คำสัญญา... ความรัก... ความตาย... เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแน่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน
คำสัญญา... ความรัก... ความตาย... เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแน่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน
กลิ่นของหิมะและสายลมหนาวที่ถูกสูดเข้ามาในปอด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับมาในวันวานอีกครั้ง ภาพของป่าสนสูงใหญ่หนาทึบตรงหน้ามันแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหนึ่งพันปีก่อนเลยสักนิด อาจเป็นเพราะบรรยากาศรอบๆ ที่ดูอึมครึมน่ากลัว นั่นเลยทำให้ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เขตพื้นที่ของปีศาจในตำนาน พวกมนุษย์เรียกเราว่า... แวมไพร์
กลับมาแล้ว...
ผมคิดในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในป่ามืดมิดตรงหน้าเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของผมคือปราสาทของตระกูลบาโธนี่ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึก
วันนี้ผมมาที่นี่เพราะตั้งใจมาพบใครคนหนึ่ง แต่แล้ว...
“เห้ย! แกน่ะ... ไสหัวออกไปซะ นี่มันพื้นที่ส่วนบุคคล” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตอนที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
หมอนั่นมันยืนเก็กท่าอยู่บนต้นไม้... คงคิดว่าตัวเองหล่อตายห่า
“นี่บ้านฉัน” ผมเอ่ยพร้อมกับเลิ่กคิ้วน้อยๆ อย่างแปลกใจ จะเข้าบ้านตัวเองนี่ต้องขออนุญาตมันด้วย?
“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่ามาพูดให้ขำดีกว่าน่า นี่มันพื้นที่ของตระกูลบาโธนี่” ชายคนเดิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันมีอะไรน่าขำตรงไหน
“ก็เออสิ” ผมตอบแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ดูจากทรงแล้วหมอนี่น่าจะเป็นแวมไพร์หน้าใหม่ที่ถูกเปลี่ยนเพื่อให้มาเฝ้าบ้าน ก็แค่ลูกกระจ้อก...
“แกคงวิ่งหางจุกตูดแน่ถ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นอะไร” มันยังพูดต่อ ในขณะที่ผมตัดสินใจเลิกฟังมันพล่ามแล้วหันหลังเดินต่อไป ทว่า...
“เห้ย! บอกว่าเข้าไปไม่ได้ไงวะ” หมอนั่นเอ่ยพร้อมกับพุ่งมาหาผมจากข้างบนอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือที่สปีดของพวกเกิดใหม่จะทันคนอย่างผม... ผมอาวุโสกว่ามันเป็นพันปี
“อึก...” วินาทีต่อมา... ร่างของผู้ชายตรงหน้าก็ถูกผมดันจนกระแทกกับต้นสนสูงใหญ่ ฝ่ามือที่กำอยู่รอบลำคอของมันแทบจะไม่ต้องออกแรงบีบเลยด้วยซ้ำ... แค่นี้มันก็ดิ้นทุรนทุรายจนลิ้นจุกปากแล้ว
“หุบปากซะ... ถ้ายังอยากมีชีวิตเป็นอมตะอยู่” ผมเอ่ยเสียงกดต่ำพร้อมกับขู่คำรามในลำคอ ก่อนจะโยนมันออกไปจนลอยละลิ่ว
พอกลับมาโฟกัสกับตัวเองอีกครั้ง บรรยากาศที่เงียบสงัดลงอย่างกะทันหันก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองคงไม่ได้อยู่คนเดียวแน่ ที่นี่เป็นป่าลึกก็จริง... แต่ว่านี่มันเงียบเกินไป ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกร้องหรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของสัตว์ ราวกับว่าพวกสัตว์มันกำลังกลัวอะไรจนไม่กล้าออกมา
อะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งและทรงพลัง... เป็นเผ่าพันธุ์ของผู้ล่า
น่ารำคาญ...
ผมคิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะเลิกสนใจสายตาเย็นเยียบนับสิบคู่ที่กำลังจดจ้องมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาด้วยซ้ำ คิดดังนั้นผมจึงสาวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเห็นปราสาทของตระกูลบาโธนี่ที่อยู่ไกลลิบๆ
มันไม่เปลี่ยนไปเลย... ที่นี่เหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนจริงๆ
ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงตัวปราสาท แม้ภายนอกจะดูเก่าแก่ทรุดโทรม... หากแต่เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน ปราสาทแห่งนี้กลับไม่ต่างจากคฤหาสน์หรูหราของพวกมนุษย์เลยสักนิด
“โผล่หัวมาสักทีนะ... น้องข้า” เสียงทุ้มน่าเกรงขามดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไป และเพราะผมจำได้ว่ามันเป็นเสียงของใครร่างกายมันถึงได้หยุดชะงักไปอย่างอัตโนมัติ
“เคาท์เตส!” ผมเอ่ยชื่อของบุรุษตรงหน้าด้วยความดีใจ ก่อนจะกระโดดพุ่งตัวเข้าหาเจ้าของชื่ออย่างลืมตัว
ตึง!
แรงปะทะของผมทำให้เคาท์เตสถึงกับเซไปชนกำแพงจนเกิดรอยร้าว แม้กระนั้นเขาก็ยังหัวเราะขบขันด้วยความดีใจอยู่ดี
“ฮ่ะฮ่ะ... เจ้าทำกำแพงบ้านข้าพัง” เขาเอ่ยตอนที่ตบไหล่ผมป้าบๆ ในขณะที่ผมเองก็แทบไม่อยากคลายอ้อมกอดของตัวเองออกเลย... ผมคิดถึงพี่ชายคนนี้เหลือเกิน
“เดี๋ยวซ่อมให้” ผมเอ่ยหลังจากที่ผละออก สายตาเสมองกำแพงด้านหลังคนตรงหน้าที่เป็นรอยร้าวยาวหลายเมตรด้วยความขบขัน
“ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว” เคาท์เตสเอ่ย และผมเองก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ... ก็ผมเล่นไม่กลับมาบ้านมาตั้งเป็นพันปี อีกอย่างมันมีสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ทันได้บอกลาใครๆ ด้วย
“มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย... ข้าไม่อาจกลับมาหาท่านในสภาพน่าสมเพชได้” ผมพูดคร่าวๆ และเคาท์เตสก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเราโตแล้ว... โตยิ่งกว่าโตเสียอีก เคาท์เตสน่าจะเข้าใจดีว่าผมมีเหตุผลส่วนตัว
“ได้ข่าวของเซนบ้างมั้ย” ผมถามขึ้นและคนตรงหน้าก็ส่ายศีรษะตอบกลับมาอย่างสิ้นหวัง เซนเป็นพี่น้องของเราอีกหนึ่งคนที่เกิดไล่เลี่ยกัน
เคาท์เตสเป็นพี่ใหญ่... เซนเป็นพี่คนรอง... และผมเป็นน้องเล็กสุด
“ครั้งสุดท้ายเมื่อห้าร้อยปีก่อน” คำตอบของเคาท์เตสทำให้ผมถอนหายใจออกมา เพราะนั่นก็เป็นความคืบหน้าเดียวที่ผมมีเหมือนกัน
“ข้าก็เช่นกัน...”
“คาร์เตอร์อาจรู้อะไรมากกว่าข้า” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด
“เด็กนั่นน่ะหรอ” และนั่นทำให้ผมนึกไปถึงเด็กตัวเล็กๆ ที่เคยชวนผมวิ่งเล่นรอบๆ ปราสาท คาร์เตอร์เป็นลูกชายคนโตของพี่ชายผม
“ไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว นั่นมันผ่านมานานมากแล้ว” คนเป็นพ่อว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน นั่นสินะ... บางทีผมก็ลืมไปว่าวันเวลามันผ่านมานานมากแล้ว เพราะในความรู้สึกของผม... เรื่องทุกอย่างมันยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
ซูหลีพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจตระกูลซูมาตลอดห้าปี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อคำใส่ร้ายของน้องสาวเพียงคำเดียว เรื่องที่ซูหลีเป็นคุณหนูปลอมก็ถูกเปิดเผย ทำให้คู่หมั้นทิ้งเธอ เพื่อนๆ ก็ห่างเหิน และพี่ชายขับไล่เธอออกจากบ้าน บอกให้เธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนาของเธอ ในที่สุดซูหลีก็สิ้นหวังและตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซู ยึดความช่วยเหลือทุกอย่างคืนและไม่อดทนอีกต่อไป แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าชาวนาที่พี่ชายพูดถึงนั้นกลับกลายเป็นตระกูลลั่วผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ในคืนเดียวเธอเปลี่ยนจากคุณหนูตัวปลอมที่ถูกทุกคนรังเกียจเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่มีพี่ชายสามคนที่รักเธอ พี่ชายคนโตที่เป็นผู้บริหารใหญ่“เลิกประชุม จองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ ฉันอยากดูสิว่าใครกล้าแกล้งน้องสาวฉัน” พี่ชายคนที่สองที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมระดับโลก“หยุดการวิจัย ฉันจะไปรับน้องสาวกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ” พี่ชายคนที่สามที่เป็นนักดนตรีระดับโลก “เลื่อนคอนเสิร์ต ไม่มีอะไรสำคัญเท่าน้องสาวของฉัน” จู่ๆ คนทั้งเมืองจิงก็ต้องตกใจช็อก ตระกูลซูเสียใจจนสุดขีด คู่หมั้นก็กลับมาขอคืนดี ผู้คนที่มาขอจีบเธอก็แห่กันมาถึงหน้าบ้าน ไม่ทันที่ซูหลีจะตอบสนอง ตระกูลชือซึ่งเป็นตระกูลสูงสุดในเมืองจิงและมีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพเรือ ก็เสนอใบสมรสให้เธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนดังในสังคมชั้นสูง!
ในฐานะที่เธอมีทรัพย์สินนับพันล้านและเป็นลูกสาวที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆ โดยรัฐบาล เฉียววานก็ถูกจัดสรรพ่อแม่ให้ในที่สุด แต่ไม่คาดคิด เธอถูกขับออกจากครอบครัวถึงสามครอบครัว การฝึกฝนความสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องก็ล้มเหลวซ้ำๆ จนกระทั่งเธอถูกตระกูลฮั่วรับอุปการะ เฉียววานที่น่าสงสารถูกพ่อแม่บุญธรรมทุ่มเงินให้ตามใจ แสดงความรักอย่างสุดโต่งจนดูเหนือจริง ทำให้บางคนอิจฉาจนบ้าคลั่ง ปล่อยข่าวลือว่า "เฉียววานไม่มีความสามารถใดๆ เลย ต้องอาศัยการทำตัวน่าสนสารเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตระกูลฮั่ว!" แต่วันถัดมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศยืนต้อนรับด้วยตัวเอง “ศาสตราจารย์เฉียว ห้องแล็บของคุณเตรียมพร้อมแล้ว” มหาเศรษฐียื่นสัญญาให้ “บอส รายงานการเงินปีนี้กำไรเพิ่มขึ้น 300%!” องค์กรแฮกเกอร์นานาชาติก็เกิดความวุ่นวาย “พี่ใหญ่ ถ้าคุณไม่ออนไลน์ ระบบการเงินจะล่มแล้ว” เมื่อความลับของเฉียววานถูกเปิดเผยทีละอย่าง ทั้งโลกออนไลน์ก็เดือดดาล กู้ซือหาน ผู้ทรงอำนาจและเย็นชาแห่งเมืองจิง จู่ๆ ก็จับเธอไว้ที่มุมกำแพง นิ้วของเขาลูบไล้ริมฝีปากของเธอเบาๆ “คุณนายกู้ เล่นสนุกมากพอหรือยัง? ถึงเวลากลับบ้านไปมีลูกได้แล้ว” เฉียววานหน้าแดงก่ำ “ใคร ใครจะไปมีลูกกับคุณล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ และหยิบบัตรดำวงเงินไม่จำกัดใส่มือเธอ “มีลูกคนหนึ่ง จะมอบเกาะส่วนตัวให้ให้หนึ่งเกาะ”
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY