ สภาพวัชรมัยเหมือนวันนั้น วันที่เธอไปส่งเพื่อนขึ้นรถไปกรุงเทพฯ วัชรมัยตัวสั่น ร้องไห้น้ำตาท่วม
เวลาห้าปีเปลี่ยนเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้น แต่เพื่อนยังอ่อนไหวเหมือนเดิม
...เหมือนวันที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวเพิ่งคลอดลูกวัชรมัยในวัยยี่สิบห้าปี ราวกับกลับเป็นสาวอายุยี่สิบ
“ใจร่ม ๆ ไว้แก อย่าคิดมาก เดี๋ยวอาการทรุด”
เพื่อนที่จากที่นี่ไปดังนกปีกหัก มีเพียงข่าวคราวส่งมาบอกสบายดี ศรัญญาพลอยดีใจด้วย ก่อนกลับมาเจอกันอีกเมื่อสัปดาห์ก่อน พร้อมความจริงอันหนักอึ้ง
“กรรมตามฉันทันแล้วแก”
เสียงสะอื้นไห้ดังทั่วห้อง ศรัญญาสงสารในชะตากรรมของอีกคนจนต้องโอบประคองปลอบ
“ฉันทำผิด...ทำบาปกับลูกเหลือเกิน”
สุดท้ายเด็กชายที่เธอปล่อยมือ ยื่นสิทธิ์ให้คนอื่น วันนี้กลับเป็นเธอที่อาลัยเขากว่าใคร อยากกอด อยากหอม
อยากได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั้น เรียกว่า...แม่
“ฉันมันคนเห็นแก่ตัว”
ศรัญญาลูบหลังเพื่อนเหมือนเคย ปลอบกันตั้งแต่วันแรกที่เจอจนกระทั่งวันนี้
“สมแล้วที่ฉันได้รับกรรม”
วัชรมัยเป็นคนเลว สมแล้วที่ตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายในชีวิตเช่นนี้
ตั้งแต่ฉันได้กุหลาบสีม่วงมาอย่างบังเอิญ ฉันก็เริ่มฝันถึง อัศวินชุดดำ แม่มดในกระท่อม แมวดำ ความตายสีเพลิง ...และดวงตาสีฟ้าปริศนาที่ทำใจเต้นแรงคู่นั้น ++++++++++++++++++++++++ เราสบตากัน ดวงดาวสีฟ้าที่ฉันเคยใฝ่ฝัน ดวงดาวที่ฉันอยากเอื้อมให้ถึง "เจ้าเป็นเพื่อนที่ข้าไว้ใจที่สุด" เขาโกหกฉัน เหมือนที่ฉันก็โกหกเขา ตลอดมาฉันไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเพียงเพื่อน ผู้คุมปลดโซ่ ทหารเข้ามาล้อมรอบตัวฉัน ผลักขึ้นสู่บันได ที่มีอีกคนยืนอยู่พร้อมขดเชือกหนา ร้อยรัดมัดร่างกายฉันไว้อย่างแน่นหนา ชายอ้วนเตี้ยพล่ามอะไรอีกแล้ว ฉันไม่ได้ยินเพราะเสียงร้องไห้ระงมของหลายคนบนเสาต้นข้าง ๆ บ้างก็ก่นด่า บ้างตะโกนบอกตนไม่ผิด ดวงดาวสีฟ้ายังส่องแสง ขณะในตาฉันกำลังเลือนรางด้วยน้ำสีแดง กลุ่มเส้นไหมสีทองซบลงที่ไหล่เขา ทันใดนั้นดวงดาวสีฟ้าก็กะพริบ หลุบมองเธอในชุดขาว "ประหารแม่มด" ท่านอาจารย์ที่รับเลี้ยงฉันเคยพูดไว้ หากแผลใดทำเราเจ็บมาก ถึงที่สุดแล้วมันจะชา กระทั่งไม่รู้สึกอะไรอีก "ไม่มีแผลใดที่ไม่มีวันหาย" ฉันยิ้ม นึกเยาะเย้ย อาจารย์โกหกเสียแล้ว ตอนนี้ฉันเจ็บมาก เจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมยังไม่ชาอีกล่ะ +++++++++++++++++++++++++ ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชารีญา เปรียบเสมือนเจ้าสาวที่กลัวฝน เธอหนีงานแต่งมาด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ทว่าเมื่อหลบซ่อนอยู่ในโรงแรมเธอกลับได้มาพบกับเขา มาเฟียร้ายจอมไร้อารมณ์ เดเมียน จัสติน วินด์ทรอฟ ไม่มีอารมณ์ใครและปรารถนาต่อผู้หญิงคนไหนมาก่อน กระทั่งได้มาพบเธอ ผู้หญิงที่มีดวงตาที่เป็นประกายและช่วยปลุกไฟสวาทของเขาให้ตื่นขึ้นมา ค่ำคืนพลาดพลั้งของทั้งคู่ก่อเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อวันใหม่มาเยือน เธอคนนั้นก็หนีจากไป จนทำให้เขาต้องใช้ทุกวิธีเพื่อตามเธอกลับมา เขายอมกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ มากด้วยแผนการ ยินยอมเป็นมาเฟียที่ชั่วร้ายในสายตาของเธอคนนั้น เพียงเพื่อกักขังเธอไว้ให้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป สถานที่ที่เธอคนนั้นละอยู่ได้บนโลกใบนี้มีเพียงข้างกายเขาเท่านั้น!
ภริยา(ไม่รัก)ของมาเฟีย +++++++++++++++++ “ถ้าฉันไม่มีลูก คุณก็จะไม่มาที่นี่ใช่ไหม” ในใจส่วนลึกคาดหวังคำตอบว่า...ไม่ใช่ เลโอนาร์ดเบนสายตามองเธอนิ่ง “คงจะอย่างนั้นแหละ” ประไพสุดาเม้มริมฝีปากแน่น กายสั่นเทิ้ม “เลโอนาร์ด เบลุซซี่ คุณออกไปจากที่นี่ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก เด็กในท้องนี่เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ถ้าอยากได้แกก็ฆ่าฉันเสียเถอะ” ดวงตาดำสนิทลุกวาว มองอดีตสามีดังจะสาปส่งให้สลายเป็นจุณ “ฉันเกลียดคุณ!” +++++++++++++
อย่าเข้ามาค่ะ! ความรัก ++++++++++++++++++ เมื่อคนอกหักมาวันไนต์แสตนด์กัน จากที่คิดว่าแค่วันไนต์ กลายเป็นมีภาคสอง หัวใจที่บอบซ้ำสองดวง จะเปลี่ยนไปอย่าไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเข็ดกับความรัก ++++++++++++++++++++ "ลูกพี่ลูกน้องของคุณทำว่าที่สาวเจ้าของคุณท้องอย่างนั้นหรือคะ" สีหน้าของฤดีรัตน์ตกใจมาก ๆ เจ็บหัวใจแทนเขาเลย "ครับผม แต่ยังดีที่ยังไม่ได้ร่อนการ์ดเชิญ มันโคตรรู้สึกแย่เลยนะ สามเดือนมาแล้วนะ ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเลย รู้สึกเจ็บอยู่ข้างในเนี่ย" "ฉันเข้าใจคุณเลยค่ะ เพราะของฉันมากกว่าสามเดือน" "แล้วผมจะเป็นอย่างคุณไหม" "ไม่มั้งคะ เพราะคุณดูมีสติมากกว่าฉันเสียอีกค่ะ แค่หาคนใหม่" ชนิษฐากรอกหูเธอทุกวันเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ แต่เอาคำปรึกษาของเพื่อนมาบอกเขา "หาคนใหม่ยังไง" คิ้วเรียวเลิกขึ้น "หนามยอกให้เอาหนามบ่งยังไงล่ะคะ" ฤดีรัตน์ทำเป็นยกมือป้องปากกระซิบ "ไม่เข้าใจครับ" "คุณก็แค่หาผู้หญิงคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องคบก็ได้ค่ะ แค่มาคั่นกลางให้เรารู้สึกดีขึ้น" เธอยักไหล่ แสร้งทำเป็นช่ำชองเรื่องการหาคนใหม่มาดามใจ "แล้วทำไมคุณไม่ทำ" "ก็ฉันยังไม่ได้เจอคนที่ชอบนี่คะ อย่างน้อยก็ต้องชอบก่อน" "ถ้างั้นทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้ผลนะ ที่จริงไม่ต้องชอบกันก็ได้มั้ง แค่รู้สึกไม่รังเกียจก็พอ" เขายกเบียร์ขึ้นจิบ ฉุนนิด ๆ ที่ต้องมาฟังทฤษฎีเพ้อเจ้อ "คุณรังเกียจฉันไหม" ฤดีรัตน์หรี่ตาปรือ "ถ้ารังเกียจผมจะให้คุณนั่งโต๊ะเดียวกันเหรอ" "ถ้าอย่างนั้นคืนนี้" หมอคชาจ้องหน้าเธอ "คืนนี้นอนกับฉันได้ไหมคะ วันไนท์สแตนด์ ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน" +++++++++++++++++++++ มีตัวละครต่อเนื่องจากเรื่อง รักอย่า...หย่ารัก นะคะ อ่านแยกกันได้ค่ะ ไม่งง ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชนิษฐารักคณิศร แต่เขารักอีกคน อ้อมกอดเขามีให้เธอ แต่ในใจเขาคิดถึงใคร ทำดีสักเท่าไร สุดท้ายคณิสรมองชนิษฐาเป็นเพียงเครื่องมือผลิตลูก การแต่งงานอันหลอกลวงต้องจบลง ถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะหย่า! +++++++++++++++++++++++++++++ ชนิษฐาช็อกกับภาพตรงหน้า "ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้คนผลิตลูก แม่วัวยังไงล่ะคะดิน แต่สำหรับหวาย หวายคือนางในดวงใจของดิน อ้า อะ อะ อะ..." คงจะเป็นสามีของชนิษฐาด้วยที่เด้งเอวตอบกลับการกระทำของสุธาวี เคล้ง... ข้าวของในมือของชนิษฐาร่วงหล่น คณิศรยกหัวขึ้นมาด้วยความตกใจ สายตาของเขาสบต้องสายตากับชนิษฐา ที่ในเวลานี้น้ำตาที่ไหลลงมากลบม่านตา ยืนปากคอสั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของชนิษฐาในตอนนี้ คือหนีไปให้ไกลแสนไกล เธอวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่รถของเธอ แล้วขับออกไป คณิศรผลักตัวของสุธาวี "ออกไป พอได้แล้วหวาย หยุดเถอะ คุณกำลังทำให้ชีวิตผมพัง" "หวายทำพังเหรอคะ พังเหรอคะ ดิน... เราสองคนกำลังมีความสุขด้วยกันต่างหาก ดินยอมรับความจริงเถอะค่ะว่าคุณน่ะขาดหวายไม่ได้" ++++++++++++++++++++++++++++++ ติ๊ง... ติ๊ง... มีข้อความเข้า และทุกวันนี้จะเป็นข้อความจากสินเป็นส่วนใหญ่ คณิศรหยิบมือถือขึ้นมา เมื่อเปิดเข้าไปดู รูปที่บาดตาบาดใจ บาดหัวใจ ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูให้กับชนิษฐา เธอหันมายิ้มให้เขา และขึ้นไปนั่ง คณิศรถึงกับทิ้งมือถือ และหลับตาลงทันที เขาเศร้าหม่นในหัวใจมาก ทำไมเป็นแบบนี้ มันจะลงเอยแบบนี้ไม่ได้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Bitter & Sweet +++++++++++++++++++++ จากวันวานที่เคยปฏิเสธความรัก วันนี้ลลินทร์อยู่ในสภาพ...แห้ง ขาดรัก ก็ว่าจะไม่สนใจความรักแล้วเชียว แต่นักเขียนนิยายรักหนุ่มกลับมาป่วนให้ใจสะดุด งานนี้คนเกลียดนิยายรักอย่างเธอ...จะทำยังไงดีล่ะ +++++++++++++++++++++ “คุณนี่ไม่โรแมนติกเลย ไม่รู้จักกระทั่งรสหวานหรือขมของความรัก นิยายรักน่ะมีพื้นฐานมาจากเรื่องพวกนี้แหละ” เขาต่อว่ากันซึ่ง ๆ หน้า “คุณเคยรักใครบ้างไหมครับ รักมากจนเจ็บเมื่อเขาทรยศ จากกันเป็นสิบปี คิดว่าจะลืมเขาเสียแล้ว แต่แค่เจอหน้า ความรู้สึกเจ็บก็แล่นแปล๊บเข้าในอก” สาบานได้ว่าลลินทร์ได้ยินคำพูดนี้จากปากคน ไม่ใช่ตัวอักษรบนกระดาษ เขาช่างสมกับเป็นนักเขียนขายดีเสียจริงขนาด แค่พูดยังเป็นสำนวนสละสลวยถึงเพียงนี้ ดวงตาคมกริบมองเธอเรียบนิ่ง “ความรู้สึกทั้งโมโหที่เธอไม่สนใจ ทั้งเกลียดตัวเองที่ยังมองตามเธออยู่ได้ รู้สึกขมขื่นใจเมื่อคิดถึง” ชายหนุ่มกดปุ่มปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วพับหน้าจอลงเสีย วางมันไว้ใกล้ไอแพ็ด “บอกผมหน่อยสิคุณเคยรู้สึกอย่างนี้กับใครหรือเปล่า” เสียงที่เอ่ยมานั้นแปร่งปร่า จนสองสาวรู้สึกได้ “ตอบสิครับ คุณคนไม่โรแมนติก” สามครั้งภายในวันเดียวที่โดนเขาว่าเช่นนี้ โรแมนติกหรือไม่ ...อย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย จะมาจี้ถามเอาอะไรจากเธอ +++++++++++++++++++++++++ ขอให้อ่านสนุกและบุญรักษาค่ะ จโกระ
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!